สารพันปัญหา ตอบโดยคุณ nopphakan

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย รูปติดบัตร, 26 พฤศจิกายน 2016.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    To Kitty_jeemiee ร่างกายก็ปกติอยู่ จะไปหาหมอทำไมหรือ...
    ยกเว้นว่า ถ้าหมอยังหนุ่มหล่อๆเหมือนดาราก็ไปหาโล้ด
    พอให้ได้เห็นหน้า ๕๕๕..

    เอาว่าเราไม่ต้องกังวลอะไรหรอก...

    ตอบแบบทั่วไปเนาะ...โปรตีนไม่จำเป็นว่าจะต้องมา
    จากเนื้อสัตว์อย่างเดียว ร่างกายมีระบบในการดูดซึม
    ภายหลังการเริ่มย่อยสลายได้เป็นปกติ ...
    แม้คนที่ ปกติที่ทานเนื้อประจำ ถึงวันหนึ่ง
    ก็จะค่อยๆลดปริมาณเนื้อลง ทานผักมากขึ้นได้
    เป็นเรื่องปกติ แต่กระบวณการนี้อาจจะต้องใช้เวลาซักพัก
    เอาโดยสรุปคือ เป็นกระบวณการของระบบ
    การทำงานของภายในร่างกาย
    ของเราเอง ณ ปัจจุบัน

    รู้ไหม ไอ้โรคที่มันไม่เคยยิงซักที เอาแต่มาเล็งๆ(มะเร็ง)
    มันอาศัยโปรตีนในการเจริญเติมโตนะ
    ถ้าไม่ทานได้ ก็ลดโอกาสในการเกิดโรคพวกนี้ไปเลย...
    ส่วนนี้เล่าให้ฟังเฉยๆ...


    ถ้าแบบเหนือทั่วไปหน่อย....
    ก่อนอื่น เคยลองสังเกตุตัวเองไหมว่า
    ทำเราไม่ค่อย ชอบพูดจาไม่เพราะ ?
    ทำไม่เราชอบพูดจาภาษาสุภาพ ?
    สังเกตุไหมว่า เวลาเราพูดว่าจะทำ
    หรือคิดว่าจะทำ จะเป็นอะไร
    มักจะเป็นอย่างนั้นเสมอ?


    ถ้าแบบเหนือทั่วไปขึ้นมาอีกหน่อย...
    ตัวจิตมันเคยอฐิษฐานไว้
    ว่าจะกินเจหรือไม่ทานสัตว์มาก่อน
    เพราะว่ามันมีเชื้อที่ชอบ มาทาง
    ท่านๆที่ มาแบบทางจีนๆ....

    เครเนาะ....... ^_^
     
  2. kitty_jeemiee

    kitty_jeemiee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2013
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +35
    สวัสดี อ.นพ อีกครั้งค่ะ
    ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยตอบหนู 555+ ตอนนี้สบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ กำลังจะไปหาหมอตรวจอยู่แล้วเชียว แต่เสียดายหมอแก่แล้ว ไม่หล่อค่ะ

    เรื่องเหนือทั่วไปนิดนึงค่ะ ... ที่บอกว่าทำไมเราชอบจาสุภาพ ไม่ชอบพูดไม่เพราะ เพิ่งมาสังเกตุตัวเองก็วันที่อ.บอกนี่แหล่ะค่ะ 555+ ซึ่งก็ตรงจริงๆ หลังจากที่ได้เข้่าวัดปฏิบัติธรรมทุกปี ถึงแม้จะไม่มาก กลับมาบ้านก็สวดมนต์ก่อนนอนบ้าง ไม่สวดบ้าง แต่ก็รู้สึกว่าใจเย็น พูดจาเพราะ ไม่อารมณ์ โกรธง่าย ไม่หงุดหงิด เหมือนแต่ก่อนค่ะ แล้วก็คิดอะไรไว้ส่วนใหญ๋ก็จะเป็นไปตามที่คิด แต่ว่าใช้เวลามากน้อยขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ ในส่วนนี้ อ.นพ พอจะทราบมั๊ยคะว่าเป็นเพราะอะไร

    ส่วนเรื่องเหนือธรรมชาติอีกนิด เคยตั้งใจไว้จริงๆ ค่ะว่าจะงดทานเนื้อสัตว์ให้ทุกวันศุกร์เพราะเป็นวันเกิดให้กับเทวดา/สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตัว (ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าใครแน่ชัด) เมื่อวันที่ชีวิตเราไม่ลำบากมากค่ะ แต่ทำไมเป็นแบบนี้เร็วจังก็ไม่รู้ อิอิ แอบเล่านิดนึง วันออกเจวันสุดท้าย หนูไปจุดธูปกลางแจ้ง บอกว่า ขออุทิศบุญกุศลที่ได้จากการงดทานเนื้อสัตว์นี้ให้แก่.........เทพ เทวา ทั้งหลาย...... ด้วยค่ะ และหลังจากนั้นก็ทานไม่ได้อีกเลย ค่ะ

    แอบกระซิบนิดนึงได้มั๊ยคะ ท่านที่มาทางแบบจีนๆ คือใครคะ 555+ ส่วนตัวชอบสวดมนต์ นั่งสมาธิ แต่ขี้เกียจค่ะ เลยทำไม่ต่อเนื่อง ถ้าเราอยากจะรู้ว่าเรามีเทพ/สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านไหนคุ้มครองอยู่ เพื่อที่จะได้ทำบุญให้อย่างต่อเนื่อง พอจะมีวิธีการไหนบ้างมั๊ยคะ

    สุดท้ายนี้ ขอบคุณ อ.นพ มากๆ นะคะ ที่สละเวลาอ่าน/ตอบ คำถามหนู ขอให้ อ.มีแต่ความสุขสมหวัง นะคะ ถ้ามีข้อความใดผิดพลาด อ.ก็อย่าถือโทษโกรธในความไม่รู้นะคะ ขอบคุณค่ะ :)
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ๕๕๕ ถ้าที่จะไปหา แก่แล้วและไม่หล่อ ยิ่งชอบแต่งตัวเนียบๆด้วย
    ให้ระวังนะ.. ไม่ต้องไปดีแล้ว พวกนี้เจ้าชู้ลึกเงียบ อิอิ

    ตอบ เรื่องเหนือทั่วไปนิดหนึ่ง คือ มันเป็นไปตาม
    วิถีจิต หรือ เนื้อหาเดิมแท้ของจิต พูดง่ายๆว่า
    สิ่งที่จิตได้เคยสร้างสะสมมานั่นหละ.....
    ที่นักปฏิบัติบางท่าน พระเกจิบางรูป รู้ว่า
    ใครอะไร เป็นอย่างไร เก่งไม่เก่ง
    มีความสามารถอะไร นิสัยอย่างไร
    เค้าก็ดูกันประมาณนี้หละ...
    พวกนี้มันเป็นเรื่องของแรงทางนามธรรม
    ....มันหลอกกันไม่ได้ ประมาณนี้


    เรื่องสุดท้าย มีหลักๆ ๓ ท่าน....ฟังหูไว้เด้อ
    ถือว่าเป็น นิทานแล้วกัน...และปกติไม่รับตอบ
    เรื่องแนวๆนี้เด้อ ไม่ใช่ทาง....

    ๑.ที่รับรู้ตั้งแต่แรกเลย(หมายถึงที่ ลอยดูเราบนฟ้า
    ตอนที่อฐิษฐานตอนนั้น พระวรกายสูง ๔ เมตร)
    คือ องค์ที่คนรู้จักดีในนาม
    เจ้าแม่. ชื่อขึ้นต้น ก. ลงท้ายด้วย อ. ๒ พยางค์ ทางจีนรู้ดี

    ๒.องค์นี้ท่านเป็นพระประจำตัว คือ องค์ที่รูปร่างท้วม
    พระนามว่าชื่อย่อว่า พระ อ.ม.ต. พุทธเจ้า
    ไปหาดูเองเด้อ.....ถ้าอนาคตเราฝึกสมาธินะ
    เรื่องสมาธิและเรื่องเหนือวิสัยในการรับรู้
    ท่านนี้หละที่อยู่เบื้องหลัง....จำไว้โล้ด

    ๓.ท่านสุดท้ายเท่ห์หน่อย
    ที่คอยดูแลระวังภัย คล้ายๆเทพประจำตัว
    แต่งตัวคล้าย นักรบทางจีน รูปร่างสูง สมาร์ทเลยหละ
    มีผ้าคลุมไหล่ มองไม่ทัน
    ว่าถือ หอก ง้าว หรือ อะไรนี่หละ.....
    ชื่อว่า. ฮัก เลี้ยว เบ้าะ ไปไล่เสียงเอาเองเด้อ....
    ปกติเทพลักษณะทางนี้ มันจะรูปร่างสันทัดดูล่ำๆ
    ไม่ได้ดูสูง..หมายถึงทั่วๆไปนะ

    จบหละ นิทาน พอขำๆ......
     
  4. kitty_jeemiee

    kitty_jeemiee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2013
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +35
    กราบอ.นพ งามๆ สำหรับคำตอบ คำแนะนำมากๆนะคะ สุดท้ายนี้ขอให้อ.มีแต่ความสุข สมหวังนะคะ เท่านี้ก่อนรบกวนอ.มากแล้วให้อ.ได้ตอบท่านอื่นบ้าง ไว้โอกาสหน้าหนูจะมารบกวนใหม่ อิอิ
    สวัสดีค่ะ:)
     
  5. แมวเป็นผักหรือผลไม้

    แมวเป็นผักหรือผลไม้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2015
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +26
    สวัสดีครับ มีเรื่องจะถามพี่นพครับ คือ ผมเป็นไซนัส+ภูมิแพ้ ตั้งแต่เด็กๆ
    ทำให้จมูกตัน ร่างกายเลยแทนที่จะหายใจทางจมูกเหมือนคนปกติ
    กลายเป็นหายใจทางปากจนชิน จนกลายเป็นอัตโนมัติ
    ตอนนี้ผมหายจาก ไซนัส+ภูมิแพ้ แล้ว เลยฝึกหายใจทางจมูก โดยการบังคับสูดลมเข้าจมูก ให้ลมเข้าจมูกมากกว่าปาก แต่พอตอนเผลอ หรือ ตอนนอนหลับทีไร ร่างกายมันก็กลับมาหายใจทางปากตามอัตโนมัติเหมือนเดิม

    ผมเลยอยากรู้ว่า ใช้วิธีฝึกแบบไหนดีครับ ที่จะทำให้ร่างกายหายใจทางจมูกโดยอัตโนมัติ
    และใช้ฝึกเวลานานแค่ไหนครับจนกว่าจะเหมือนคนปกติ

    ปล.ที่อยากหายใจทางจมูก เพราะผมอยากฝึกอานาปานสติกรรมฐานนี่แหละครับ
    หายใจทางจมูกน่าจะสงบง่ายและสุขภาพดีกว่าหายใจทางปาก ขอบคุณครับ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ฝึกหายใจทางจมูกไปเรื่อยๆ
    คือหายใจเข้าให้ท้องพอง
    หายใจออกให้ท้องยุบ
    แต่ระลึกลมหายหายใจหยุดที่ปลายจมูกพอ
    (อย่าไปตามลมนะ)

    ถ้าลองเอานิ้วชี้ไว้ปลายจมูก
    แล้วหายใจเข้า ถ้ารู้สึกว่ามีลมกระทบนิ้วตลอดเวลาที่หายใจเข้าและออก
    ส่วนท้องก็พองตอนหายใจเข้า
    ยุบตอนหายใจออก
    อย่างนี้แสดงว่าถูก


    ร่างกายจะต้องใช้เวลาปรับตัวเอง
    อย่างน้อย ๒ สัปดาห์(เรื่องปกติ)
    แรกๆมันจะหลงๆ หายใจออกท้องพอง
    หายใจเข้าทัองยุบ(เรื่องปกติ)
    รวมทั้งอาจเผลอมาใช้ปาก



    ทำให้ต่อเนื่อง ถ้าทำได้
    ประมาน ๒ เดือน
    ถึงจะกลายมาเป็นระบบ
    ลมหายใจปกติในชีวิตประจำวันได้เอง


    เรื่องนี้ อย่ารีบร้อน ต้องมีการบังคับบ้าง
    ในช่วงแรกๆ
    ค่อยๆทำ. ถ้าหลง สลับบ้าง
    รู้ตอนไหน ก็ค่อยมาเริ่มใหม่

    เครเนาะ. ^_^
     
  7. แมวเป็นผักหรือผลไม้

    แมวเป็นผักหรือผลไม้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2015
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +26
    ขอบคุณมากครับ ผมลองทำที่พี่บอก
    คือเข้าท้องพอง ออกท้องยุบ ได้ปกติครับ
    แต่ลองเอานิ้วไปไว้ปลายจมูกปรากฏว่าตอนหายใจออก ลมปะทะนิ้วปกติ
    แต่ตอนหายใจเข้านิ้วรู้สึกถึงลมแค่ปลายนิ้วและค่อนข้างน้อยอะครับ
    ต้องใช้เวลาใช่ไหมครับ ลมเข้าถึงจะแรงขึ้น
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    เรื่องปกติ ลักษณะลมเป็นอย่างนั้นหละ
    เด่วพอเริ่มละเอียดมันจะเห็นมากกว่านี้

    เน้นเป้าคือ ให้ระบบหายใจแบบนี้
    กลายมาเป็นระบบหายใจในชีวิตประจำวัน
    แบบธรรมชาติ. ประมาน ๒ เดือนนะ
    แล้วจะฝึกอะไรค่อยมาว่ากันภายหลัง
     
  9. Ti-009

    Ti-009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2019
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +6
    สวัสดีครับ ผมแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อเบสนะครับ ผมเริ่มจากตามอกระทู้พญานาคน่ะครับ ผมอ่านลักษณะการตอบคำถามของพี่นพ มันตรงจริตผมอย่างบอกไม่ถูกนะครับ ผมเลยอยากมีปัญหามาสอบถามนะครับ
    1.ผมอยากทราบว่า อย่างผมควรฝึกสมาธิแนวทางไหนดีครับ ที่มันจะดูตรงจริตกับผม ตอนนี้ผมพยายามนำเรื่อกสิณมาจับอยู่นะครับ แต่ผมยังไม่แน่ใจว่ามันพอจะไปได้ไหม แต่ผมเลือกเพราะมันมีความรู้สึกลึกๆว่าเคยฝึกมา แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามโนไปเองรึเปล่าครับ
    2.ผมมีความรู้สึกว่าชอบในเรื่องทางจิตนินะครับ ผมรู้สึกว่าเหมือนจะสัมผัสสิ่งที่มองไม่เห็นแต่ผมก็ไม่เคยเจอสักทีหรอกนะครับ มันเหมือนเป็นอะไรที่พร่าเลือน จนผมเกิดแต่ความสงสัยจนบางครั้งไม่ได้ปฏิบัติต่อ
    ผมเลยอยากทราบว่า ผมมีความเกี่ยวข้องกับพญานาคไหมครับ(คือตอนเด็กๆเคยไปนั่งสมาธิแบบกรรมฐานที่เขาว่า มันออกกรรม ตอนนั้นผมไปนั่งแล้วเดินไม่ได้เลย มีป้าที่สถานปฏิบัตินั้นบอกว่าผมเคยเป็นพญานาคน่ะครับ มันเลยเป็นความสงสัยมาตลอดน่ะครับ แต่ว่าผมไม่เคยฝันเห็นพญานาคเหมือนพวกพี่ๆในกระทู้พญานาคเลยนะครับ)
    ตอนนี้ผมเป็นแพทย์แผนไทยอยู่นะครับ ผมอยากรู้ว่า ผมมีครูบาอาจารย์องค์ไหนบ้างที่ควรดูแลช่วยเหลือบางครั้ง ผมจะได้นับถือส่งจิตไปขอบคุณท่านๆได้ถูกนะครับ แล้วพี่นพพอจะมีอุบายตั้งจิตแบบไหนไหมครับที่ผมจะนำไปรักษาผู้คนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ

    สุดท้ายนะครับ ถ้าคำถามที่ผมถามไป มันเป็นการที่ไม่สมควรหรือไม่เหมาะสม ผมขออภัยไว้ ณ ที่นี้นะครับ ผมเพียงแค่สงสัยในความไม่รู้ของตัวเองเท่านั้นนะครับ ผมขอกราบขอบคุณพี่นพเลยนะครับ ผมขอนับถืออย่างใจจริงนะครับ
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    To เบส....
    เอาทีละข้อนะ...
    ข้อ ๑.เรื่องกรรมฐานเกี่ยวกับกสิณนะฝึกได้หมดทุกกองนั้นหละไม่ได้มโนหรอก จิตมันฟ้องอยู่ว่า ในอดีตเคยทำได้มาก่อน เพียงแต่ว่ามา ณ ปัจจุบัน
    ต้องดูว่า ระบบหายใจของเรา กำลังสมาธิสะสมมันเพียงพอ
    ที่จะรองรับการใช้งานได้หรือยัง.... เด่วตอบข้อ ๒ ก่อน
    ข้อ ๒. ลักษณะความรู้สึกแบบนั้น เพราะว่า ลักษณะของ เบส จะเป็นแนวเซียนสวด หรือ เด่นการใช้คาถามาก่อนในอดีตมันจะรู้สึกแบบที่ เราถามมานั่นหละ คือ ถ้าเป็นพวกใช้กำลังจิตเลยมาก่อน ก็จะประมาณ เห็นนามธรรม เห็นเส้นแสงหรือเกี่ยวข้องพลังงานภายในภายนอกแบบตาเห็นได้ปกติส่วนนี้ พยายามจะสื่อ
    ว่ามันเป็นเรื่องปกติ ตามแต่เนื้อหา
    เดิมแท้ของจิตในอดีตของเราที่ได้สะสมมานั่นเอง
    ไม่ใช่เรื่องแปลก.....


    ส่วนเรื่องสัมพันธ์กับพยานาค ถ้าเกิดในพุทธศาสนา
    และในประเทศไทย ร้อยละ ๙๐ เคยมีสัมพันธ์หรือเกิดเป็น
    พยานาคมาแล้วทั้งสิ้นนั้นหละ ตรงจุดนี้ จะพูดทำนาย
    อย่างไรก็ถูกหมดนั้นหละ ดังนั้นไม่ต้องไปให้ความสำคัญ
    อะไรในเรื่องนี้มาก เพราะมันเป็นเรื่องในอดีต อีกอย่าง
    แต่ละคนก็ไม่รู้ว่า เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้างแล้ว
    อย่างเบส ย้อนหลังไป ๔ ชาติส่วนมากจะเกิดเป็นพยานาค
    มีสูงสุดได้ ๗ เศียรพอเข้าใจเนาะ..แต่อย่างว่า
    พุทธเราเน้นแต่ปัจจุบันเครเนาะ ไม่เน้นอดีต
    ไม่งั้น จะกลายเป็นยึดติดได้อย่างไม่รู้ตัว......
    ดังนั้น เรื่องทำนองนี้ เน้นฮา เน้นบันเทิง
    แต่ว่า ให้ความเคารพ แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นก็พอ....


    ส่วนนี้ฟังหูไว้หูนะ
    อีกอย่างครูบาร์อาจารย์ ทางแพทย์แผนไทย
    ก็นอกจากท่านที่รู้ๆกันดีแล้ว....
    ในสายของ พ่อปู่ฯนั้น ก็จะมีครูบาร์อาจารย์
    หลายๆท่าน ในอดีต ที่มีความสามารถแตกต่างกันไป
    ในแต่ละทาง ที่จะคอยมาสนับส่งเสริม
    ผู้ที่ประกอบอาชีพนี้อยู่แล้วปกติตามแต่จริตบุคคลนั้นๆ
    เช่น ถ้าคนที่มาทางสายใช้กำลังจิตจะเจออีกแบบ
    (คือแบบที่มักจะมาเจิมให้ทางนิมิต เพราะไม่จำเป็น
    เสมอว่าจะต้องผ่านการเรียนทางแพทย์แผนไทย
    ก็มีความสามารถในการรักษาได้เช่นกัน)
    ส่วนของ เบส มาทางตรง โดยมากจะมาในรูป
    ของการส่งเสริมด้วยการใช้บทคาถาร่วมในการ
    รักษาในลักษณะของการอฐิษฐานจิตร่วม
    ดังนั้นจึงต้องอาศัยสมาธิสะสมพอสมควร
    ซึ่งกสิณก็เป็นฐานกำลังได้ในทางด้านนี้
    ส่วนครูบาร์อาจารย์ ที่ไม่ใช่ ท่านพ่อปู่ฯ นั้น
    ก็จะมีอีกท่าน ท่านที่ชอบอยู่ในท่านั้งสมาธิ
    แต่ชอบวางมือบนหัวเข่าทั้งสองข้าง ออกรูปร่างผอม
    สูงโปร่ง เวลานั่งก็จะหลังไม่ค่อยตรงเท่าไร....
    แต่ถามว่า ท่านชื่ออะไร ส่วนตัวก็ไม่สามารถตอบได้
    ตอนนี้เช่นกัน.....ซึ่งเราก็ยังไม่ควรไปให้ความสำคัญ
    อะไรตอนนี้ เพียงแต่ตั้งปฏิธานของเราเอาไว้ว่า
    จะทำให้ดีที่สุดในเรื่องการรักษาคนก็พอ.......



    ***ทริค เฉพาะบุคคล ตามที่ท่านๆว่า
    ที่ไม่ควรที่จะต้องให้ผู้รักษา
    หรือผู้ที่อยู่ในแวดวงเดียวกันรับทราบด้วยก็คือ.....
    คือ มันเป็นปัจจเจก เฉพาะตนเอง


    เวลาจะทำการรักษา ให้ทำตานิ่งๆ
    ลิ้นกับปากห้ามขยับ แล้วทำตามทริคข้างล่างนี้


    คือทุกครั้งก่อนที่จะทำการรักษาใคร
    จากพื้นฐานวิชาชีพที่
    ตนเองได้ร่ำเรียนมานั้น....
    ให้ทำดังต่อไปนี้.....


    ให้ฝึกกำหนดจิตไว้ตรงต่ำแหน่ง
    ใจกลางลิ้นปี่ของตนเอง โดยมโนว่า
    ร่างกายเปรียบเสมือนท่อ ระบายกลมๆ
    (คือ ตรงช่วงลำตัวเป็นท่อใหญ่ ส่วนบริเวณขา
    เป็นท่อย่อยแยกไปอีกสองท่อ ส่วนตรงแขนไม่เกี่ยว
    แต่เราจะพอรู้สึกได้ บริเวณหัวไหล่)
    แล้วกำหนดจิต ตรงกลางท่อระบายน้ำนี้
    ให้เสมือนว่า มันมีอากาศอยู่ภายในท่อใหญ่ ท่อย่อย
    แล้วให้ เราทำการ ผลักอากาศออกจาก ตรงต่ำแหน่ง
    ท่อระบายน้ำนี้(ตรงต่ำแหน่งที่ตรงกับลิ้นปี่นั่นหละ)
    ทำการผลักออกไปในลักษณะ ขึ้นไปข้างบนให้เลย
    ผ่านศรีษะขึ้นไปตรงๆ ออกไปบนอากาศ
    และในทำนองเดียวกันก็ผลักลงข้างล่าง
    ผ่านขาทั้งสองลงไปบนดิน จนรู้สึกว่า
    อากาศที่ผ่าน ทั้งลำตัวและขาทั้งสองข้างนั้น
    มันเป็นเส้นตรงๆปกติ


    ส่วนถ้ารู้สึกว่า ขณะที่รอบๆกายเป็นเส้นตรงแล้ว
    แต่บริเวณท้อง มีลมหมุนถึงใต้ลิ้นปี่ และมีลมหมุน
    ร่วมบริเวณโคนต้นขาด้านในทั้งสองด้าน
    ให้ถือว่าเป็นเรื่องปกตินะ


    พอรู้สึกว่า กะแสรอบๆกายนิ่งๆแบบนี้
    ให้ทำการอฐิษฐานจิตทันทีว่า
    ขอให้ครูบาร์อาจารย์ท่านช่วย
    ให้ข้าพเจ้ารักษาบุคคลท่านนี้
    ได้ตรงตามอาการและหายได้เป็นปกติ......


