เสียงธรรม โลก จักรวาล 31 ภพภูมิ/ พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน ภาวิไล

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 9 สิงหาคม 2018.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,083
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน - สมดุลโลก 2, สมดุลธรรม 1 (20/6/2556)

    Young Buddhists Association of Thailand
    วิปัสสนากรรมฐาน วันที่ 20-24 มิถุนายน พ.ศ.2556 โดย...พระภาสกร ภูริวัฒฑโน-พระคเชนทร์ สุนทโร

    ณ ห้องจวงจันทร์ สิงหเสนี อาคารสิริ กรินชัย ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
    เลขที่ 4 เพชรเกษม 54 แยก 6 บางด้วน กรุงเทพมหานคร 10160
    พระภาสกร พระคเชนทร์ - ไขข้อข้องใจ 1 (23/7/2557)

    Young Buddhists Association of Thailand
    โครงการ...วิปัสสนากรรมฐาน วันที่ 23-27 กรกฎาคม พ.ศ.2557

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2020
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,083
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    "มนุษย์" | พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน

    สามเณร ปลูกปัญญาธรรม - True Little Monk
    Dec 12, 2020
    มนุษย์ แปลว่า ผู้มีใจสูง... เมื่อเราเข้าใจมนุษย์ด้วยกันมากขึ้น ทำให้เรามีเมตตา รักเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้อย่างไม่มีข้อจำกัด . รับฟังและเข้าใจความหมายของมนุษย์ พร้อมคำแนะนำในการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

    ธรรมะที่ทำให้ดีต่อใจ..
    .เมตตาบรรยายธรรมโดย พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน
    อโหสิกรรม ให้ธรรมะกับเพื่อนๆ โดย พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน ภาวิไล #มีเทศน์มีทอล์ค ปีที่ 9

    ONUMA Channel
    Mar 19, 2021


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2021
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,083
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    พระอาจารย์ ภาสกร ภูริวัฑฒโน (ภาวิไล) : 16 มีนาคม 2564 @ 17:20

    Pitan Singhasaneh
    Mar 16, 2021
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,083
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    lpPasakorn.jpg
    พระภาสกร ภาวิไล นักการศาสนาชื่อดัง”มรณภาพกะทันหัน”

