เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    มาร่วมแสดงความยินดีกะพี่จินต์ด้วยค่ะที่ผ่านประสบการณ์ท้าทายเหล่านี้มาได้อย่างน่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่งค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้พี่สามารถเรียนรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ได้เลือกไว้เพื่อเปลี่ยนความเชื่อให้เป็นความรู้ในที่สุดจ๊า..

    มีครอบครัวเพื่อนคนหนึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ทีเดียว มีบางสิ่งบางอย่างน่าคิดพิจารณาเหมือนกันค่ะ คุณแม่ท่านเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนแต่เสียชีวิตในลักษณะที่คุณหมอไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าท่านเสียชีวิตด้วยเหตุผลอะไร? ท่านจะป่วยอยู่บ่อย ๆ และต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นประจำแต่คุณหมอกลับตรวจหาสาเหตุไม่พบว่าป่วยด้วยโรคอะไรจนกระทั่งเสียชีวิตไป พี่สาวกับเพื่อนก็ป่วยไม่มีสาเหตุต้องใช้ชีวิตอยู่ในวัดแห่งหนึ่งจึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้แต่ถ้าออกมาใช้ชีวิตนอกวัดเป็นต้องป่วยเข้าโรงพยาบาลทุกครั้ง และก็ไม่ทราบด้วยเหตุใดในครอบครัวก็มักจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง อยู่ดีดีบางคนก็ลุกขึ้นมาง้องแง้งกันซักทีนึงอย่างไม่มีเหตุผล

    ก็เคยถามพี่คนหนึ่งดูเค้าก็บอกว่าเป็นเพราะครอบครัวนี้ในอดีตเค้าเคยเป็นเจ้าเมืองในสมัยที่มีทาสในเรือนเบี้ยมาก่อน แล้วก็ทรมานเค้าต่าง ๆ นานา จึงมีผลให้เค้าต้องมาเรียนรู้ถึงประสบการณ์เหล่านี้แต่พวกเค้าก็ไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วอย่างงี้จะทำยังงัยดีจึงจะทำให้เราทราบว่าประสบการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้นเกิดจากความเชื่อคะพี่นักเขียน..
    :z13:z13:z13
     
  2. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ท่านอาจารย์อนาลัยได้เปรียบความเชื่อของเรากับลูกตุ้มว่า มันจะแกว่งไปในทิศทางหนึ่งๆและก่อเกิดประสบการณ์ชีวิตในทิศทางที่คล้องจองกับความเชื่อนั้นๆเสมอ ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า การที่เราจะเปลี่ยนแปลงประสบกาณณ์ชีวิตของเราได้นั้น เราจะต้องเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนความเชื่อ แต่การเปลี่ยนความเชื่ออาจต้องใช้เวลากว่าที่มันจะสัมฤทธิ์ผลในการเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ เช่นเดียวกับการที่ลูกตุ้มกำลังแกว่งไปในทิศทางหนึ่งๆ หากเราพยายามเปลี่ยนทิศทางการแกว่งของมัน ลูกตุ้มนั้นจะใช้เวลาปรับทิศทาง กว่าที่มันจะสามารถแกว่างไปในทิศทางใหม่ได้ แม้ว่าเราจะเปลี่ยนความเชื่อแล้วก็ตาม

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า หากชีวิตของเรากำลังเป็นไปในแง่ลบ ให้เราจดจ่อกับความคิดในแง่บวก และให้มีความเชื่อในแง่บวก ซึ่งจะเหนี่ยวนำประสบการณ์ในแง่บวกมาสู่ชีวิต และท่านกล่าวว่า ความคิดหนึ่งๆ เปรียบเสมือนแรงกระทบที่พยายามทำให้ลูกตุ้มเปลี่ยนทิศทางการแกว่ง ความคิดในแง่ลบ ความลังเลสงสัย จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ความเชื่อหนึ่งๆ ก่อเกิดความเป็นจริงล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น เช่นเดียวกับแรงต่อต้านที่ขัดขวางการแกว่งของลูกตุ้มไปในทิศทางหนึ่งอย่างอิสระ

    ความคิดของเราที่ผุดขึ้นมาราวกับว่า มาจากแหล่งอื่นนอกตัวตน นอกสติสัมปชัญญะที่เรารู้เห็นหรือตั้งใจให้เป็นไป ล้วนเป็นความคิดที่มาจากจิตไร้สำนึก จิตใต้สำนึก หรือจิตเหนือสำนึก ซึ่งเรามักจะไม่คุ้นเคยว่า-เป็นส่วนหนึ่งของเราโดยแท้

    เราคุ้นเคยแต่เพียงความคิดที่เราเรียกมันว่า เป็นความคิดที่มาจากจิตสำนึกเท่านั้น เพราะความคิดที่มาจากจิตสำนึกเป็นความคิดส่วนที่ได้รับการควบคุม จดจ่อและเอาใจใส่เป็นพิเศษด้วยสติสัมปชัญญะอันคมชัด และเป็นเพียงส่วนย่อย หรือส่วนน้อยที่เราใช้การอยู่เป็นประจำ

    ในความคุ้นเคยและความเชื่อของเรา เราต่างก็เชื่อว่า ความคิดที่มาจากจิตสำนึก เป็นส่วนที่เต็มไปด้วยเจตนา และความมุ่งมั่น และควบคุมได้ แต่บ่อยครั้งเรากลับไม่ได้เผชิญกับความคิดหรือสาระของความคิดส่วนนี้ดังปรารถนา แต่เผชิญกับความคิดที่ผุดขึ้นมาจากจิตไร้สำนึก จิตใต้สำนึก หรือจิตเหนือสำนึก ซึ่งดูเสมือนว่าจะควบคุมไม่ได้ เราจึงมักปฏิเสธว่า มันไม่ใช่ความคิดของเรา หรือถูกกำหนดให้ผุดขึ้นในสติสัมปชัญญะ ด้วยพลังอำนาจหรือปัจจัยอื่นๆภายนอกตัวตนของเรา

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า แท้จริงแล้ว จิตไร้สำนึก จิตใต้สำนึก จิตเหนือสำนึก และจิตสำนีก ปราศจากการแบ่งแยก ปราศจากความหมายที่แท้จริง เพราะภาวะของการมีสติสัมปชัญญะที่ถูกควบคุมด้วยจิตสำนึกในระดับต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นภาวะที่ผันแปรไปตลอดวันเวลา และทุกภาวะล้วนผันแปรเป็นภาวะที่มีจิตสำนึก คือมาจากเจตนา ความมุ่งมั่นของเรา และควบคุมได้ไม่น้อยไปกว่าภาวะที่เราเรียกว่า ความคิดที่มาจากจิตสำนึกซึ่งควบคุมด้วยสติสัมปชัญญะอันคมชัด

    ความคิดที่ซุกซ่อน หรือซ่อนเร้นอยู่ในภาวะอื่นๆของสติสัมปชัญญะที่กล่าวมานี้ มักจะถูกซุกซ่อนหรือซ่อนเร้น เพราะความเชื่อที่คล้อยตามกรอบความคิดของขนบธรรมเนียม ประเพณี สังคม ศาสนา การศึกษา ฯลฯ ซึ่งทำให้บุคคลเชื่อว่า ความคิดหนึ่งๆ เป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการยอมรับ หรือแม้แต่เป็นความคิดที่ต้องห้าม ผิด บาป นอกกรอบ แหกคอก หรือ think outside the box เช่นภาพนี้ของคุณ Mead [​IMG]
    ความคิดเหล่านี้จึงผุดขึ้นมาเสมอๆเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของเราตามธรรมชาติ และไม่อาจจะถูกลบล้างได้ด้วยกฏเกณฑ์ทั้งหลายอันเป็นปัจจัยภายนอก