    จากนั้นค่อยเริ่มทำการรักษาตาม
    หลักสูตรต่างๆที่ได้เรียนมาตามปกติ
    เด่วจะเข้าใจอะไรๆได้ด้วยตนเอง
    ในขณะที่เริ่มต้นรักษานั่นหละ.....
    พูดง่ายๆเด่วมันจะรู้โน้นนี่นั้น
    ได้ของมันเองว่า เคสนี้ต้องทำอย่างไรนั่นหละ....


    และที่สำคัญก็คือ ในทุกๆวัน
    อย่าลืมกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล
    ให้กับสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น
    หรือเจ้ากรรมนายเวรที่เกี่ยวข้อง
    กับบุคคลที่เราทำการรักษาด้วยทุกวัน
    ทำจนกระทั้ง รู้สึก แขนขาเบา ไม่มีเหมือน
    ลมมาหมุนรอบๆ หรือกระทั้ง ตัวเบา กายเบา
    ไม่ร้อนร่วมด้วย ตรงนี้สำคัญนะ
    เครเนาะ.....


    ปล.ยังไม่ต้องสนใจว่า ท่านที่สนับสนุนเราเป็นใคร
    ท่านชื่ออะไร มาจากไหน เพราะยังไม่ถึงเวลา
    ที่เราจะต้องรู้ ถามพี่ตอนนี้ก็ตอบไม่ได้
    เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าชื่ออะไร ทำหน้าที่ของเราไปก่อน
    บวกกับ เทคนิคคอลเทอม ตามที่พี่แนะนำไว้ให้
    (จริงๆมันก็เป็นทริคในการเข้าถึง ครูบาร์อาจารย์
    เฉพาะของเราเองนั่นเอง)
    เด่วอนาคตข้างหน้า เราน่าจะพบเห็น
    และรับรู้ได้ด้วยตนเองนั่นหละ
    หากรักษาไปซักระยะหนึ่งก่อน


    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง ^_^
     
  11. AF_1

    AF_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +455
    สวัสดีครับพี่นพ

    ผมบอมนะครับ เคยสอบถามและได้รับคำแนะนำจากพี่นพทางข้อความแล้วครั้งหนึ่ง ผมมีเรื่องสอบถามครับ

    1) เมื่อคืนวาน (คืน27ก.พ.) ก่อนจะหลับขณะครึ่งหลับครึ่งตื่น รู้สึกว่าได้ยินเสียงว่ามีคนเข้ามาในห้องนอนแต่ไม่ได้ลืมตาดู โดยเดินเข้ามาทางข้างตัวจากปลายเท้าทางขวาแล้ววนข้ามหัวไปทางซ้าย หลังจากนั้นรู้สึกว่าเห็นเป็นรูเล็กๆ ความรู้สึกขณะนั้นเกิดรู้สึกกลัวขึ้นมาจึงไม่กล้าส่องดู พร้อมทั้งพยายามจับภาพพระมาครอบตัวแต่จับได้ไม่ชัดเจนนะครับ หลังจากนั้นรู้สึกมีพลังบางอย่างดันเข้ามาบริเวณท้ายทอยแล้วตึงตัวดิ่งลงไปด้านล่างที่มีแต่ความมืด แต่ก็ไม่เห็นอะไรนะครับ จากนั้นก็หลับไป อยากทราบว่าเกิดจากอะไรครับ

    2) ส่วนตัวหลังจากได้รับคำแนะนำให้ปล่อยวาง ก็พยายามทำพร้อมกับเจริญสติในชีวิตประจำวัน+ปรับเปลี่ยนวิธีการหายใจ แต่ก็เผลอลืมซะเป็นส่วนใหญ่ สวดมนต์ก็เป็นช่วงๆ รู้สึกไม่ก้าวหน้าแถมลืมบ่อยกว่าช่วงแรกๆที่เริ่มทำซะอีกครับ ทุกวันนี้ถ้ามีโอกาสก็จะทำบุญและอุทิศส่วนกุศลทั้งของตัวเองและคนในครอบครัว(ผมเป็นตัวแทนทำให้) อันนี้ไม่ทราบว่าทำให้กันได้หรือไม่ครับ

    3) สอบถามเรื่องภรรยาด้วยครับ มักจะฝันบ่อย ล่าสุดฝันว่าวิ่งหนีอะไรบางอย่างในป่า แต่เจอพระพุทธฯ (ในฝันเข้าใจว่าเป็นท่านนะครับ) ท่านบอกว่าอย่าหนีไปเลย หนียังงัยก็หนีไม่พ้น พอจะทราบความหมายมั้ยครับ แถมยังเคยฝันว่าสู้กับงูตัวใหญ่มาก ไม่ยอมเรื่องอะไรจำไม่ได้เหมือนกัน ซึ่งในชิวิตจริงภรรยาจะไม่ชอบและกลัวงูมากครับ ส่วนลูกก็มักจะเล่าให้ฟังว่าเห็นนั่นเห็นนี่ รู้สึกนั่นรู้สึกนี่ แต่ผมก็แนะนำให้ทำเฉยๆแล้วอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาให้ไป ผมก็ไม่แน่ใจในสิ่งที่เค้าเล่าเหมือนกันนะครับ อยากสอบถามว่าจะจริงแท้ประการใด

    ขอรบกวนถามพี่นพเท่านี้ครับ ถ้ามีข้อความใดไม่เหมาะสมผมต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ตอบ Bom
    ข้อ ๑. การเห็นแบบนั้น บอกถึงวิบากเก่าในอดีต ที่เคยใช้ความสามารถอะไรต่างๆ
    ไปในทางที่ไม่ดีมาก่อนในอดีต เพียงแต่ว่า ณ ปัจจุบันนี้เรามีโอกาศที่จะพ้น
    แต่วิบากที่ทำให้เราเห็นเป็นภาพเป็นคนแบบนั้น เค้าตามมาเจอ...
    คือ พวกนี้มันเป็นเรื่องพลังงาน มันจะไม่ขึ้นอยู่กับกาลและเวลา...
    ให้เฉยๆไม่สนใจไปเลยดีที่สุด และการที่อารธนาพระครอบกายนะถือว่าดีแล้ว....
    จำไว้เนาะ ให้เฉยๆเลิกสนใจไปเลย...ถ้ายังระลึกถึงอยู่ ก็ให้กำหนดอุทิศส่วนกุศล
    ให้ไป แต่ก่อนจะอุทิศส่วนกุศล ให้อโหสิกรรมก่อนทุกครั้ง.....


    ข้อ ๒ เรื่องการเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่อง มันก็ต้องอาศัยความต่อเนื่องจริงๆ
    จนกระทั่งมันจะกลายเป็นธรรมชาติ(รวมทั้งระบบหายใจด้วย) ส่วนการหลงๆลืมๆ

    ขาดบ้าง เกินบ้าง มันเรื่องธรรมดา เพียงแต่ เรารู้ตัวเมื่อไรก็ให้เริ่มใหม่ตอนนั้น
    ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
    และก็ไม่ควรลืมว่า ความอยากเล็กๆน้อยๆ เราลืมดับหรือเปล่า
    เช่น อยากจะทานก๊วยเตี๋ยว ได้ดับความอยากแล้วค่อยทานหรือยัง...เป็นต้น
    อย่าไปเน้นให้ความสำคัญ แต่เรื่องใหญ่ๆที่มันดับง่าย...
    ควรมีทั้งสองส่วนไม่ว่า อยากเล็กๆน้อยๆ อยากทานโน้นนี่นั้น ไปนั่นโน้นนี่
    ตลอดจนการไปพูดถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้ว พวกนี้ร่วมกับการเจริญสติ
    ให้ต่อเนื่องในชีวิตประจำวันด้วย ทำได้เด่วจะผลต่างได้เอง....
    ข้อ ๓. คือถ้าเราได้ลองสังเกตุภรรยาตนเอง ในอดีตที่ผ่านมา
    มักจะเป็นบุคคลที่พูดอะไรแล้วมักจะทำได้สำเร็จอย่างที่เคยพูดไว้


    แต่ที่นี้ด้วยภาระทางโลกที่ยังมีอยู่ การที่หวังผลว่า ชาตินี้จะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ได้
    ด้วยการทำอย่างโน้นนี่นั้น แบบที่เคยคิดไว้ มันย่อมเป็นไปได้ยาก นี่คือ วัตถุประสงค์
    ของฝันที่สื่อมา....... พอนึกออกไหม คนเราถ้ายังไม่ถึงวาระ ต่อให้เก่งแค่ไหน
    ปฏิบัติอย่างไร จิตมันก็ไม่วางไม่ว่าง แต่ถ้าวาระมาถึง ต่อให้ไม่อยากว่าง อยากวาง
    มันก็จะวางและว่างได้ของมันเองครับ...