    ค่ำวานนี้ (14 มี.ค.64) เวลา 19.58 น. พระภาสกร ภูริวัฑฒโน (ภาวิไล) อายุ 60 ปี มรณภาพกะทันหัน (หัวใจล้มเหลว) ณ รพ.จุฬาลงกรณ์, พระภาสกรเกิด พ.ศ. 2504 ที่ประเทศออสเตรเลีย, อุปสมบท พ.ศ. 2538, อดีตผอ. ธรรมสถาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, จำพรรษาวัดฝายหิน อ.เมือง จ.เชียงใหม่, เป็นนักเผยแพร่พระพุทธศาสนาชื่อดัง, ลูกชาย ศ.ดร.ระวี ภาวิไล ศิลปินแห่งชาติ ด้านดาราศาสตร์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของไทย
    ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดเล่าผ่าานเฟชบุ๊คว่า เมื่อวานนี้เวลา 14.00 น. หลวงพี่อาการงง ๆ เดินเซ ตอนออกจากห้องสรงน้ำ และบอกโยมว่า เซจริง ๆ “ไม่ได้แกล้ง” และมีอาการปวดหัว ท่านสงสัยว่าจะเป็นอาการเกี่ยวกับสมอง จึงขอให้โยมเค้าช่วยจำเวลา และให้รีบนำส่ง รพ.จุฬา เพราะเชื่อว่า มีเครื่องมือ ที่ทันสมัย … โยมจึงทำตามประสงค์ ในขณะที่นั่งรถ ท่านเกิดอาการ มือชา และหลังจากถึง รพ.จุฬานั้น ท่านมีอาการจะอาเจียน…
    จากนั้น ท่านเข้าห้องฉุกเฉิน โดยโยมที่นำส่ง เล่าอาการให้แพทย์ฟัง และแพทย์จึงให้กินยาสลายลิ่มเลือดไป จากนั้น หมอจึงแจ้งแนวทางรักษาให้กับท่าน ซึ่งตอนนั้น ท่านยังมีสติดี แถมยังติดเล่นกับหมอ ตามStyle ท่าน … ในขณะที่หมอตรวจฟิลม์X-Ray ก็ไม่พบอาการผิดปกติที่สมอง แต่แล้วปรากฏว่า ความดันท่านตก และเกิดภาวะช้อค จนหัวใจหยุดเต้น แพทย์พยายามปั๊มหัวใจท่านนานถึง 40 นาที แต่ก็ไม่กลับมา จนต้องปล่อยท่านไป
    พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน ภาวิไล เคยโพสต์เฟชบุ๊คส่วนตัว เล่าชีวิตของ พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) ไว้ว่า
    เริ่มต้นจากพระเครื่อง แล้วหันเหชีวิตมาสู่ร่มกาสาวพัสตร์ได้อย่างน่าสนใจยิ่ง
    ท่านเล่าว่า เมื่อก่อนทำสตูดิโอถ่ายรูปโฆษณา อยู่แถวเอกมัย เช่าตึกแถวทำ ปรากฎว่า เจ้าของตึกเป็นลูกศิษย์ของแม่ชีเพียงเดือน ธนสารพิพิธ ซึ่งอยู่เชียงใหม่ วันหนึ่งเขาก็พาแม่ชีมาปรึกษา เรื่องที่ท่านจะทำแผ่นพับ เราก็ช่วยบริการทำให้ วันนั้นท่านแม่ชี เห็นอาตมาแขวนพระปากน้ำรุ่นหนึ่ง ท่านก็ว่า ขอดูพระหน่อยสิ จึงถอดให้ท่านดู ท่านบอกว่า ปากน้ำนะคะ รุ่นแรกค่ะ รักษาให้ดีนะคะ
    “เราก็ เอ๊ะ รู้ได้อย่างไร พระเราถูกน้ำเละเป็นก้อนแป้งเลย รู้ได้อย่างไรว่าเป็นของแท้ รุ่นหนึ่งด้วย เราก็ถาม แม่ชีสัมผัสพลังพระได้หรือ แม่ชีบอกว่า พอสัมผัสได้ค่ะ เราก็บอกว่า ดีจัง ยังมีอีกเยอะเลย พระของคุณพ่อมีเต็มถาดเลย ขออนุญาตนะ คราวหน้าถ้าแม่ชีมา ขออนุญาตไปเอามาให้ตรวจบ้าง
    “ผ่านไปไม่นาน ท่านแม่ชีเพียงเดือนลงมากรุงเทพฯ อีกครั้ง ท่านก็โทรศัพท์เข้ามา บอกว่าจะมาหา เราก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์ ซิ่งกลับไปบ้านพ่อ รวบเอาพระเครื่องในถาด กลับมาถึง ท่านก็มานั่งรออยู่แล้ว เอาพระให้ดู ท่านเห็นยังเขรอะฝุ่นอยู่ ก็ให้เอาไปสรงน้ำเสียก่อน แล้วปูผ้าขาว เอาพระกว่า 300 องค์นั้น วางเรียงไว้บนโต๊ะ แล้วท่านก็เมตตาตรวจให้ องค์นี้หลวงพ่อเงียบ ไม่มีพลัง องค์นี้มีติ๊ดๆ ส่วนองค์นี้ พลังเยอะค่ะ เราก็เริ่มจำแนก เห็นว่า พระที่หนีบมากับหนังสือพระเครื่องส่วนใหญ่ไม่มีพลัง เป็นหลวงพ่อเงียบ ส่วนพวกมีพลังติ๊ดๆ คือพระเครื่องที่มีพิธีใหญ่ มีพระสงฆ์ที่เข้าร่วมพิธีเป็นร้อย แต่ส่วนมากเป็นพระบวชใหม่ คุณธรรมงั้นๆ ไม่สูงส่งอะไรนักหนา อาศัยจำนวนพระสงฆ์มากรูป มาร่วมกันปลุกเสก ส่วนพระเครื่องที่มีพลังเยอะ ส่วนใหญ่เป็นพระจากสายปฏิบัติ สายพระป่า ที่ลูกศิษย์สร้างแล้วไปให้ท่านอธิษฐาน ซึ่งมักจะไม่ทำรูปตัวเอง แต่จะเป็นรูปพระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์ของท่าน”
    หลังจากดูพระวันนั้น พระภาสกรเล่าต่อว่า แม่ชีท่านก็หายเงียบไปเลย ไม่โทรมา วันหนึ่งท่านก็โทรเข้ามา บอกว่าจะมาอีก
    “เราบอกว่า หลวงแม่ พระเครื่องผมยังมีอีกเยอะเลย หลวงแม่ช่วยตรวจอีกได้มั้ย ท่านบอกว่า ไม่เอาแล้วค่ะ ยังไงก็ไม่เอา คราวที่แล้วกลับไป คางบวม ไข้ขึ้น ต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่หลายวัน ท่านบอกว่า ไม่เคยตรวจพระมากมายถึงขนาดนั้นมาก่อน อย่างมากก็สิบกว่าองค์ นี่เจอไปสามร้อยกว่าองค์ สู้แรงปะทะไม่ไหว ทรุดเลย หลวงพี่ก็ขอต่อรองว่า งั้นเอาไปทีละน้อยๆ ได้ไหมครับ ต่อรองกับท่าน จากนั้นก็ค่อยๆ เอาพระไปทีละน้อยๆ ไปให้ท่านตรวจ ระหว่างที่เอาพระไปให้ท่านตรวจ ก็จะมีลูกศิษย์ลูกหาของท่าน มาฟัง มาสนทนาธรรม โดยมารยาทก็ต้องนั่งฟัง รอไปก่อน ตอนนั้นไม่ได้สนใจเรื่องฟังธรรม สนใจแต่เรื่องพระเครื่องนั่นแหละ แต่ฟังไปฟังมาเอ๊ะเข้าท่า ฟังไปฟังมา เริ่มมีเหตุมีผล ในที่สุด ศรัทธาก็เพิ่มขึ้น พระเครื่องกลายเป็นเรื่องรอง เริ่มสนุกกับการฟังธรรม ถึงขนาดขับมอร์เตอร์ไซค์ จากกรุงเทพฯ ไปฟังธรรมกับท่านที่จันทบุรี ท่านไปถวายธรรมทานกับพระสงฆ์ ที่อยู่ที่นั่น ก็ไปฟังธรรมกับท่าน สนุก ตื่นเต้นมากๆ”
    “ทุกอย่างที่เราสงสัย ได้รับคำตอบ จนวันหนึ่ง ใจมันก็ เอ๊ะ! คนอะไร เรามีคำถาม 100 ข้อ ตอบเราได้หมดทั้ง 100 ข้อ มีอยู่สองอย่าง คือ ถ้าไม่จริงทั้งหมด ก็ต้องโกหกทั้งหมด เอ… แต่ท่านจะโกหกเราไป เพื่อประโยชน์อะไร ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร ที่จะมาโกหกเรา ศรัทธาก็ยิ่งทวีมากขึ้น ตามไปฟังธรรมอุตลุด แม่ชีท่านอายุเท่ากับโยมแม่ของอาตมา (อุไรวรรณ ภาวิไล) เกิดปีฉลู อาตมาก็ปีฉลู หลวงพี่เกิดตอนโยมแม่อายุ 24 ปี เกิดที่ออสเตรเลีย ตอนนี้หลวงพี่อายุ 48 ปี (พ.ศ. 2552) แม่ชีก็อายุ 72 พอดี
    “แม่ชีเพียงเดือน ต้องถือว่าท่านเป็นต้นสาย ท่านปฏิบัติตรงไปตรงมา ท่านเคยพูดอันหนึ่ง ที่เป็นตัวหลักจริงๆ ว่า คุณภาสกร ถ้าอยากปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้ารวดเร็ว ให้เขียนบารมี 10 สังโยชน์ 10 พร้อมกับคำแปล ติดไว้ที่ข้างฝา แล้วตรวจมันทุกวัน อาตมาไม่เชื่อ ธรรมะมีตั้งเยอะแยะ ให้ใช้แค่สองอย่างนี้เท่านั้นหรือ มันไม่ง่ายเกินไปหรือ แต่ก็ปรากฏว่าได้ผลจริงๆ การจะได้ผลจริงๆ ก็คือต้องปฏิบัติ และนี่คือแก่นธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์ทรงบำเพ็ญบารมี 10 มายาวนานมาก และบารมี 10 นี่เอง ที่แก้สมการแล้ว สามารถพลิกกลายมาเป็น “อริยมรรคมีองค์ 8” ได้ อย่างน่าอัศจรรย์