    จิตวิญญาณของเราทั้งหลายให้ความสำคัญกับชีวิตและทุกสิ่งทุกอย่างตามธรรมชาติความเป็นจริง ส่วนอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเรานั้น มักจะให้ความสำคัญต่อส่ิงต่างๆตามความเชื่อของเรา เช่น ให้ความสำคัญกับวัตถุธาตุ ลาภ ยศ สรรญเสริญ ตามความเชื่อที่ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของความสุข ความสำเร็จในชีวิต ในขณะที่จิตวิญญาณให้ความสำคัญกับความรู้ ตามความเป็นจริงที่ว่า ความรู้คือสัญลักษณ์ของเมตตาและปัญญา ซึ่งเป็นแก่นแท้หรือภาวะต้นกำเนิดของจิตวิญญาณ

    เมื่อเราตั้งจิตปรารถนา เรามักต้ังจิตปรารถนาที่จะรู้เห็นในความฝัน หรือในสมาธิ ไปตามอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อของเราไม่มากก็น้อย แต่กลไกหลักผู้รับเอาคำตอบที่เราปรารถนา ไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกจากจิตวิญญาณของเราโดยแท้ จิตวิญญาณจึงพุ่งไปสู่สาระอันเต็มไปด้วยคุณค่า ที่มักจะก้าวข้ามสาระรอง หรือสาระที่จิตวิญญาณไม่ได้ให้ความสำคัญไปโดยสิ้นเชิง

    เราแต่ละคนคงจะเคยเผชิญกับความฝันที่ลุ่มลึก ประทับใจ เต็มไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง ไม่มากก็น้อยด้วยกันทุกคน เรามักจดจำความฝันชนิดนี้ได้แม่นยำตลอดชีวิต หากทบทวนความฝันเหล่านี้ดู เราจะพบได้ว่าความลุ่มลึก น่าประทับใจ และความหมายอันลึกซึ้งของความฝันเหล่านี้ ล้วนเกี่ยวพันกับความรู้ทั้งสิ้น ซึ่งมักเป็นความรู้ที่พลักผันทัศนคติ มุมมอง และความเชื่อของเราโดยสิ้นเชิง


    พวกเราก็คงไม่ลืมคำจำกัดความที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้ให้ไว้ในหนังสือว่า
    จิตวิญญาณ คิือ ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพที่ถ่ายทอดด้วยอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด

    ดังนั้นเมื่อจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพในความฝันตามธรรมชาติ เราจึงมักจะรู้สึกว่า เราไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ เพราะจิตวิญญาณปลิดเอาสองส่วนที่เราให้ความสำคัญมากออกไป อันได้แก่จินตนาการ และ ความเชื่อ หรือกล่าวให้ชัดเจนได้ว่า จิตวิญญาณปลิดเอาจินตนาการที่คล้อยตามความเชื่อบางส่วนทิ้งไป

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า ความฝันเป็นโลกที่เปลือยเปล่าและปราศจากเครื่องพราง
    ช่องว่างและกาลเวลา เป็นเครื่องพรางทางกายภาพ
    จินตนาการที่คล้อยตามความเชื่อ เป็นเครื่องพรางทางจินตภาพ

    จิตวิญญาณของเราไม่มีวันที่จะผิดกฏเกณฑ์ตามธรรมชาติ ที่จะสามารถรู้เห็นข้อมูลความรู้ข้ามชาติภพในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต และเปลี่ยนแปลงแก้ไขประสบการณ์ทั้งหลายได้ในความฝัน นอกเสียจากว่าเราจะเชื่อว่าโลกของความฝันเต็มไปด้วยกฏเกณฑ์เสมือนโลกยามตื่น เราก็จะคาดหวังว่าโลกของความฝันจะเป็นไปตามกฏเกณฑ์เหล่านั้น

    แต่เมื่อจิตวิญญาณท่องไปในโลกของความฝัน กฏเกณฑ์ที่เสมือนโลกยามตื่นซึ่งเราสรัางไว้ด้วยจินตนาการและความเชื่อของตนเอง ก็ไม่อาจเป็นไปได้ในโลกของความฝันที่เปลือยเปล่าปราศจากเครื่องพราง เราจึงมักจะไม่อาจจดจำความฝันได้เสมือนจดจำเหตุการณ์ในโลกยามตื่น และไม่อาจเข้าใจสัญลักษณ์ต่างๆในโลกของความฝันได้เช่่นเดียวกับที่เราเข้าใจประสบการณ์ในโลกยามตื่น และตัวตนพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะของเราในความฝัน นอกจากจำเป็นจะต้องมีสติสัมปชัญญะอันคมชัดแล้ว ยังจำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจในธรรมชาติของโลกอันปราศจากเครื่องพรางของความฝันอีกด้วย จึงจะเข้าใจประสบการณ์ในความฝันได้อย่างแม่นยำ

    พี่นักเขียนขอแนะนำให้ คุณลูก ayadaree ใช้ความรู้สึก แทนที่จะใช้ความคิดต่อคำตอบที่ได้รับจากความฝันเสมอๆ เพราะความรู้สึกเป็นกลไกการรู้เห็นของจิตวิญญาณโดยตรง หากเราใช้ความคิดพิจารณาคำตอบที่ได้รับจากความฝัน เรามักจะนำเอาจินตนาการที่คล้อยตามความเชื่อ เป็นเครื่องพรางทางจินตภาพมาระบายสีความฝัน และพยายามตีความหมายสิ่งต่างๆจากความ ฝันด้วยมุมมองและทัศนของประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งใช้การไม่ได้ในความฝัน ทำให้ความหมายของความฝันบิดเบือนไปตามจินตนาการที่คล้อยตามความเชื่อโดยปริยาย

    คุณลูกจะพบว่า ความรู้สึกเป็นกลไกที่ทำให้เราทราบได้อย่างลุ่มลึกว่า คำตอบที่ปรากฏอยู่ภายใต้สัญลักษณ์ของความฝันทั้งหมดนั้นคืออะไร บ่อยครั้งมันอาจเป็นคำตอบที่ปราศจากถ้อยคำ แต่เป็นคำตอบที่เราเข้าใจโดยปราศจากคำพูด และมักเป็นคำตอบที่มีคุณค่า มีความหมายในเชิงของความรู้ ไม่ใช่ในเชิงของสิ่งที่เป็นความเพิ่มพูนทางกายภาพ(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2008
  3. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ข้อความของพี่นักเขียนฯชุดนี้น่าสนใจแต่ต้องค่อยๆอ่านทำความเข้าใจที่เดียวครับ
    รวบรวมสมาธิจดจ่อสักนิดจึงจะอ่านง่ายขึ้น ไม่งั้นอาจโดนเครื่องพรางปิดกั้นเอาง่ายๆ (อิอิ)
    ปลิดจินตนาการกับความเชื่อออกไปก่อนแล้วประมวลผลด้วยความรู้สึกเป็นภาพขึ้นในหัวสักพัก
    ความเข้าใจจะค่อยๆชัดขึ้น ข้อมูลนี้มีประโยชน์มากจริงๆครับ (น่าเอามาทำภาพประกอบ..)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2008
  4. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    รู้สึกว่าตั้งแต่เริ่มเข้ามาศึกษาข้อมูลความรู้ของท่านอาจารย์อนาลัยกับพี่นักเขียนตั้งแต่ปีที่แล้วมา ก็พบว่าหลาย ๆ ความฝันเริ่มเป็นความจริงค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความฝันที่ย้อนกลับไปสู่ยุคอียิปต์, ความฝันที่จะได้มีโอกาสได้เรียนรู้วิชาของเจ้าแม่กวนอิม, ความฝันที่ต้องเผชิญกับพลังชั่ว ฯลฯ ทำให้เริ่มเข้าใจว่าหากเราเชื่อในความฝันแล้วก็จะทำให้เราดึงดูดประสบการณ์นั้น ๆ เข้ามาสู่ความเป็นจริงยามตื่น แต่ถ้าเราไม่ต้องการเผชิญกับประสบการณ์ดังกล่าวเราก็สามารถเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ได้ด้วยการเปลี่ยนความเชื่อหรือเปลี่ยนการจดจ่อนั้นไปได้ด้วยความรู้สึกนึกคิดในแง่บวก หรือการใช้พลังอำนาจแห่งปัจจุบันแก้ไขความเป็นจริงในยามตื่นนั่นเอง ขอบคุณพี่เขียนมากค่ะที่ช่วยทำให้มุมมองทางจิตวิญญาณขยายออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ..
    ;39:z5:z5:z5 ;aa23
     