    ส่วนฝันที่สู้กับงู เป็นการทดสอบในเรื่องของเมตตาว่า จะเป็นอย่างที่เคยพูดไว้
    ในเวลาใช้ชีวิตปกติประจำวันหรือเปล่า....
    (อย่างเช่น ในเวลาปกติบอกไว้ว่า
    เป็นคนไม่รังแกสัตว์ ไม่คิดฆ่าสัตว์ แต่ในฝัน ไปต่อสู้กับ สัตว์ประเภทโน้นนี่นั้น)

    มันก็เลยสวนทางกัน กับที่เคยพูดไว้ การทดสอบทางด้านจิตใจ
    มักจะมาในฝัน เพราะเวลาฝันกำลังสติในการควบคุมความคิดและพฤติกรรม
    ของจิตเราจะน้อยเป็นเรื่องปกติธรรมดาทุกคน
    ส่วนเด็กที่มักจะเห็นระดับเทพเทวดาประจำตัว
    (ทำให้พอรู้สึกได้บ้างเป็นบางครั้ง)
    หรือระดับดีๆ และระดับที่สูงๆเลยแล้วเด็กชอบพูดด้วย
    มันเป็นลักษณะกระแสพลังงานของเก่าเค้า(เป็นสายแบบมีสัมผัสภายในสูง
    เป็นดวงจิตที่ใช้คาถาได้ผลมาในอดีต คือ๑.ด้านคาถาอาคมส่วนหนึ่งเหมือนที่พบเจอทั่วไป

    ๒.ด้านพลังงานก็ใช้ฐานจากการสวดคาถาเหมือนกัน ปกตินักปฏิบัติทั่วไปมักจะมีข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้นหรือถ้ามี ๒ ข้อ จะมีข้อหนึ่งที่ไม่ได้มีฐานจากการใช้บทสวด พอนึกออกเนาะ)
    มาหนุนให้เห็นชั่วคราว ณ เวลานี้เท่านั้น
    แนะนำให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศล และให้ถือว่าเป็นปกติเฉยๆไว้ก่อนถือว่า
    ดีแล้ว..ไม่มีอะไรหรอก จริงๆแล้ว พ่อ ภรรยากับเด็กคล้ายๆกันนั่นหละ....
    เพียงแต่ในอดีตถ้านับความเก่ง ดวงจิตภรรยาในอดีตจะถือว่า เก่งที่สุด ประมาณนี้
    ฟังหูไว้หูเด้อ....


    เครเนาะ.... ถือว่าแค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง....
     
  13. Ti-009

    Ti-009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2019
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +6
    ขอบคุณนะครับ พี่นพ. ที่ให้ความแนะนำดีๆและทำให้ผมคลายสงสัยในหลายๆเรื่องนะครับ ผมจะรับไปปฏิบัติ แล้วถ้ามีข้อสงสัยผมจะมาขอเรียนสอบถามพี่อีกนะครับ ขอบคุณพี่มากจริงๆนะครับ ถ้ามีโอกาสผมหวังจะได้เจอพี่สักครั้งนะครับ นับถือจากใจครับ
     
  14. wan17

    wan17 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2018
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +8
    รบกวนขอคำปรึกษาค่า ปกติถามแต่ใน PM มาติดตามในกระทู้ต่อ อ่านของคนอื่นมาเยอะแล้ว อยากเรียนถามคุณนพว่า
    1.มีทางไหนที่ไม่ต้องรู้สึกตอนนอนไหมค่ะ ทั้งที่นอนที่บ้านตัวเอง เตียงเดิม นอนมาหลายสิบปีแล้ว รู้สึกว่าสัมผัสพลังงานภายนอกชัดเจน กลัวมากเลยค่ะ โดยเฉพาะถ้าคืนไหนเกิดแล้ว ไม่ต้องนอนต่อ ลุกขึ้นมานั่งสมาธิให้ ลงไปนอนใหม่ ก็ไม่จบ ใส่พระ สวดมนต์ก่อนนอนก็ไม่ได้ผล บอกเจ้าที่ก็เท่านั้น วางรูปปั้นท้าวเวสสุวรรณนี่ก้อรู้สึกโดนหนักกว่าเดิม เหมือนโดนกดหัวในฝันเลยค่ะ รู้สึกตัวไวเลยรอดไป รีบนอนตะแคง แล้วแผ่เมตตาจนความรู้สึกขนหัวลุกหายไป... 555 บ่นยาวเชียววว
    2. เราควรวางใจยังไงค่ะ อยากจะชิน คิดว่าปกตินะคะ ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง บางอาการคิดว่าคิดไปเอง แต่มีเกิดซ้ำจนมั่นใจ (เฮอะๆๆๆ) คุณนพช่วยแนะนำด้วยค่ะ
     
  15. AF_1

    AF_1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +455
    ขอขอบคุณสำหรับคำตอบและคำแนะนำที่ตรงจุดของพี่นพครับ
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    To wan17 เด้อ....
    ถือว่า ถามได้ถูกจังหวะ มาถามตอน
    ที่พึ่งออกมาจาก การไปพบพระครูปลัดจิตไวท่านหนึ่ง
    พอดี๊ๆ และบังเอิ๊ญๆ วันนี้ มีเคสคล้ายกรณีแบบนี้
    พอดิ๊บ พอดี และก็โดยปกติแล้ว วันนี้ส่วนตัว
    ก็บังเอิ๊ญๆ ไปดูเคสนี้พอดี๊ๆ ปกติจะเฉยๆ
    ไม่ค่อยสนใจเรื่องของคนอื่นๆ ถ้าบุคคลนั้น
    กำลังสนทนากับท่านอยู่.......

    ส่วนแรกเล่าให้ฟัง เพื่อมีคนอื่นๆมาอ่านเจอด้วย..

    ๑.ปกติเวลาที่ใครก็ตาม ต้องการป้องกันเรื่องปราณรั่ว ???
    กิริยาปราณรั่ว(หรือภาษาสมมุติที่กำหนดชื่อขึ้นมา)ก็คือ เวลาที่นอนไป แล้วดันเกิดสัมผัสทางด้านนามธรรมที่ดีว่าปกติ จนกระทั่งทำให้ลืมตาตื่น (ย้ำว่า ลืมตาตื่น) เช่นได้ยินเสียงต่างๆ
    บางครั้งดังเหมือนระเบิด หูแทบแตก หรือเสียงเรียกต่างๆ
    หรือ เกิดสัมผัสทางกายใดๆก็ตาม.
    หรือ การที่ร่างกายกระตุกได้นั้น. กรณีนี้ย้ำอีกทีว่า เป็น
    เหตุให้ลืมตาหรือตื่นขึ้นมา.....