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,083
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    (cont.)
    LpPasakorn.jpg
    “วันหนึ่งท่านแม่ชี บอกกับหลวงพี่ว่า คุณภาสกร ต่อไปนี้ ไม่ต้องมาถามคำถามอะไรกับแม่ชีอีกแล้วนะ อ้าวทำไมล่ะ กำลังสนุก ทำไมจึงมาห้ามถาม แม่ชีบอกว่า ถ้าคุณภาสกร “รู้” มากไปกว่านี้ จะอยู่ที่เดิมไม่ได้ อยู่ในสถานะเดิมไม่ได้ ท่านเตือนย้ำถึง 3 ครั้ง เราไม่เชื่อ กำลังสนุกมาก ที่ผ่านมา เรายิ่งรู้ เราก็ยิ่งเบิกบานใจ ท่านบอกว่า เตือนแล้วนะ เตือนครบ 3 ครั้ง แล้วจะไม่เตือนอีก ซึ่งก็เป็นจริงตามคำของท่าน เพราะหลวงพี่ถามตนเองว่า ที่ผ่านนี่ มาเราเจอใคร เรากำลังเจอโคตรเพชรที่ลอยมาอยู่ตรงหน้า โคตรเพชรลูกเท่ามะพร้าว ซึ่งแม้แต่พระพุทธองค์ ก็ทรงสละราชสมบัติ สละความสุขทุกอย่างที่โลกยกย่อง แล้วไปไขว่คว้า ขุดค้นเอาโคตรเพชรนี้ขึ้นมา
    “โคตรเพชรนี้คืออะไร คือ “สมบัติพระนิพพาน” แล้วเรามีโอกาสมากน้อยแค่ไหน ที่จะหยิบ จะไขว่คว้าเอามาครอบครอง ก็คะเนว่า 50-50 แล้วจะหยิบดีไหมล่ะ แต่ในมือเรา เราก็ถือพลอยเก๊ พลอยหุงอยู่ ถ้าไม่วางพลอยหุง ก็หยิบโคตรเพชรไม่ได้ เพราะมือไม่ว่างพอที่จะไปหยิบ เอาอย่างไรดี ในโลกนี้ จะมีสักกี่คน ที่มีโคตรเพชรมาลอยอยู่ตรงข้างหน้า คิดไปคิดมา ลงทุนไปก็เยอะแยะ ลงทุนทำกิจการของตัวเอง เราทำธุรกิจเสี่ยงภัยอยู่ตลอดเวลา ไอ้นี่ เสี่ยงก็ไม่มาก แต่ต้องเอาชีวิตลงทุน แต่ถ้าได้ มันเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่ ก็เอาวะ สู้ตาย ลุย”
    ท่านเลยตัดสินใจลุย วันนั้นแม่ชีบอกท่านว่า จะขึ้นมาเชียงใหม่ นั่งรถทัวร์มา ท่านภาสกรเมื่อยังเป็นฆราวาสอยู่ ก็บอกว่า ขอไปด้วย
    “อาตมาก็กระโดดขึ้นรถตามมา พอถึงกำแพงเพชร เขาจอดรถรับประทานข้าวกลางคืน ท่านแม่ชีนั่งอยู่ในรถ ช่วงกลางรถ หลวงพี่ลุกจากที่นั่งข้างท้าย เดินไปหาท่าน แล้วบอกว่า “ผมอยากรอดครับ ผมตัดสินใจแล้วครับ” แม่ชีถามว่า คุณภาสกร มั่นใจแล้วหรือ ถ้าอย่างนั้นไปเชียงใหม่ ไปเจอพระอาจารย์นพพร จะขอให้ท่านช่วยเสริมกำลังอธิษฐานให้”
    หลังจากนั้น ก็มีโอกาสได้ไปกราบ ไปเจอครูบาอาจารย์อีกหลายท่าน เรียกว่าเป็นระยะ “ชมบุญ” คือไปกราบ ไปดูปฏิปทา แนวทางของครูบาอาจารย์ท่านต่างๆ ว่าถูกจริต กับเราหรือไม่ เที่ยวไปดูชาวบ้านเขา ก่อนที่จะกลับมาพัฒนา เสริมบุญของตัวเอง จนกระทั่งพึ่งพาตนเองได้”
    จากนั้น ชื่อของนิรันดร์ ภาวิไล นักฟิสิกส์ และช่างภาพโฆษณา ที่มีสตูดิโอเป็นของตัวเอง ลูกชายของ ศ.ดร.ระวี ภาวิไล นักดาราศาสตร์ของเมืองไทย ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี 2549 ก็ได้หันหน้า เดินเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ และไม่หวนกลับมาสู่ทางโลกอีก ในฉายา พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน พร้อมมีวงเล็บข้างท้ายว่า (ภาวิไล)
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,083
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    (cont.)
    lpPasakorn (2).jpg