  5. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ตามไปอ่านเรื่องเล่าและประสบการณ์คุณเดรดในมหาปิรามิดที่อียิปต์กันได้
    เล่าได้สนุกเหลือหลายเหมือนเดินทางไปด้วยเลยครับ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=104085&page=109
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2008
  6. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ไม่ว่าผู้อ่านแต่ละท่านจะได้มีโอกาสอ่าน หรือศึกษาข้อมูลความรู้จากหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัยแล้วหรือไม่ก็ตาม พี่นักเขียนขอให้แต่ละท่านย้อนกลับไปสำรวจประสบการณ์ชีวิตในอดีตของตนเอง และค้นให้พบต้นกำเนิดของแต่ละประสบการณ์ว่า มันมีต้นกำเนิดมาจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อใดของตนเอง เพื่อสำรวจคำถามของคุณน้องขจรวรรณ และพิสูจน์คำตอบที่ปรากฏในหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัย

    หากเราซื่อสัตย์ต่อตนเองโดยไม่กล่าวโทษปัจจัยภายนอกใดๆ ไม่มากก็น้อยเราย่อมจะตระหนักได้ด้วยกันทุกคนว่า ประสบการณ์ทั้งหลายในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ เรื่องดี เรื่องร้าย ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อของตนเองเสมอ

    หลายท่านที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน เช่น เคยสูญเสียทรัพย์สิน สูญเสียสัมพันธภาพ สูญเสียสุขภาพที่ดี หรือเผชิญกับประสบการณ์ที่ดูเสมือนจะไม่มีทางออก เมื่อประสบการณ์ทั้งหมดผ่านพ้นไป ไม่มากก็น้อย เราแต่ละคนจะตระหนักได้ว่า เรามีส่วนร่วมในการสร้างประสบการณ์ สร้างสถานการณ์เหล่านั้น เพียงแต่ว่าแต่ละคนจะยอมรับความเป็นจริงนี้ได้มากน้อยเพียงใด และเราแต่ละคน"พอใจ"หรือ"เต็มใจ"ที่จะกล่าวโทษตนเอง หรือกล่าวโทษผู้อื่น หรือกล่าวโทษปัจจัยภายนอกมากกว่ากัน

    ผู้ที่"พอใจ"ที่จะกล่าวโทษผู้อื่นหรือกล่าวโทษปัจจัยภายนอก อาจรู้สึกดีต่อตนเองได้เพียงระยะสั้นๆ และแล้วความรู้สึกไม่ดีทั้งหมดก็จะกลับมาสู่ตนเอง และยากที่จะสลายตัวไป เพราะปัจจัยที่เขาเชื่อว่าก่อให้เกิดประสบการณ์ในแง่ลบ หรือแม้แต่บวก ล้วนอยู่นอกตัวตนของเขา มันทำให้เขารู้สึกไร้พลังอำนาจ หากสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับชีวิตของเขา เขาก็ไม่อาจจะแน่ใจได้ด้วยซ้ำไปว่า มันจะเกิดขึ้นกับเขาได้นานเพียงใด และจะทำให้เกิดขึ้นอีกได้หรือไม่-อย่างไร? เพราะเขาไม่ได้เชื่อว่าตนเองมีพลังอำนาจที่จะควบคุมความเป็นไปเหล่านั้น หากสิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับชีวิตของเขา เขาก็จะยิ่งรู้สึกไร้พลังอำนาจยิ่งไปกว่านั้นอีก

    แต่ผู้ที่"เต็มใจ"ที่จะกล่าวโทษตนเอง แม้ว่าเขาอาจจะมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อตนเองเกิดขึ้นบ้าง เช่น ตำหนิตนเอง เช่นที่คุณน้องจินตวดี ตำหนิตนเอง (และขอให้พี่นักเขียนเอาปากกาป๊อก bone head สักที) แต่การตระหนักได้ว่าปัจจัยที่แท้จริงที่ก่อเกิดประสบการณ์ทั้งหลายในชีวิต เกิดจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อของตนเอง จะทำให้บุคคลเหล่านี้ ตระหนักได้ถึงพลังอำนาจในตนเอง ซึ่่งเขาสามารถจะควบคุมได้ ซึ่งจะทำให้ความรู้สึกที่ไม่ดีและความเชื่อในแง่ลบที่มีต่อตนเอง และการตำหนิตนเอง กลายเป็นความรู้ที่สามารถพลิกผันตนเอง เป็นการติเพื่อก่อ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตนเองระยะยาวตลอดชีวิต

    ฉะนั้นนอกจากพี่นักเขียนจะไม่ป๊อก bone head ตามที่ขอแล้ว ขอสวมกอดแทน และขอบอกว่า ภูมิใจในคุณน้องจินตวดีที่นอกจากจะเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างน่าภาคภูมิใจแล้ว ยังมีความกล้าหาญที่จะยอมรับความเป็นจริงอย่างเปิดเผย เป็นแบบฉบับที่เราท่านทั้งหลายควรเอาเยี่ยงอย่างเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนส่ว้นน้อยเท่านั้นที่มักจะยอมรับได้อย่างเปิดเผยเช่นนี้
    [​IMG]

    ในทางตรงกันข้าม คนส่วนมากที่เผชิญกับความสำเร็จ มักจะยอมรับได้อย่างหน้าชื่นตาบานว่า เขามีส่วนร่วมในการสร้างประสบการณ์ สร้างสถานการณ์ชีวิตของตนเอง ผู้ที่ประสพความสำเร็จบางคนอาจเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โชคชะตา หรือสิ่งอื่นๆที่อยู่นอกตัวตนของเขา แต่ไม่มากก็น้อยบุคคลเหล่านั้นจะตระหนักได้ว่า เขาประสพความสำเร็จได้ด้วย"ความเชื่อ"ของตนเอง-ที่มีให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือโชคชะตาเหล่านั้น บุคคลเหล่านี้จะกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า เขาประสพความสำเร็จในชีวิต เพราะได้รับพร จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเพราะเขาเป็นผู้ที่โชคดี เพราะเขามีความเชื่อ มีศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในโชคชะตาอย่างหมดใจ และอาจกล่าวว่า ผู้ที่ไม่ประสพความสำเร็จอื่นๆ เกิดจากการขาดความเชื่อ ขาดศรัทธาอย่างหมดใจ

    ส่วนผู้ที่ล้มเหลว อาจเป็นการยากที่จะยอมรับได้ว่า ตนเองมีส่วนร่วมในการสร้างประสบการณ์ สร้างสถานการณ์เหล่านั้น บุคคลเหล่านั้นอาจกล่าวโทษ หรือยกความผิดให้ผู้อื่นหรือปัจจัยภายนอกอื่นๆ ต่อเมื่อเวลาล่วงเลยไป คนจำนวนไม่น้อยที่ย้อนกลับไปพิจารณาเหตุการณ์ในแง่ลบเหล่านั้น จะค้นพบได้ไม่มากก็น้อยว่า ตนเองมีส่วนร่วมสร้างประสบการณ์หรือสถานการณ์ในแง่ลบเหล่านั้นไม่มากก็น้อย เพียงแต่เขาจะยอมรับความจริงหรือไม่เท่านั้น