    จะใช้วิธีแก้ปัญหา ด้วยการอฐิษฐานพระฯ ครอบกาย
    ก่อนที่จะนอน ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาที่คลอบคลุมที่สุด
    เมื่อเทียบกับวิธีการอื่นๆ เช่น สวดมนต์ ใช้ถาถากำกับ
    การเขียนยันต์คลอบ ฯลฯ
    และแถมยังได้บุญอีกด้วย

    ๒. ทั่วๆไปแล้ว ถ้าเป็นกรณี ที่ไม่ได้เป็นเหตุให้ต้องลืมตาตื่น
    ทันทีแบบข้อ ๑. เช่น รู้สึกว่าเหมือนมีเพื่อนที่ไม่ใช่คน
    หน้าไม่เหมือนมนุษย์บนโลกนี้ ที่เคยรู้จักมาก่อน
    หรือได้ยินเสียงเรียกไม่ชัดเจนทางด้านซ้าย
    หรือลืมตาตื่นแล้วเห็นเงาแว๊บๆ เห็นดำๆ เห็นดีหรือไม่ดี
    ก็ตาม จะแนะนำให้ อุทิศส่วนกุศลให้ทุกๆกรณี
    ห้ามไปสวดมนต์หรือใช้คาถาหรือขอบารมีไล่เป็นอันขาด
    วิธีการนี้ จะทำให้กลายเป็นที่รักของบรรดาภพภูมิ
    ที่มองไม่เห็น เป็นการสร้างบารมีไปในตัวเอง
    ซึ่งจะส่งผลให้ฝึกกรรมฐานอะไรก็ตาม จะไปได้เร็ว
    กว่าปกติทั่วๆไป

    แต๋ว๋าาาาา มันจะมีอีกกรณีหนึ่งคือ
    ๓. ทั้งอุทิศส่วนกุศลก็ไม่ไป สวดมนต์คาถาไล่แล้วก็ไม่ไป
    ขอบารมีพระแล้วก็ยังเฉยๆ ใช้วัตถุมงคลประเภท
    กันผีได้ครอบจักรวาลแล้วก็ยังเฉยๆอีก...
    บางทียังแซวเราอีกว่า
    สวดมนต์ก็ไม่ถูก ๕๕ บางทีแอบขำเราด้วย
    ที่หนักกว่านั้นก็คือ
    สามารถมาจับร่างกายเราได้ อย่างหน้าตาเฉยๆ....
    ทำให้รู้สึกถึงความกลัวได้อย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้.......

    นั่นเพราะเป็นวิบากเฉพาะ กรณีแบบนี้จะเกิดขึ้นได้
    ก็ต่อเมื่อ พลังงานหรือจิตวิญญานนั้น จะต้องเคยมี
    สัมพันธ์ กับเรามาก่อนในอดีตชาติ ไม่ว่าชาติใดชาติหนึ่ง
    ไม่ว่าจะเป็น ญาติ พี่ น้อง หรือบรรพบุรุษเราท่านใดท่านหนึ่ง
    ในอดีต หรือ เป็นอริศัตรูเราในอดีตท่านใดท่านหนึ่งเท่านั้น

    ดังนั้นเมื่อเจอเคสแบบนี้ ต่อให้เรามีเทพเทวดาประจำตัว
    มีครูบาร์อาจารย์ประจำตัว ท่านก็จะไม่ยุ่งเกี่ยว
    หากเราเอะใจ จะพบว่า บ้านเราแถ้ๆ ทำไมถึง
    มาถูกเนื้อต้องตัวเราได้....... ฟังดูเหมือนน่ากลัวแต่
    ความจริงไม่มีอะไร เอ่อ
    มันมีประเภท จอมคาถา จอมพลังจิต จอมยุทธ์ต่างๆ
    แยกแยะกรณีนี้ไม่ออก ถูกจับโยนลงเตียง
    โดนลากไปมาเยอะแยะ....๕๕

    ที่บอกไม่มีอะไร ก็เพราะกรณีนี้
    เป้าหมายหลักก็คือ ต้องการบุญในรูปแบบหนึ่ง
    ของบรรพบุรุษ หรือ อริ เฉพาะในอดีตนั้นเอง
    เนื่องจากว่า ไม่สามารถที่จะมีกำลังไปแสดง
    ให้บุคคลอื่นๆ ที่ไม่เคยมีสัมพันธ์มา
    แล้วให้เค้าระลึกทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ได้


    หลักสังเกตุ...... ถ้าเกิดว่า ใครไม่รู้อะไร
    ให้สังเกตุดูว่า

    ๑.ในบางเวลา ปวดเป็นโน้นเป็นนี้ ชัดเจน
    แต่พอไปพบแพทย์ ไปหาหมอ กลับตรวจไม่เจออะไ
    และเป็นปกติซะงั้นๆ บางทีหมอก็วินิจฉัย ว่าเป็นโรค
    โน้นนี่นั้นไปเรื่อย หลักสังเกตุคือ พึ่งจะมาเกิดขึ้นหรือ
    เป็นช่วงหลังๆ
    คือไม่ได้ เป็น โรคที่เป็นเรื้อรังมานาน....เคยรักษา
    ยังไงก็ไม่หาย......
    ๒.เกิดการวิตกังวล ว่าถูกกระทำของใส่ จากบุคคล
    โน้นนี่นั้น กลายเป็นปัญหาสังคมและวิตกจริตไปอย่างคาดไม่ถึง

    วิธีแก้ถ้าเจอแบบนี้ เนื่องจากเป็นวิบากเฉพาะ
    สายเลือดหรือแบบส่วนตัวโดยตรง......

    ให้แก้ตามดังต่อไปนี้
    ๑.ควรหาเวลาไป บวชซีพราหม์
    หรือนุ่งขาวห่มขาวที่วัด อุทิศส่วนกุศลให้ซะ
    อย่างน้อย ให้ได้ ๑๔ วัน. คือ ถ้าทำได้ ๑๔ วัน
    ครั้งเดียวเลยก็ดี แต่ไม่จำเป็น เอาตามความสะดวก
    แต่สะสม จำนวนวันให้ครบอย่างน้อย ๑๔ วัน
    เช่น ช่วงนี้ ไปได้ ๒ วันก็ ๒ วัน ไปได้วันเดียว ก็วันเดียว..
    พอเข้าใจเนาะ.....

    และให้มาสังเกตุว่า เราเข้ากรณีไหน ระหว่างข้อ ๒ และ ข้อ ๓.

    หรือ ข้อ ๒. ถ้าเป็นกรณี ทำให้เกิดโรคที่พึ่งเกิดขึ้นภายหลัง
    ส่วนมากมักจะปวดศรีษะข้างเดียว คล้ายไมเกรน
    มักจะเจอทางด้านซ้าย เหนือขมับไปเล็กน้อย...
    ให้แก้ด้วยการ ไปร่วมทำบุญเครื่องมือแพทย์
    ให้ได้ อย่างน้อย ๕โรงพยาบาล....
    ร่วมคือ สมมุติเครื่องมีราคา สามแสน แต่เรามีกำลัง ๕ บาท
    เราก็ทำไป ๕ บาท นี่คือร่วมบุญ.....เข้าใจเนาะ
    เครื่องมือแพทย์นะ พวกราคาแพงๆ ไม่ใช่ถุงมือยาง
    หรือ สำลี น้ำยาล้างมือนะ ใครบอกมา เด่วปัดตบฟันร่วง ๕๕๕

    หรือ ๓. ถ้าเป็นโรค ที่ดันตรวจพบ แล้วรักษามานานหลายปี
    แล้วไม่หายซักที. ให้แก้ด้วยการไป ร่วมบุญไถ่ชีวิต โคกระบือ
    ถ้าตัวละ ๒ หมื่น แต่เราสดวก มี ๑๐ บาทก็ร่วมไป ๑๐ บาท ทำให้ได้ ซัก ๕ ตัว (ไม่ใช่ มี ๕๐ บาท แล้วไปบอกว่า ขอร่วมตัวละสิบบาทห้าตัวนะ. ฉลาดร่วมแบบนี้ อาจจะโดนดีดหู...
    ควรทำทีละตัว ตัวละ ๑๐ บาทเข้าใจเนาะ)
    หรือ ไปร่วมบุญ สร้างพระพุทธรูป ให้ได้อย่างน้อยซัก ๕ องค์
    ขนาดหน้าตัก ๑ เมตรขึ้นไป........