    ท่านบอกว่า “ชีวิตคือความท้าทายและการเรียนรู้ โลกใบนี้เป็นเหมือนเวทีให้เราทดลองใช้ชีวิต แต่เมื่อทดลองแล้ว ก็ต้องพร้อมที่จะรับผิดชอบ ต่อผลที่จะตามมาด้วย” เพราะฉะนั้น “อย่าได้ประมาท”
    เมื่อค่ำวานนี้ พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน ได้มรณภาพลงแล้วใน 19.58 น. สิริอายุ 60 ปี 26 พรรษา.
    นับว่าสถาบันสงฆ์ได้สูญเสียงเปลวเทียนที่ส่องแสงสว่างสังคมไปอีกดวงหนึ่ง เหลือไว้แต่ผลงานด้านวิชาการและคำสอนที่พวกเราสาธุชนพึงปฎิบัติตาม..
    Untitled-1-16.jpg
    ภาพและข้อมูลเฟชบุ๊ค : พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน ภาวิไล
    :- http://thebuddh.com/?p=50921

    ................................ EndLineMoving.gif

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2021
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,083
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน - ปกิณกะ (25/7/2558)

    Young Buddhists Association of Thailand
    Jan 29, 2019
    เทปบันทึก รายการห้องรับแขก (ปี 2564) - พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน ภาวิไล

    ONUMA Channel
    Jan 24, 2021
    น้อมอาลัย พระอาจารย์ภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) พูดถึง สัตตสังฆทาน ถวายสังฆทานอย่างไรให้รวย

    ธรรมะมีทํานอง Suthee Suksakol
    Mar 15, 2021
    พระอาจารย์ภาสกร ม้วยมรณ์แล้ว
    ยังจำแนวสนทนาในคราหนึ่ง
    ธรรมะงามและง่ายให้คำนึง
    ไม่ยากที่จะเข้าถึงซึ่งหลักธรรม
    สองวันก่อนยังได้พบและสนทนา
    มีธรรมหรรษาพาชุ่มฉ่ำ
    ชาวชมรมแพนด้าขอบตาดำ
    สุดระกำอนิจจา...น้อมอาลัย.

    "น้อมอาลัยยิ่งขอรับ" พันโท สุธี สุขสากล

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2021
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,083
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,083
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    'กฎแห่งความจริง' พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล)
    By มนสิกุล โอวาทเภสัชช์
    24 พ.ย. 2556 เวลา 4:00 น.
    ก่อนที่จะมาถึงการร่วมต้านพ.ร.บ.ปรองดองที่สอดไส้นิรโทษกรรมของประชาชนชาวไทยในวันนี้ มีเหตุปัจจัยมากมาย พระอาจารย์ภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) วัดฝายหิน จังหวัดเชียงใหม่ ผู้อำนวยการ 'ธรรมสถาน' มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีคำอธิบายจากมุมมองของอริยสัจสี่

    อดีตนักฟิสิกส์ และช่างภาพโฆษณา ลูกชายของศ.ดร.ระวี ภาวิไล นักดาราศาสตร์ของเมืองไทย มีคำอธิบายจากมุมมองของอริยสัจสี่ วิถีแห่งเหตุผลของความทุกข์และการออกจากทุกข์มาให้ท่านผู้อ่าน 'กายใจ' ร่วมกันพิจารณาใคร่ครวญอย่างเป็นธรรม เพื่อความสันติสุขของพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน

    กายใจ : ปัญหาใหญ่ของวงการพุทธศาสนาในบ้านเรา ที่ทำให้การปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้า คืออะไร

    พระภาสกร : ฟันธงเลยว่า เพราะเอาผลมาเป็นเหตุ ก็เลยยากที่จะได้รับผล เช่นว่า ไปอ้างอิงกรณีเฉพาะ เช่น กรณีของพระพาหิยะ ท่านเป็นพระอรหันต์ที่ตรัสรู้เร็ว เป็นตัวอย่างพระที่เป็นกรณีศึกษาที่พระพุทธเจ้าสอนจากผลไปหาเหตุ ใช้ในกรณีเฉพาะบุคคล ไม่ได้เป็นสากลกับคนทั่วไป แต่ก็ไปอ้างของพาหิยะมาใช้เช่น เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน อันนั้นเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ ไม่ได้เป็นอารมณ์ของปุถุชน

    กายใจ : อย่างนั้นจะเริ่มต้นตรงไหนที่ถูกตรงที่สุด

    พระภาสกร : เริ่มที่หัวใจพระพุทธศาสนา คืออริยสัจสี่ เป็นกฎธรรมชาติอย่างหนึ่งมีสี่กฎที่พระพุทธเจ้านำเสนอ กฎธรรมชาติสี่กฎนี้เปรียบประหนึ่งอาวุธที่พระองค์มอบให้กับพวกเรา เพื่อให้พวกเราใช้อาวุธนี้ทำความจริงให้ประจักษ์แก่ใจ เอามาเป็นเครื่องมือตรวจสอบสำรวจความจริงในชีวิต