    ในขณะจิตที่เรากำลังเผชิญกับประสบการณ์ทั้งหลาย เรามักจะไม่ได้ตระหนักในพลังอำนาจของตนเอง ไม่ได้ตระหนักในพลังอำนาจของความเชื่อของตนเอง ซึ่งเป็นปัจจัยก่อเกิดทุกประสบการณ์ ตลอดจนสุขภาพร่างกายของตนเอง ต่อเมื่อประสบการณ์เหล่านั้นผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มากก็น้อย เราทั้งหลายจะตระหนักได้เสมอว่า เรามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ชีวิตของตนเอง

    ดังนั้นการที่เราจะทราบได้ว่า ประสบการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันนี้ เกิดจากความเชื่อของตนเอง มีปัจจัยหลักเพียงปัจจัยเดียวคือ การมีสติสัมปชัญญะอันคมชัด

    เหตุการณ์ทั้งหลายในอดีต ล้วนเป็นบทเรียนที่ทำให้เรารอดพ้นจากอันตรายในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างแม่นยำ หากเรามีสติสัมปชัญญะคมชัดพอที่จะนำเอาประสบการณ์ในอดีตเหล่านั้นขึ้นมาใช้ได้อย่างฉับพลัน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่เคยประสพกับการถูกน้ำร้อนลวก จะมีสติสัมปชัญญะที่คมชัดขึ้นทุกขณะที่ตนเองต้องรับมือกับน้ำร้อนหรือของร้อน คือมีความตื่นตัวระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะประสบการณ์ในอดีตย่อมเป็นบทเรียนที่ทำให้เขาตระหนักได้ถึงผลสืบเนื่องของการขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความตื่นตัวระมัดระวัง ยังผลให้ถูกน้ำร้อนลวก และเผชิญกับการบาดเจ็บที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น หากเขามีสติสมัปชัญญะที่คมชัดและมีความตื่นตัวระมัดระวังเป็นที่ตั้ง เขาย่อมจะสามารถรับมือกับของร้อนได้อย่างปลอดภัย

    ฉันใดก็ฉันนั้น หากเราฝึกฝนให้ตนเองมีสติสัมปชัญญะอันคมชัด รู้เห็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตนเองอยู่เสมอ เราก็แทบจะคาดเดาได้ว่า อารมณ์-จินตนการและความรู้สึกนึกคิดที่กำลังคล้อยตามความเชื่อของเราอยู่ในขณะจิตนี้ จะเหนี่ยวนำประสบการณ์ใดมาสู่ชีวิตของตนเอง

    พี่นักเขียนหวังว่า เราท่านทั้งหลายจะตระหนักได้ว่า ทุกประสบการณ์ที่เราได้เคยเผชิญมาแล้ว กำลังเผชิญอยู่ และจะเผชิญต่อไปในอนาคต ล้วนเกิดจากความเชื่อของตนเองทั้งสิ้น และการที่เราจะตระหนักได้ว่ามันกำล้งเป็นไปเช่นนั้น ทำได้ด้วยการฝึกฝนให้ตนเองมีสติสัมปชัญญะอันคมชัดอยู่เสมอ

    ดังนั้น คำถามของคุณน้องขจรวรรณ จึงเป็นคำถามที่เราทั้งหลายต้องพิจารณา เพราะหากเราปราศจากความเข้าใจในภาวะจิตและพลังอำนาจตามธรรมชาติของจิตวิญญาณของตนเอง เราจะยังคงแยกแยะต่อไปว่า บางประสบการณ์ชีวิตเกิดจากความเชื่อของตนเอง และบางประสบการณ์ชีวิตเกิดขึ้นจากปัจจัยอื่นๆนอกตัวตนของเรา

    ไม่มีสิ่งใดในประสบการณ์ชีวิตที่เกิดขึ้นกับเรา โดยที่เราไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยอารมณ​์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อของตนเอง

    ดังคำกล่าวที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้ตอกย้ำเสมอๆ ในหนังสือแทบทุกเล่มว่า
    เธอทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริง ด้วยความเชื่อของตนเอง


    หัวใจของคำสอนของท่าน ไม่ได้อยู่ที่ว่าให้เราเรียนรู้ที่จะแยกแยะว่า ประสบการณ์ชีวิตใดเกิดจากความเชื่อของตนเอง และประสบการณ์ชีวิตใดเกิดขึ้นจากปัจจัยอื่นๆนอกตัวตนของเรา หากแต่ให้เราตระหนักเสมอว่า ทุกประสบการณ์ชีวิตเกิดขึ้นจากภายใน จากอารมณ​์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อของตนเอง ซึ่งเราเป็นผู้เลือก เราเป็นผู้สร้างสรรค์

    สิ่งสำคัญที่เราต้องเรียนรู้และฝึกฝนคือ เลือกและสร้างสรรค์ด้วยสติพร้อมเสมอ เพื่อให้ตนเองได้เผชิญกับสิ่งที่พึงปรารถนา ด้วยเจตนาที่ดี และเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นไปเพื่อการเรียนรู้ เพื่อการสร้างสรรค์ปัญญาให้งอกเงย ไม่ใช่เผชิญกับโลกแห่งความเชื่อที่เป็นไปเพื่อความพึงพอใจส่วนบุคคล หรือโลกแห่งความเชื่ออันงมงาย ไม่ใช่เผชิญกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ตามอารมณ​์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่ลบ หรือเจตนาในแง่ร้าย ที่ให้โทษต่อตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งขาดการควบคุมด้วยสติสัมปชัญญะอันคมชัด โดยไม่ได้ตระหนักว่าประสบการณ์ทั้งหลายนั้นมาจากหนใด? ใครคือผู้สร้างสรรค์?(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2008
  7. aydaree

    aydaree สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2008
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +1
    เห็นด้วยกับคุณ Mead ค่ะ อยากให้พี่เม้า หรือ คุณ mead หรือท่านใดที่พอจะช่วยรุ่นน้องคนนี้ ทำความเข้าใจเป็นแบบภาพประกอบ หรือ Road Think about DREM... (คิดสำนวนเองค่ะ เพราะต้องจดเป็นหัวข้อไว้เหมือนกับเวลาเรียนในห้อง) สำหรับเรื่องนี้ให้ด้วยค่ะ ขออนุญาติแม่อาจารย์ให้รุ่นพี่ช่วยรุ่นน้องติวความรู้เพิ่มเติมด้วยนะค่ะ (รู้สึกเหมือนกับเรียนแล้วตัวเองไม่สนใจฟัง เอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นหลัก เลยรู้สึกเหมือนจับข้อความสำคัญไม่ถูกเพราะสำคัญไปหมดทุกคำที่แม่อาจารย์ทบทวนให้ กลัวสอบได้คะแนนน้อย...ขอโทษนะค่ะที่ตามบางเรื่องกับรุ่นพี่ไม่ทัน และขอบคุณแม่อาจารย์มากค่ะที่ตอบคำถามของลูก aydaree นึกว่าไม่ห่วงซะแล้วววว....
     