    แบบนี้ ถึงจะเป็นการแก้ปัญหา ที่ต้นเหตุ
    พอเข้าใจเนาะ wan17. ^_^
     
  17. wan17

    wan17 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2018
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +8
    ขอเล่าขยายความนะคะ เผื่ออาจเป็นประโยชน์กับท่านอื่นด้วยค่ะ ให้รู้ว่าพลังงานข้างนอกมีจริงๆค่ะ ต้องเร่งทำความดี ไม่กล้าพูดกับคนรอบข้าง กลัวคนหาว่าบ้าเพราะถ้าไม่เกิดกับตัวเอง ก็ไม่เชื่อเหมือนกันค่ะ

    - ส่วนตัวไม่ได้เกิดโรคทางกายแบบเรื้อรังค่ะ แต่รู้สึกผิวหนังตึง ชา บางจุด ประมาณ ไม่เกิน 10 วินาทีค่ะ เวลามีสมาธิจะทำบุญหรือตั้งใจไหว้พระในโบสถ์ คิดเองว่าเหมือนพลังงานทำให้รับรู้ รอบุญอยู่ประมาณนี้ค่ะ อาการทางกายที่เกิดเวทนาสุด คือ มือขวามีไอร้อนมากจนนอนไม่ได้ค่ะ เดินเอามือไปแช่น้ำ เพราะมืดแล้วไม่รู้ทำไง เข้าใจเลยว่าร้อนในนรกคงเปนแบบนี้ 555 คิดว่าใช้กรรมไป เกิดแค่คืนเดียวแล้วไม่มีอาการนี้อีกเลยค่ะ แต่ยังไงจะหาโอกาสทำบุญตามที่คุณนพบอกนะคะ

    - ที่วิตกกังวลตอนนอนมากกว่าค่ะ คือถ้าตื่นอยู่สติดีพอรับไหว 55 อยากจะรีบหลับๆไป เหมือนสมาธิที่จะทำให้เราหลับ ทำให้รู้สึกได้ พยายามคิดว่าโชคดีที่ไม่เห็นอะไร แค่สัมผัสทางกายก็แย่แล้วค่ะ เจอหลายรูปแบบ ตอนยังไม่หลับก็เตียงยุบ มีอะไรไหวๆใต้หมอน เตียงสั่น
    (นั่งร้านกาแฟที่นึงก็รู้สึกพื้นสั่น ไป 2 รอบก็รู้สึกเหมือนกัน แต่ตื่นอยู่ ไม่กลัว555 ) รู้สึกมีคนมาดึงผ้าห่ม ตอนครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็เหมือนมาดึงหมอนจนหัวเราตกไปแต่พอตื่นหมอนก็อยู่ที่เดิม หรือมีอะไรมากดหน้า

    ทุกครั้งที่เจอก็แผ่บุญให้ทุกครั้งค่ะ กลัวอธิษฐานผิดๆถูกๆ หรือลุกขึ้นมานั่งสมาธิแผ่ให้ รู้สึกเลยว่ายิ่งทำให้จิตเราตื่น ทำให้เราหลับยากกว่าเดิม มาสัมผัสอะไรเดิมๆ (อารมณ์ทั้งกลัวทั้งหงุดหงิดอยากนอนค่ะ)ส่วนตัวคิดว่าต้องเป็นกรณีที่ 3 แน่เลยค่ะ ที่เป็นวิบากของเราเอง จะลองอธิษฐานพระครอบกายดู แล้วมาเล่าให้ฟังนะคะ ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำแนะนำ ส่วนตัวอยากไปกราบพระครูปลัดมากค่ะ
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    เด่วช่วยเสริม เพื่อคนมาอ่าน จะมองว่า มันเป็นเรื่องพิศดารอะไร...
    จะเล่าให้ฟังในแบบหยาบๆเลยนะครับ ย้ำว่า หยาบมาก....
    จริงๆไม่ค่อยอยากพูดเท่าไร
    กลัวว่า อ่านแล้วจะงงกัน.....
    ยิ่งถ้า ไม่มีประสบการณ์ในเรื่อง การใช้พลังงานมาบ้าง
    ยิ่งอ่านจะยิ่ง ง๊งๆๆๆๆๆๆ
    พวกพลังงาน หรือ แรง อะไรพวกนี้
    มันมีจริงอยู่แล้ว ทุกคนบนโลกนี้ก็อยู่ภายใต้พลังงานแม่เหล็ก
    และแรงโน้มถ่วงอยู่แล้วเป็นปกติ และแรงอื่นๆ โดยที่เราไม่ทันสังเกตุ


    ปรับพื้นหน่อย
    ที่นี้ เราอย่าลืมว่า กำเนิดของสะสาร เราเคยได้ยินกันมา
    เอาในระดับอะตอมเลย นอกจาก อิเลคตรอน
    เราจะได้ยิน คำว่า นิวเคียส คือ อะตอมมันประกอบ
    ไปด้วย อนุภาคที่เป็นองค์ประกอบสะสารเค้าเรียก เฟอร์มิออน ที่ไม่สามารถแทนที่กันได้
    เช่น แก้ว เอามาวางเรียงกัน ก็จะเป็นแก้ว ๒ ใบ
    และ สื่อนำแรงเรียก บัวซองค์ คือ ไม่อาศัยพื้นที่ รวมกันที่ล้านๆแรงก็ได้
    เมื่อไม่มีพื้นที่ ก็ไม่มีระยะทาง ไม่มีระยะทาง ก็ไม่มีเรื่องเวลา มันจึงอยู่
    เหนือกาลเหนือเวลา แทรกกันอยู่ใน อะตอม แรงตัวนี้ที่หละครับ
    ที่มันเกี่ยวข้อง กับ ทางพุทธฯ ที่เราเรียก วิบากกรรม กุศล อกุศล บุญบาปฯลฯ
    พอนึกออกเนาะ.... และต้องเข้าใจว่า ในทางวิทยาศาสตร์
    จะทราบดีว่า แรงที่มีอนุภาคเหมือนกันมันจะดึงดูดกัน

    (เราอาจจะคุ้น คำว่า ถูกชะตา เหมือนเคยมา เหมือนเคยรู้จัก)
    และแรงที่มีอนุภาคต่างกันจะผลักกัน
    (เราอาจจะคุ้นๆ ว่า ไม่ชอบขี้หน้า ไม่ถูกชะตา ไม่อยากเข้าใกล้ )

    และทางวิทยศาสตร์ ที่ยังไม่เข้าใจก็คือ ในเรื่อง ต้นกำเนิดของแรงเหล่านี้

    และอย่างทางวิทยาศาสตร์ ณ ปัจจุบัน ก็ยังค้นพบว่า มีแรงอยู่ ๔ ชนิด

    ๑.สื่อนำแรงที่เรียกว่า พลังงานแรงแม่เหล็กไฟ้ฟ้าหรือเรียกอีกอย่างพลังงานแสง
    หรือที่เราคุ้นๆง่ายๆ ว่ามันมีประจุบวกและลบ
    บางเรียก โปรตรอน หรืออะไรตรอนๆนี่หละ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะมีการค้นพบ
    กันมากมาย...


    ๒.แรงโน้มถ่วง แรงระหว่างโลกกับดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดาวอื่นๆ
    หรือที่เราเห็นว่า มันหมุนรอบๆกันได้อะไรทำนองนี้ ถ้าไม่มี เราจะลอยออก
    จากโลกใบนี้ไปเลย.....


    และการค้นพบด้วย เครื่องมือที่มีราคาแพง ขนาดใหญ่ อีก ๒ แรง
    ๓.แรงนิวเคลียร์แบบเข้ม ลักษณะคล้ายๆ เวลาเราดึงยางเส้นสั้นๆให้ยึดออก
    เราจะคุ้นๆ ในชื่อ กูออน เพราะเป็นชื่อ นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบ
    เป็นแรงที่ยึดระหว่างอนุภาคทั้งสองของนิวเคลียร์แบบเข้ม


    ๔.แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน บางจะเรียกว่า ฮิกต์ ซึ่งเป็นแรง ซึ่งเป็นแรงชนิดเดียว
    ที่มีอนุภาคของสื่อนำแรงที่ยึดเหนี่ยวมัน มากกว่า ๑ ชนิด คือ ๓ ตัวข้างบนจะมีตัวเดียว.....
    มันยังมี แรงที่มีประจุบวกและลบ และ แรงที่ไม่มีประจุ


    ซึ่ง ต้นกำเนิดของแรง สามารถสร้างได้ และ
    อีกตัวหนึ่งที่สำคัญ ก็คือ ตัวจิตเรานี่หละ.....