    กฎธรรมชาติข้อแรก คือ กฎของการกระทำและผลของการกระทำ หรือกฎแห่งกรรม กฎธรรมชาติข้อที่สอง คือกฎของความเปลี่ยนแปลง เรารู้จักกันในนาม 'พระไตรลักษณ์ ' แต่ยังต้องมองให้ดีว่า พระพุทธเจ้าใช้กฎไตรลักษณ์อย่างครอบคลุม

    เพราะความหมายของกฎไตรลักษณ์ข้อแรกคือ อนิจจัง หลวงพ่อชา สุภัทโทใช้คำว่า 'มันบ่แน่'

    ข้อสอง คือ ทุกขัง มันเป็นเหตุให้เกิดเวทนา เพราะความทุกข์เป็นเวทนา ทุกข์แก่ใคร แก่มนุษย์ แก่สัตว์ คำแปลของคำว่าทุกข์ คือ ทนได้ยาก จึงมีการอ้างอิงพุทธพจน์ว่า สิ่งทั้งหลายมันแปรปรวน เป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ หรือแปรเปลี่ยนตลอดเวลา ทุกข์เกิดขึ้นเพราะเราปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง เราไม่ยินดีกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มันไม่เป็นตามใจเรา

    อีกข้อหนึ่งคือ อนัตตา คำแปลก็คือ หาสาระไม่ได้ ฝากผีฝากไข้ไม่ได้ มันไม่มีตัวตน ความหมายของอนัตตา คือ ความไร้สาระ ก็ในเมื่อมันไม่ใช่อัตตา มันจึงเป็นสิ่งที่พึ่งพิงอาศัยไม่ได้ หรืออาจจะใช้ศัพท์แรงๆ ว่า มันห่วยแตก ฉะนั้น จึงใช้สามคำนี้ว่า มันบ่แน่ ทุกข์แท้ๆ ห่วยแตก และนี่คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    กายใจ : ปัญหาของการเรียนการสอนพุทธศาสนาในไทยอยู่ตรงไหน

    พระภาสกร : ก็คือ เมื่อผู้สอนบอกให้พิจารณาลงไตรลักษณ์ แต่กลับไปคาอยู่ตรงการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่เห็นว่ามันทุกข์ เราจึงทุกข์และหาทางออกจากมันไม่ได้ ถ้าจะเห็นไตรลักษณ์ก็คือ เห็นว่ามันเปลี่ยนแปลง มันไม่ตามใจเรา แล้วมันก็ห่วยแตก สำคัญคือต้องลากไปให้ถึงห่วยแตก
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,083
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    (ต่อ)
    ถ้าพิจารณาอย่างนี้ ไตรลักษณ์ก็ทรงประสิทธิภาพ แต่ปัญหาที่มันใช้แล้วไม่ได้ผล เพราะว่า ครูบาอาจารย์สอนให้เห็นแค่การเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ก็คือไตรลักษณ์แล้ว ไม่ใช่ นั่นคือการเห็นแค่อนิจจังเท่านั้น

    กฎธรรมชาติข้อที่สาม คือ กฎของกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีให้ผลเป็นสุข ทำชั่วให้ผลเป็นทุกข์ กฎข้อนี้คือ กฎของความเป็นเหตุเป็นผล พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจสี่ แต่ก็มีคนพยายามยัดเยียดเหลือเกินว่าให้พระองค์ตรัสรู้ปฏิจจสมุปบาท

    กายใจ : ปฏิจจสมุปบาทก็คืออริยสัจสี่ใหญ่ ไม่เหมือนกันหรือ

    พระภาสกร : อ้าว ก็พระพุทธเจ้าตรัสกี่ครั้ง ก็ตรัสว่าตรัสรู้เรื่องอริยสัจสี่ ค้นพบอริยมรรคมีองค์แปด พระพุทธองค์พิจารณาปฏิจจสมุปบาทมาก่อนการตรัสรู้ มีอยู่ในพระสูตรอยู่แล้ว หลังจากการตรัสรู้ก็มาพิจารณาอีก 7 วัน แต่ตอนที่ตรัสรู้คือ ตรัสรู้ความเป็นเหตุเป็นผลของทุกข์ พระพุทธองค์ค้นพบว่า ความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่มีเหตุมีผล ไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆ

    เพราะฉะนั้น มนุษย์เราตอบสนองต่อเหตุผล พระพุทธเจ้าก็ตอบสนองต่อเหตุผล ทุกข์เป็นผล เหตุคือ สมุทัย คือความอยาก เพราะอยากจึงทุกข์ นี่ไง แต่พระองค์ไม่หยุดอยู่แค่นี้ พระองค์ค้นหาไปว่า แล้วกระบวนการดับความอยากอยู่ที่ไหน ผลของการดับทุกข์คือ นิโรธ