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    สวัสดีครับ
    เรื่องนี้อย่าเพิ่งคิดว่ารุ่นพี่เก่งไปกว่ารุ่นน้องเลยนะ ถึงแม้จะเรียนรู้มาก่อนก็จริง ก้อยังมีอาการได้หน้า-ลืมหลังเหมือนกันนะครับ มีข้อความนึงพี่นักเขียนฯกล่าวไว้ครับว่า จริงๆแล้วการพัฒนาทางจิตนั้นไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียว แต่เป็นการพัฒนาไปทั้งระบบทุกทิศทาง พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน ไม่มีจากก่อนไปหลัง-จากล่างขึ้นบน-จากต่ำไปสูง พี่ๆทกคนก็เรียนรู้ประสบการณ์จากรุ่นน้องๆเหมือนกัน ดังนั้นความเข้าใจที่เกิดขึ้นจากภายในไม่อาจวัดได้ว่าตามกันทันหรือไม่?...เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้และเข้าใจด้วยประสบการณ์จริง บางเรื่องที่เคยอ่านผ่านตาไปก็พอเรียกได้ว่าเข้าใจ แต่พอมีเหตุการณ์หรือสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นใกล้ๆตัวที่เกี่ยวกับความเชื่อ กลับจะเข้าใจลึกซึ้งในความหมายนั้นๆได้ดียิ่งขึ้นเป็นลำดับ และบางทีก็พ้นจากระบบความเชื่อนั้นไปเลย ต้องใช้เวลาศึกษาครับ

    เรื่องภาพประกอบนั้น ช่วงไหนว่างจะลองทำดู
    เพราะภาพหนึ่งภาพก็ทำให้จดจำได้ง่ายขึ้น แต่ก็อาจอธิบายได้ไม่ดีเท่าที่แต่ละคนรู้สึกเอง
    ใครสนใจลองทำภาพประกอบเกี่ยวกับสาระในหนังสือ
    ดึงเอาความรู้ภายในออกมาอธิบายบ้างก็ดี ช่วยแนะนำรุ่นน้องที่น่ารักคนนี้ด้วยครับ
    Road Think about DREM...To aydaree
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2008
  9. aydaree

    aydaree สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2008
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอบคุณมากค่ะ พี่ mead ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ฝากด้วยค่ะ...
    thaxxthaxx;aa42 รบกวนแม่อาจารย์ด้วยนะค่ะ (แอบขอแม่อีกแล้ว)
     
  10. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    คงเป็นเหมือนบทเพลง...sunlutan of the swings ของ the best of the dire strais แน่ๆท่านเพียรมาสุดๆแล้วตั้งสามสิบกว่าปี...กระผมกระท่อนกระแท่นไม่อาจนำเอามากล่าวได้ขอรับ

    ภาพใบหน้าที่เอามาแสดง
    หากมองแต่ภาพอย่างผิวเผินมีครึ่งวงล้อ...
    แต่คนเข้าใจมากๆ...ได้แปดซี่
    จบแล้วเพราะพุทธองค์ก็บอกว่าเท่านี้ก็จบแล้ว

    แต่กระผมขอเสนอความคิดอย่างกลางๆว่า

    บางท่านเหล่าบรรดามิตรรักสหายธรรมศึกษาเพื่อความสุขของตัวเองเพื่อชีวิตประจำวันเท่านั้น

    บางท่านศึกษาเพื่อความเข้าใจเพื่อความสุขความหลุดพ้น

    บางท่านกับ....คนที่ศึกษาเพื่อรู้เท่านั้น

    คือกระผมมีข้อสงสัยอยากใคร่เรียนถามและขอความกรุณาขอความรู้จากท่านในความสงสัยของตัวกระผมที่หาคำตอบมายาวนานเช่นกันและหาคำตอบไม่ได้ชัดแจ้งในทุกๆทางที่มีอยู่และหาอยู่จึง...โปรดขอความกรุณามาขอคำแนะนำและความรู้จากท่านเจ้าของกระทู้ด้วยขอรับว่า

    ภาพที่แสดงหน้าคน
    ถามว่าทำไมมีสี่จุด
    เป็นแปดได้อย่างไร
    หนึ่งมาจากไหน
    สี่หมื่นแปดพันไปอย่างไรที่กล่าวออกมาแล้วหายสงสัย.......เพราะกระผมก็ยุ่งเหยิงอยู่ตรงนี้อยู่เช่นกัน...แต่ก็หาประโยชน์ไม่ที่จะไปรู้เข้าใจในตรงนี้ด้านนี้เพื่ออะไร...หากท่านมีความกรุณาคงพอมีแนวมางพิจารณาแนะนำให้กระผมปรับปรุงแก้ไขได้บ้างขอรับ....เพราะกระผมปฏิบัติมาแบบไม่มีแบบแผน...และไม่ปะติดปะต่อ.....อาจจะหลงทางหรือกระทำหรือเข้าใจบางอย่างไม่ถูกต้องซึ่งอาจจะคงพอแก้ไขได้ทันขอรับหากได้รับความกรุณาขอรับ

    คนบ้าหลงเข้ามาขอรับกระผม......ขอท่านโปรดเมตตาชี้แนะแนวทางด้วยขอรับและขอท่านพิจารณากระทู้โดยความไม่ประมาทเถิด...แทนที่กระผมจะมาอ่านแต่ฟังสิบเอ็ดเพลงแล้วก็จบ...แต่มีคำถามต่อขอรับ...หากมาสร้างความยุ่งยากกระผมก็ขอกราบขอโทษและขอประทานอภัยไว้ด้วยในที่นี้ขอรับ....กราบขอบพระคุณยิ่งยิ่งแล้วขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2008
  11. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ภาพที่แสดงหน้าคน
    ถามว่าทำไมมีสี่จุด
    เป็นแปดได้อย่างไร
    หนึ่งมาจากไหน
    สี่หมื่นแปดพันไปอย่างไร ?

    ไม่ทราบว่าเป็นปริศนาจากภาพใดครับคุณมะหน่อ พูดถึงวงล้อธรรมจักรหรืออะไรครับ?
    สรรพสิ่งทั้งปวงล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน มีให้เราเรียนรู้ได้หลายๆทิศทาง ทั้งทางตรง ทางอ้อม ทางคดเคี้ยว ฯ
    และในที่สุดก็จะพบคำตอบได้เอง ผู้ถาม-ผู้ตอบอยู่ในตัวเรา ลองใช้ความรู้สึกของเราค้นหานะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2008
  12. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ขอขอบพระคุณมากขอรับ...ผมไปเวฟที่มีเพลงสิบเอ็ดเพลงมาตอนนี้กระผมเข้าใจแล้วขอรับ

    ขอบพระคุณมากขอรับ...เพราะเขียนรูปใบหน้าคนไว้และมีสี่ขั้นตอนผมอยากรู้ว่าคนเขียนคือใครตอนนี้ผมรู้แล้วขอรับ

    กราบขอบพระคุณท่านยิ่งแล้วขอรับ
     
  13. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ช่วงนี้หายไป 2-3 วัน ไปเรียนรู้ประสบการณ์จากแหล่งอื่นมาเล็กน้อยครับ
    การได้ไปเก็บเกี่ยว-ผสมผสาน-ต่อยอดและตอกย้ำเพิ่มความเข้าใจในความรู้นั้นบ้างก็ช่วยได้มากเหมือนกันครับ
    และก็พบว่าคำตอบก็อยู่ที่นี่แล้วครับแทบไม่ต้องไปหาไกลตัวที่ไหนเลย..ยิ่งเจอก็ยิ่งพบ-ค้นไปเท่าไหร่ก็เจอแบบนี้อีก
    ทุกสิ่งที่เรามุ่งไปหาคำตอบก็วนกลับมาเชื่อมกันหมดเลยครับ..
    ไม่ว่าคุณเซลล์ คุณซิปฯ คุณเดรด พี่ประสงค์ คุณขจรวรรณ และพวกเราในห้องนี้ส่วนมากจะเข้าใจนะครับ

    [​IMG]


    จำได้ว่าเมื่อก่อนเคยเห็นข้อความหนึ่งที่เขียนว่า "จงเชื่อในพระเจ้า"
    ที่ทางคริสต์เค้ามักจะแปะไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ เวลาที่เราเดินทางไกลไปต่างจังหวัดจะเห็นบ่อยๆ
    เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจครับว่าทำไมต้องเชื่อด้วย..ไม่ใช่เหตุผลพิจารณากันหรืออย่างไร?
    เค้าให้เชื่อเลยแบบนั้นเข้าข่าย"งมงาย"รึเปล่านะ?