    แต่นิโรธ เป็นผลจากการปฏิบัติมรรคมีองค์แปด มรรคจึงเป็นเหตุ นิโรธ เป็นผล ความอยากเป็นเหตุ ทุกข์เป็นผล มันเป็นเหตุผลสองคู่ คู่หนึ่งเป็นฝ่ายเกิดก็คือ ความอยากเป็นเหตุ ทุกข์เป็นผล อีกคู่หนึ่งเป็นฝ่ายดับ คือ มรรคเป็นเหตุ นิโรธเป็นผล มันคือเรื่องของความเป็นเหตุเป็นผล พระองค์ค้นพบกฎของเหตุและผล อริยสัจสี่นั้นคือความเป็นเหตุเป็นผลที่ทรงพลังยิ่ง แล้วก็ล้างบางความเห็นผิดออกจากใจพระองค์

    กฎธรรมชาติข้อที่สี่ ดูแก้วใบนี้ที่อยู่ในมือของอาตมา มันมาเองได้ไหม ไม่ได้ มันมีเหตุปัจจัยมากมาย ที่ทำให้แก้วมาอยู่ตรงนี้ นี่คือมหภาคของความจริง อริยสัจสี่เป็นจุลภาค นี่คือ ความเป็นปัจจัยการของความเชื่อมโยงกัน พระพุทธเจ้ามองในเรื่องของทุกข์และการดับทุกข์ก็มองในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท ปัจจัย 12 ประการจากการเกิดทุกข์และนำไปสู่การสิ้นทุกข์

    เพราะฉะนั้น กฎแห่งธรรมชาติที่พระองค์ให้กับเรานั้นมีทั้งหมดเพียงแค่ 4 กฎ คือ 1 กฎของไตรลักษณ์ 2กฎของกรรม กฎของการกระทำและผลของการกระทำ 3 กฎของอริยสัจสี่ 4 กฎของปัจจัยการของความเชื่อมโยงกัน คือ ปฏิจจสมุปบาท ดังนั้น ปฏิจจสมุปบาทเป็นเพียงหนึ่งในสี่ของกฎธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ไม่ใช่ทั้งหมด

    กายใจ : จุดบกพร่องในการปฏิบัติของเราก็คืออะไร

    พระภาสกร : มาดูกัน ร่างกายเราประกอบด้วยสองส่วน คือกายกับใจ ภาระในการดูแลร่างกายเราเยอะไหม ที่จะให้ผลดี ก็ต้องกินอาหารให้เหมาะสม พักผ่อนออกกำลังกาย แบ่งเวลาให้ถูกต้อง ให้สังคมแค่ไหน ให้ครอบครัวแค่ไหน ทุกอย่างคือการบริหารกาย แต่ทุกข์ใจเกิดขึ้นเพราะอะไร พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกข์ใจนั้น มีสมุทัย คือความอยากเป็นเหตุ ทุกข์จึงเป็นผล เพราะอยากจึงทุกข์

    ทีนี้ อยากมีอยู่สองอย่าง อยากดึงเข้า หรืออยากผลักออก ที่อยากดึงเข้า เขาเรียกว่า โลภะ ที่อยากผลักออก เรียกว่า โทสะ ที่อยากดึงเข้า คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นกามราคะ เป็นตัณหา ฉันคิดว่า มันจะนำความสุขมาให้แก่ฉัน ก็อยากดึงเข้า อยากได้ฐานะตำแหน่ง เป็นนายร้อยนายพัน นายพล เป็นสส. สว. เป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี ก็คิดว่าเพราะสิ่งเหล่านั้น จะเอื้อให้ได้กามเร็วขึ้น มากขึ้น เราแสวงหาความร่ำรวยเพื่อจะได้ไปซื้อรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสมา หรืออยากได้ตำแหน่ง จะได้เอาตำแหน่งไปบังคับสิ่งที่อยากได้ อยากปรารถนามา นี่คือ เราอยากได้ มันเป็นภวตัณหา

    ขอนุญาตยกตัวอย่างกรณีของเหลือง-แดง เหลืองก็ทุกข์ แดงก็ทุกข์ ทำไมจึงทุกข์ เพราะอยากทั้งคู่ เหลืองบอกว่าอยากให้คนๆ นั้นที่อยู่เมืองนอกไปตายซะ นี่คือวิภวตัณหา ส่วนแดงว่ายังไง คิดถึงคนๆ นั้นเหลือเกิน กลับมาเถอะ ฉะนั้น บุคคลๆ นี้เป็นวัตถุกาม เป็นกามฝ่ายดีของแดง และเป็นกามฝ่ายเลวของเหลือง ฝ่ายหนึ่งอยากดึงเข้า อีกฝ่ายอยากผลักออก แล้วทุกข์ทั้งคู่