    ก็เพิ่งมาเข้าใจเรื่อง"ความเชื่อ"อย่างลึกซึ้งก็ตอนมาเจอพี่นักเขียนฯนี่ล่ะครับ
    ความหมายอันลึกลับของความเชื่อนี่มีอะไรให้เรียนรู้ได้ไม่รู้จบนะครับ
    กว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่าความเชื่อความศรัทธา ในอะไรก็ตามที่เราเกี่ยวข้องด้วย
    มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตสูงมาก..การใช้ความเชื่อหนึ่งๆให้เกิดผลดีสูงสุดก็ทำได้
    และความเชื่อที่ไม่เหมาะสมก็มีกระทบกับความรู้สึกของผู้อื่นได้มากไม่น้อยไปกว่ากัน
    การแยกแยะและพิจารณาความเชื่อหนึ่งๆนั้นควรทำอย่างไร?
    แต่ละคนก็ล้วนมีคำตอบมากมายอยู่ในความคิดและความรู้สึกลึกๆ

    ความเชื่อหรือความศรัทธานั้นก็ยังเป็นประสบการณ์ที่ดีให้เราได้เรียนรู้ได้เสมอเมื่อมองย้อนกลับไป
    ยิ่งรู้ก็ยิ่งเข้าใจยิ่งขึ้น...ว่าการที่จะพ้นไปจากความเชื่อได้หรือเปลี่ยนความเชื่อให้เป็นความรู้ได้นั้น
    ต้องทำอย่างไร และเราสามารถเลือกที่จะเชื่อ และเดินอยู่บนเส้นทางอันเป็นนิรันดร์ที่เรียบง่ายได้อย่างไร ธรรมชาติอันแท้จริงของเรามีพร้อมหากเราระลึกได้ ซึ่งไม่ใช่ด้วยพลังอะไรจากภายนอกที่มักพากันติดหลุมพรางกันได้บ่อยๆ ด้วยความรู้สึกที่มีอย่ในจิตของเราจะบอกเราได้แทบทุกครั้ง..ความรู้สึกแรก..ที่แว่ปเข้ามา..เป็นสิ่งที่รู้สึกได้ของเราทุกคนครับ

    หลังจากได้เรียนรู้ในห้องนี้จากพี่นักเขียนมาปีกว่าแล้ว เดี๋ยวนี้เวลาที่มีคำถาม และพอนึกจะถามทีไรคำตอบเริ่มจะไหลมาเองบ่อยๆ คงซึมซับกันมาจากเพื่อนๆและพี่นักเขียนนี่ล่ะ พอเรารู้สึกถึงเรื่องที่จะถามที่ไร เหมือนกระแสไฟฟ้าต่อครบวงจรขึ้น กระแสไฟฟ้าก็เริ่มวิ่งไหลไม่ติดขัดครับ..ต้องขอบคุณพี่นักเขียนอีกตามเคย..เพราะการที่เราทุกคนได้หาเจอความรู้ดีๆเช่นนี้ได้ ย่อมไม่มีความบังเอิญใดๆครับ :-
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2008
  14. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ความเชื่อ (Beliefs)

    ความเชื่อ เป็นส่ิงที่เราทั้งหลายมักจะตระหนักไม่ได้ว่า มันเป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคล หาใช่ความเป็นจริงไม่ เพราะทุกสิ่งที่เราเชื่ออย่างหมดใจ หรือเชื่ออย่างตาบอด จะปรากฏเสมือนว่าเป็นความเป็นจริงในโลกแห่งความเป็นจริงของเราเสมอ อย่างไม่มีข้อยกเว้น - ตามกฏแห่งการดึงดูดของจักรวาล เช่น หากเราเชื่อในความโหดร้าย หรือ การคดโกงเอารัดเอาเปรียบของมนุษย์ ความเชื่อของเราย่อมจะดึงดูดบุคคลประเภทนั้นๆ พร้อมด้วยประสบการณ์ทั้งหลายที่คล้องจองกับความเชื่อนั้นมาสู่ประสบการณ์ชีวิต และตอกย้ำความเชื่อนั้นๆยิ่งขึ้นไปอีก การเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้จึงไม่ใช่ของง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชีวิตของเราดูเสมือนจะจมอยู่ หรือแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางความเชื่อที่ดูเสมือนจะจริงจังจนปฏิเสธไม่ได้

    การเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้เป็นหัวใจของคำสอนของท่านอาจารย์อนาลัย แม้ว่าผู้อ่านจำนวนไม่น้อยจะเข้าใจหรือเห็นด้วยกับคำสอนดังกล่าว แต่เราก็คงจะต้องยอมรับว่า นอกจากการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้จะไม่ใช่ของง่ายแล้ว ยังเป็นกระบวนการที่ไม่มีวันสิ้นสุดอีกด้วย

    แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ชีวิตของเราซึ่งเต็มไปด้วยความเชื่อ เป็นชีวิตที่หลงทางหรือปราศจากความหมาย ในทางตรงกันข้าม ชีวิตของเราทุกคนซึ่งเต็มไปด้วยความเชื่ออันหลากหลาย ล้วนเป็นชีวิตที่มั่งคั่งไปด้วยการเรียนรู้ ทุกขณะจิตที่เราเปลี่ยนความเชื่อหนึ่งๆไปสู่อีกความเชื่อหนึ่ง เราเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างได้อย่างลึกซึ้ง แม้ว่าเราจะยังไม่ได้ไปถึงซึ่งความจริงก็ตาม และเมื่อความเชื่อนั้นๆเปลี่ยนต่อไปอีก เราจะรู้สึกเสมือนว่า เราก้าวไปใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นอีกก้าวหนึ่ง หากเราไม่ปักใจเชื่อเสียก่อนว่า ความเชื่อใหม่นั้น คือความเป็นจริง และคือจุดจบของการแสวงหาความรู้

    พี่นักเขียนได้ยินคำกล่าวที่ว่า
    "It's better to know something in everything than to know everything in something" มาตั้งแต่สมัยยังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม และมีความสงสัยว่า คำกล่าวนี้จริงหรือเปล่า และ การมีความรู้ในภาวะไหนจะดีกว่ากันแน่?


    เมื่อเวลาล่วงเลยไป พี่นักเขียนก็พบว่าชั่วชีวิตของคนเรา เราย่อมมีความรู้ทั้งสองภาวะคละเคล้ากันไป ไม่มีภาวะใดดีไปกว่ากัน ความรู้ทั้งสองภาวะให้คุณกับเราต่างสถานการณ์ ต่างวาระ แต่การคิดว่า "I know everything in everything." ดูเสมือนจะเป็นภาวะที่เป็นพิษเป็นภัยและเป็นอันตรายที่สุดต่อตนเอง

    พวกเราคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "ใครเล่าจะสอนสังฆราช" ไม่มากก็น้อยเราเข้าใจได้ในความหมายของคำกล่าวนี้ได้ว่า ภาวะที่บุคคลตั้งตนเป็นผู้รู้ เป็นภาวะที่เสียเปรียบหรือขาดทุนเป็นอย่างยิ่ง เพราะโอกาสที่จะได้เรียนรู้หรือแก้ไขความเชื่อบางความเชื่อแทบจะไม่มี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับทางเลือกส่วนบุคคลเสมอ

    เมื่อกล่าวถึงความเชื่อ เมื่อเดือนที่แล้ว-พี่นักเขียนได้มีโอกาสไปชมผลงานของศิลปินชาวอเมริกัน ชื่อ Marc Sijan - Milwaukee, Wisconsin ซึ่งมีชื่อเสียงในการปั้นรูปเหมือน ผลงานของเขาทำให้คนจำนวนมากที่เข้าชมต้องถึงกับท้าพนันกัน และยอมลงทุนนั่งเฝ้ารูปเหมือนเหล่านั้นเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพื่อจะพิสูจน์ให้ได้ว่า มันเป็นเพียงหุ่นหรือคนเป็นๆ โดยพยายามเฝ้าดูว่าเมื่อใดหุ่นหรือนักแสดงจะกะพริบตา น้ำตาไหล เหงื่อออก หายใจจนยุบหนอ-พองหนอ หรือจับตามองหาจุดต่างๆที่จะแลเห็นการเต้นของชีพจร ฯลฯ กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ผลงานของ Sijan ทำให้ผู้ชมจำนวนมากต้องพยายามพิสูจน์ความเชื่อของตนเองเสมอๆ

    พี่นักเขียนเฝ้าดูผู้ที่ท้าพิสูจน์เหล่านั้น และฟังเหตุผลต่างๆที่แต่ละฝ่ายนำมาอ้างเพื่อพิสูจน์ความเชื่อของตนเอง ทำให้ตระหนักว่าความเชื่อของคนเรานั้น ช่างมีอิทธิพลเหลือล้ำ ความเชื่อของเราสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของเราดังเช่่นที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ และประสาทสัมผัสทั้งห้าของเราก็สนับสนุนความเชื่อของเราอย่างตาบอด ดังเช่นที่ท่านกล่าวไว้หนังสือโนวา อนาลัย ขยายความธรรมชาติของชาติภพว่า " ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเธอเป็นสิ่งที่ใช้การไม่ได้... มันช่วยกันโกหกอย่างน่ารัก เพื่อเอาใจเธอเสมอ "

    พี่นักเขียนนำภาพถ่ายมาให้พวกเราลองทายกันว่า ภาพใดคือหุ่น และภาพใดคือคน โดยขอให้แต่ละคนลองให้เหตุผลว่า ทำไมจึงเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น พี่นักเขียนจะกลับมาเฉลย และจะขอให้พวกเราสำรวจความเชื่อของตนเองอีกครั้งหลังจากเฉลยนะคะ ภาพที่สอง คือภาพมือ เป็นรายละเอียดของผู้หญิงในภาพแรกค่ะ

    กรุณาอ้างอิงภาพ โดยใช้ a,b,c...k ตามลำดับจากซ้ายไปขวาที่ละแถวค่ะ เช่นสตรีในภาพแรกคือ ภาพ a. ภาพมือคือ ภาพ b. ชายสวมแว่นตาเป็นภาพ c. ... rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a.jpg
      a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      129 KB
      เปิดดู:
      88
    • b.jpg
      b.jpg
      ขนาดไฟล์:
      133.9 KB
      เปิดดู:
      82
    • c.jpg
      c.jpg
      ขนาดไฟล์:
      109.7 KB
      เปิดดู:
      75
    • d.jpg
      d.jpg
      ขนาดไฟล์:
      94.6 KB
      เปิดดู:
      77
    • e.jpg
      e.jpg
      ขนาดไฟล์:
      105.3 KB
      เปิดดู:
      73
    • f.jpg
      f.jpg
      ขนาดไฟล์:
      118.6 KB
      เปิดดู:
      72
    • g.jpg
      g.jpg
      ขนาดไฟล์:
      125.8 KB
      เปิดดู:
      81
    • h.jpg
      h.jpg
      ขนาดไฟล์:
      145.6 KB
      เปิดดู:
      73
    • i.jpg
      i.jpg
      ขนาดไฟล์:
      149.6 KB
      เปิดดู:
      77
    • j.jpg
      j.jpg
      ขนาดไฟล์:
      150.5 KB
      เปิดดู:
      70
    • k.jpg
      k.jpg
      ขนาดไฟล์:
      129.4 KB
      เปิดดู:
      70
  15. aydaree

    aydaree สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2008
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอบคุณมากค่ะ ถ้ามีภาพประกอบบ้างทำให้รู้สึกว่าสร้างความน่าสนใจและเกิดจินตนาการทางความคิดขึ้นมาเยอะเลย และยิ่งมีรายละเอียดประกอบด้วยยิ่งทำให้เข้าใจมากขึ้นค่ะ
    สำหรับการบ้านขอดูตัวอย่างรุ่นพี่ก่อนค่ะ...
     
  16. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    กระผมขอเสนอความคิดอย่างกลางๆสักเล็กน้อย ด้วยหวังว่าท่านเหล่าบรรดามิตรรักเหล่าสหายธรรมทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่านในข้อความนี้โปรดใช้พิจารณให้มากเพื่อความไม่ประมาทเพราะเป็นความเห็นส่วนบุคลลของกระผมเท่านั้น....และไม่มีอะไรมาอ้างอิงได้เพียงแต่เป็นความคิดที่มาจากปัญญาอันน้อยที่มีอยู่เหล่าบรรดามิตรรักสหายธรรมทุกท่านโปรดพิจารณาด้วยความไม่ประมาทเถิดขอรับ

    ข้อความทั้งหมดสามร้อยกว่าหน้ากระผมไม่ได้ไปอ่านทั้งหมดอาจจะมีความเห็นที่ซ้ำกับท่านเจ้าของกระทู้นำเสนอบ้างก็ได้

    การส่งจิตออกนอกนี้เป็นเหมือนดังครึ่งหนึ่งหรือส่วนหนึ่งในการพิจารณาเปรียบเทียบกับการระลึกรู้ในกาย....หากเราไม่ส่งจิตออกนอกเราก็จะเปรียบเทียบการระลึกรู้ไม่ได้

    เหมือนดังท่านเปรียบเทียบว่าคนตาบอด...การรู้ย่อมหายไปบ้าง

    การพิจารณาธรรมมะให้ถึงปรมัติ...มีอุเบกขา...และมีสองด้าน...คือ...ชั่วและดี..(สมมุติในที่นี้)

    กระทู้...มาทางด้านดีมากๆ...คือด้านขวามือ...ที่ผ่านตรงกลางมามากเกือบที่สุดแล้ว....พิจารณาจากถ้อยคำและอารมณ์ที่แสดงและเขียนแนะนำเหล่ากระผมและบรรดาเพื่อนสมาชิก....ไม่มีอารมณ์โมโหติดอยู่เลย...แม้แต่การพิมพ์และจัดเรียงถ้อยความ

    กระผมเข้าไปพิจารณาภาพภาพหนึ่ง...ในเวฟ...อาลัย....หากไม่มีคำนี้เสียแล้วาการตั้งชื่อคงไม่สมบูรณ์เพราะคง...ห่วง...ผู้เดินตามหลังอยู่

    กระผมเจอภาพดวงจันทร์ส่องสว่างความหวังในความมืดดวงจันทร์นั้นเจิดจ้ามากและสะท้อนผิวน้ำขึ้นมาเป็นเงา....หากพร่งนี้พระอาทิตย์ส่องแสงสว่าง...คำว่าอาลัยหมดไป...ทุ่งหญ้าที่สดใสเต็มไปด้วยสิ่งที่ปรารถนาย่อมใช้เวลาอันสั้นแล้วรอแต่อาทิตย์ขึ้นเท่านั้น...หากอาลัยสิ่งเดิมก็คงต้องนั่งเฝ้ามองจันทร์อีกในคืนต่อไป...