    ปัญหาก็คือว่า ทำไมจึงอยากเล่า ก็เพราะมีการยึด มีการให้คุณค่า อุปาทานการยึดถือ การให้ค่า ยึดว่าดี หรือยึดว่าเลว ฉะนั้น คุณคนนั้น เป็นอารมณ์ที่ดี เป็นอิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่น่าปรารถนาของฝ่ายแดง แต่เป็นอารมณ์ที่ไม่ดี ก็เป็น อนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาของฝ่ายเหลือง คนฝ่ายแดงก็ว่าดี ฝ่ายเหลืองก็ยึดว่า ชั่ว โกงระดับนโยบาย รวยแล้วก็ยังจะเอาอีก ส่วนแดงบอกว่า นี่แหละ ฮีโร่ตัวจริง มีเงินสามารถใช้ทั้งชีวิตไม่หมด แต่ยอมเสียสละทำประโยชน์เพื่อประโยชน์ของประชาชน นี่ก็คือ กามุปาทาน ยึดในบุคคล หรือยึดในคุณค่าต่างๆ

    อีกอย่างของการยึดคือ ยึดในความคิด ทฤษฎี ง่ายๆ เสรีประชาธิปไตย กับคอมมิวนิสต์ ยังรบกันไม่เลิก เกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ยังรบกันไม่เลิก ลัทธิศาสนา สุหนี่ กับชีอะห์ อิสลามด้วยกัน สองนิกายยังทะเลาะกันอยู่ไหม นี่คือการยึดใน ทิฏฐฺปาทาน ความยึดมั่นในทิฐิ

    ส่วน สีลพัตตุปาทาน ยึดมั่นในแนวศีลพรต เช่นว่า พุทธด้วยกันก็ยังแยกค่าย แนวเพ่งลูกแก้ว แนวภาวนาพุทโธ แนวพองยุบ นี่ไงยึดในรูปแบบการปฏิบัติและข้อห้ามก็ทะเลาะกัน อีกอันหนึ่งคือ ยึดความเป็นตัวตนเราเขา เช่น เราไปว่าเขา ชอบหาเรื่องกันจังเลย คุณน่ะ อัตตาสูง เวลาเขาชี้เราหนึ่งนิ้ว เขาชี้ตัวเองสามนิ้ว และชี้เทวดาอีกหนึ่งนิ้ว คุณไม่ต้องไปด่าใครเขาหรอก ตราบใดที่คุณยังไม่ใช่พระอรหันต์ มีอัตตากันทุกคน ไม่ต้องมาตอแหล ส่วนมากพวกนี้เล่นเก็บอารมณ์ไง พยายามทำเหมือนกับว่าตัวเองไม่มีอารมณ์ ไม่โกรธกับใคร อันนี้เป็นเพราะยึด อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในตัวตนเราเขา

    ทั้งหมดนี้ที่ทำให้การปฏิบัติธรรมของเราไม่ก้าวหน้า ที่เป็นเครื่องวัดหรือเครื่องชี้ตรงนี้ก็คือ 'มานะ' มันโผล่ขึ้นมา

    'มานะ' ก็คือ การเปรียบเทียบว่า เราดีกว่าเขา เราเสมอเขา หรือเราด้อยกว่าเขา เขาดีกว่าเรา เขาเสมอเรา หรือ เขาด้อยกว่าเรา ตราบใดที่ยังมีการเปรียบเทียบกันอยู่ ก็มีไอ้ตัวตนเราเขานั่นแหละ นี่ไงคือตัวยึด เพราะยึดจึงอยาก เพราะอยากจึงทุกข์ เหลืองก็ยึด แดงก็ยึด ตั้งแต่ปี 2475 เราเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 22 คน ก่อนหน้าเขา มีนายกรัฐมนตรีคนไหนดีร้อยเปอร์เซนต์มีไหม ไม่มี มีคนไหนชั่วร้อยเปอร์เซนต์ไหม ไม่มี จากคนนั้นจนถึงน้องสาวเขาคนนี้ มีใครดีร้อยเปอร์เซนต์ชั่วร้อยเปอร์เซนต์มีไหม ก็ไม่มี ก็มีดีมีชั่วกันทุกคน แล้วทำไมคนๆ นั้นทำให้เราทุกข์ขนาดนี้เล่า

    เพราะเราต่างไม่เห็นความจริง... ?
    :- https://www.bangkokbiznews.com/news/544599
     

แชร์หน้านี้

Loading...