    เป็นความเห็นทางด้านรูปภาพเท่านั้นนะขอรับ

    และการพิจารณารูปตัวอย่างที่นำมาแสดงเรื่องหุ่นปั้นนี้
    การพิจารณาภาพ....หรือรูป....คือสิ่งที่มีรูป

    ภาพที่ท่านแสดงให้เลือกทั้งสองด้านคือภาพที่มีวิญญาน....กับภาพที่ไม่มีวิญญานเท่านั้นคือความแตกต่าง

    ดูที่ลมหายใจ.....แต่เป็นเพียงภาพเท่านั้นเราไม่สามารถเข้าไปดูลมหายใจได้
    ดูความรู้สึก....ต้องดูให้ละเอียดมากๆแล้วจะเข้าใจว่าตรงไหนแข็งกระด้างตรงไหนมีอารมณ์หรือมีความรู้สึก

    ยอมรับว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันไกลมากจนคนธรรมดาตามไม่ทันนี่คืออุปสรรค....การทำภาพจำลองหุ่นอย่างไรเมื่อไม่มีวิญญานย่อมแข็งกระด้างเสมือนจริงไม่ได้...คือหุ่นไม่มีวิญญานขอรับ...และภาพใดมีวิญญานคือความละเอียดในอารมณ์ของผู้พิจารณาคือคำตอบซึ่งจะเป็นผลของการรู้...เมื่อรู้แล้วก็ดับไป...หรือไม่ขอรับ

    ด้วยความคิดเห็นอันเป็นความรู้สึกส่วนตนของกระผมนี้อาจจะไม่ถูกต้องขอให้บรรดาเหล่าเพื่อนสมาชิกสหายธรรมโปรดกรุณาเมื่อพิจารณาแล้วทิ้งเสียละเสีย

    ขอกราบขอบพระคุณยิ่งแล้วขอรับ
     
  17. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    กราบขอบพระคุณพี่นักเขียนอย่างสูงค่ะ ที่คอยมาแนะนำ ดูแลความรู้สึก และพัฒนาการของพวกเรา อยู่ตลอดเวลา kindred อ่านข้อความเหล่านี้แล้ว รู้สึกว่า พี่นักเขียนไม่เคยละเลย และเข้าใจ ธรรมชาติ ความรู้สึก ของพวกเราอย่างยิ่ง

    ทุกวันนี้ kindred ยังทำความเข้าใจในคำสอนของอาจารย์ อนาลัย ยังไม่แจ่มแจ้งนัก พยายามที่จะอ่านหนังสืออยู่เรื่อยๆ การอ่านแต่ละครั้งมีความเข้าใจใหม่ๆเกิดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องเสมอไป แต่มันทำให้มุมมองขยายตัวขึ้นมากกว่าค่ะ

    หลังๆ kindred ไม่ค่อยได้ตั้งคำถาม เพราะไม่ทราบที่จะตั้งคำถามอะไรมากกว่า ซึ่งไม่ได้หมายความว่า หมดความสงสัยในการเรียนรู้ใดๆ หรือเรียนรู้หมดแล้ว เพียงแต่ยังนึกคำถามที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรไม่ได้ หรือบางทีไม่ทราบว่าควรจะตั้งประเด็นการถามแบบใด พวกเรายังเรียนรู้กันอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยละเลยกับการพิจารณาความเชื่อต่างๆค่ะ และ พวกเราก็ยังมีความสงสัยใคร่รู้อยู่ตลอดนะคะ พี่นักเขียน...
     
  18. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    พี่นักเขียนเอาการบ้านมาให้พวกเราฝึกกันอีกแล้วดีจังค่ะ ถ้ามองด้วยสายตาปกติเราคงจะแยกแยะไม่ออกว่าภาพในเป็นภาพถ่ายหรือเป็นภาพหุ่นเพราะมีความเหมือนจริงด้วยกันทุกภาพ ทำให้นึกถึงวันที่ไปเรียนวิชาพลังเอกภพยูเรอัสอาจารย์ก็ทดสอบพวกเราเหมือนกันค่ะว่าถ้วยกาแฟที่คว่ำอยู่ 3 ใบนั้นใบไหนที่มีพลังมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด พวกเราก็ใช้วิธีเอาจักระ 6 หรือหน้าผากจับความรู้สึกไปที่ถ้วยแต่ละใบ ก็พอจะแยกแยะออกได้ดังนี้

    ใบที่ 1 รู้สึกว่ามีพลังผ่านมาที่ตัวเรา
    ใบที่ 2 รู้สึกว่ามีพลังผ่านมาที่ตัวเรานิด ๆ
    ใบที่ 3 รู้สึกว่าปวดหน้าผากมาก
    พออาจารย์เฉลยออกมาก็รู้ว่า ใบที่ 1 เป็นวัตถุที่มีพลังมากที่สุด, รองลงมาก็เป็นใบที่ 2 ส่วนใบที่ 3 นั้นไม่มีอะไรอยู่เลย

    ก็เลยคิดว่าน่าจะลองใช้วิธีการเดียวกันจับดู ก็รู้สึกว่าบางรูปมีความรู้สึกบางอย่างมาที่ตัวเรา บางภาพก็นิ่งอยู่ที่จักระ 6 ไม่ไปทางไหน แต่พอจับความรู้สึกไปทุกภาพแล้วรู้สึกปวดหน้าผากก็เลยขอเวลาเช็คดูอีกทีเดี๋ยวมาตอบคำถามใหม่ค่ะ.. เพื่อน ๆ ลองทำดูสิคะรู้สึกยังงัยกันบ้าง? ลองมาฝึกใช้ประสาทสัมผัสภายในกันดูค่ะ..
    ;aa21;welcome2
     
  19. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    [​IMG] ภาพนี้ คิดว่าเป็นคนค่ะ เพราะ มีความรู้สึกว่ามีชีวิต

    [​IMG] ภาพนี้เป็นภาพมือของภาพแรก ตามที่พี่นักเขียนบอก ก็รู้สึกว่ามีชีวิตค่ะ
    [​IMG] ภาพนี้คิดว่าเป็นหุ่นค่ะเพราะแววตาไม่มีชีวิต

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    สามภาพนี้ไม่เห็นแววตา แต่ รู้สึกว่า ไม่มีชีวิต เพราะ มันแข็งๆนะค่ะ

    [​IMG] ภาพนี้เป็นหุ่นค่ะ แววตาไม่มีพลังชีวิต

    [​IMG] ภาพนี้คิดว่าเป็นคนค่ะ รู้สึกว่ามีชีวิต เหมือนเคลื่อนไหว

    [​IMG] [​IMG][​IMG]
    สามภาพนี้คิดว่าเป็นหุ่นค่ะ อารมณ์บอกค่ะ

    พี่นักเขียนขา...ที่ตอบไปใช้ความรู้สึกล้วนๆเลย ไม่มีเหตุผลเลยค่ะ
    เพราะไม่ได้คิดมาก มันไม่มีข้อมูลค่ะ เห็นอย่างไร บอกอย่างนั้นค่ะ
     
  20. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ลองทายดูนะครับ
    ฝีมือการทำหุ่นเค้าไม่ธรรมดาเลยครับ เหมือนเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง รอยย่น รอยด่างดำเก็บมาครบถ้วนเลย แต่ในส่วนของแววตา-ไรผมหรือการติดตั้งวิกผมซึ่งเป็นส่วนประกอบที่พอจะมองเห็นความผิดปกติได้บ้างครับ ศิลปินอาจทำได้ไม่เนียนในจุดนี้ ลองสวมวิญญาณคนปั้นดูจะเห็นความกังวลในจุดเหล่านี้น่ะครับ

    ในส่วนของ"แววตา"เป็นส่วนที่ต้องใช้ความรู้สึกสังเกตเป็นพิเศษครับ (ยกเว้นรูปที่หลับตา)
    การแสดงอารมณ์ออกมาผ่านทางแววตานั้น แต่ละรูปดูไม่มีพลังชิวิตหรืออารมณ์ในสภาวะของช่วงเวลานั้นๆเท่าที่ควรครับ
    **ความรู้สึกส่วนตัวเชื่อว่าทั้งหมดนั้นคือหุ่นครับ**

    แต่รูป A-B และ H น่าสงสัยว่าอาจจะเป็นคนจริงๆก็ได้ครับ...เนียนมากเหลือเกิน (อิอิ)
    คุณ H แกเล่นหลับตาแถมไม่มีผมอีก

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...