    นึกออกไหม โปรตรอน และนิวตรอน
    มันจะมี แรงที่เรียกว่า อัพและดาวน์คว๊าก เป็นส่วนประกอบ
    และ แรงที่มีประจุบวกและลบ กับ แรงไม่มีประจุนั้น


    หากมันมีการการเปลี่ยนแปลงประจุ มันสามารถ
    ทำให้ โปรตรอน เปลี่ยนเป็นนิวตรอนได้
    (ทางปฏิบัติคือ การเล่นแร่แปรธาตุ)
    และถ้ามันหลุดจาก นิวเคลียส แรงพวกนี้มันจะหายไป...
    (ทางปฏิบัติก็คือ สภาวะว่างในสมาธินั้นเอง ไม่ใช่นิพพานนะครับ
    แต่ที่ ยังไม่มีเครื่องมือใดๆในโลกนี้จับได้ทัน และคิดว่า มันหายไป
    เพราะช่วงนี้ มันเร็วยิ่งกว่าแสง ทางวิทย์ฝ่ายฝรั่ง ณ ปัจจุบันนี้
    เลยเข้าใจว่า มันหายไป คือ เค้าไม่ได้เข้าใจผิดหรอก
    แต่เค้าตอบ ตามที่เครื่องมือทางวิทย์ สามารถพิสูจน์ตรวจจับได้ ณ ปัจจุบันนี้......
    เหมือนเมื่อก่อน เข้าใจว่า โลกแบบ ดวงอาทิตย์ มีดวงเดียว ฯลฯ )


    เอาว่า อ่านมาทั้งหมด แล้วงงสุดๆ.....
    นึกอะไรไม่ออก ก็ให้เข้าใจว่า
    ทางวิทยาศาสตร์นั้น ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยราคาแพงสุดๆแล้ว
    ณ ปัจจุบัน สามารถค้นพบในระดับของ คำว่า
    ''ว่าง''
    แต่ในทางพุทธฯ คำว่า ว่าง เป็นเรื่อง สิวๆ
    สำหรับ ผู้ใช้งานทางจิตได้.......
    และยังไม่สามารถค้นพบเรื่องต้นกำเนิดของแรงที่ เราเรียกว่า
    ''จิต''



    ภายใต้ประโยค **** คือการอธิบาย แบบลูกทุ่ง****
    ****ความรู้สึกจากด้านพลังงานที่ส่งผลต่อผิวหนังนั้นเป็นเรื่องธรรมดา
    โดยปกติแล้ว หากมีการรับรู้สัมผัสในกรณีแบบนี้ได้
    จะต้องทำควบคู่กับ การเคลียร์กระแสตกค้าง
    ก็สามารถทำได้หลายวิธีเช่น
    ๑.เหยียบหญ้าด้วยเท้าเปล่า
    ๒.กำหนดอุทิศส่วนกุศลจากกลางลิ้นปี่
    ๓.กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล
    ๔.หรือเข้าโหมดอากาศธาตุ....
    ทั้ง ๔ วิธีเป้าหมายคือ ให้รู้สึกว่า กายเบา ตัวเบา ใจเบา....


    จริงๆพวกนี้ มีทริคในการมองเห็นได้ไม่ยากเท่าไร...
    ถ้ามองเห็นได้ ก็เพียงรอจนกระทั่งอากาศรอบๆกายเรามันใส...


    ปกติทั่วไป จะเห็นเป็นควันดำถ้าตกค้างมาก
    หรือ ออกสีขาวๆ กรณีนี้เป็นเรื่องปกติ จากความเจริญทางเทคโนโลยีต่างๆ....


    เรื่องพลังงาน ถ้าเกิดรับรู้สัมผัสได้ นอกจากการที่จะต้องรู้จักเคลียร์กระแส
    ก็คือ ต้องรู้จักไม่สนใจมันด้วย ไม่งั้น มันจะเป็นตัวที่ทำให้เรา
    เป็นไปตาม จริต อนุสัย วิบาก อย่างใดอย่างหนึ่งโดยไม่รู้ตัว.....****


    ที่นี้ถ้าเราพูดอย่างเข้าใจตาม****โดยขาดเหตุและผลรองรับนั้น
    บางคนอาจจะมองว่า เราเชื่อแบบขาดการไตร่ตรอง หรือมองว่ามันเป็น
    เรื่องประหลาด เรื่องวิเศษ ซึ่งถ้าเราลองย้อนมามองมัน
    ในส่วนของแรงที่เป็นนามธรรม เราจะพบว่า


    แท้จริงๆแล้ว.....นึกตามนะครับ...


    แรงต่างๆภายนอกที่เราสัมผัสได้
    มันก็จะอยู่ในรูปแบบ ภายใต้
    ของแรงโน้มถ่วง แรงคลื่นแม่เหล็กไฟ้ฟ้า ๒ ส่วนแรงนี้ทำงานร่วมกัน ก่อนในเบื้องต้น
    ทั้งความคิด ความเครียด อาฆาต ความดี ความสุข ความรัก ฯลฯ รวมทั้งผีที่เราเห็นต่างๆ

    (เรามักใช้คำว่า รู้สึกได้ว่า มีพลังงานบางอย่าง หรือมีแรงอะไรบางอย่างนั่นหละ)
    และมันก็ส่งผล ต่อร่างกายเราให้เรารู้สึกหนักๆ ตึงๆ เป็นบางเวลา
    เนื่องจากคุณสมบัติของมัน
    (นิวเคลียแบบเข้ม)

    ก่อนที่มันจะมีเปลี่ยนแปลงอนุภาคของแรง(จากสีขาวเป็นใส หรือจากดำเป็นขาวและเป็นใส)
    โดยอาศัยสภาวะของความว่าง ไม่ว่าจะอุทิศส่วนกุศล ต่างๆเป็นต้น ฯลฯ หรือใสๆ
    เช่นจากการสวดมนต์ภาวนา เป็นต้น

    (จริงๆคือ จากคุณสมบัติของแรงนิวเคียร์แบบอ่อน ที่เปลี่ยนแปลงอนุภาคได้)......
    ซึ่งถ้ามันยังตกค้าง ก็จะส่งผลให้รู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง ทางกายเรานั่นเอง(นิวเคียร์แบบเข้ม)


    สังเกตุเห็นไหมว่า มันก็อยู่ภายใต้ แรงที่ ทางวิทยาศาตร์ จากดาวโลกนี้
    ได้ค้นพบ เพียงแต่ว่า เราจะมองในมุมไหนเท่านั้นเอง.....
    มันมีเหตุและมีผลทั้งนั้น


    ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพียงแต่เรา
    อาจจะยังไม่เข้าใจมันเฉยๆ หรือ เข้าใจตามสภาวะที่เรารับรู้ได้.....
    เราก็จะเห็นแต่ในภาพรวม เป็นเรื่องปกติกันทุกคน



    เรื่องพลังงาน เรื่องแรงอะไรพวกนี้ มันเรียนรู้ได้
    แต่ถ้าเราได้ศึกษา เราจะค้นพบว่า
    ยิ่งเรียนรู้ มันยิ่งมีแต่จะเพิ่ม เรียนรู้ไม่จบไม่สิ้น


    มันไม่เหมือน วิชาทางพุทธศาสตร์ ที่เรียนรู้แล้วมันจบเป็น......

    พอนึกออกแล้วใช่ไหม ว่า ทำไมถึงไม่มีในคำสอน.....
    ทำไมบ้างเรื่อง ถึงถูกห้ามไม่ให้ไปสนใจ ยกเว้นเข้าถึงได้เองจากการปฏิบัติ
    แต่เรื่องพวกนี้ พระเกจิท่านต่างๆทราบดีนั่นหละ...


    เรารู้ ในมุมที่เพียงพอ ที่มีประโยชน์ก็พอ
    ส่วนอื่นๆ ถือว่า ฮาๆขำๆไป รู้ก็ช่าง ไม่รู้ก็ช่าง
    แล้วก็อย่าไปยึดแค่นั่นเอง.........

    บางเรื่องเรารู้ของเราคนเดียวก็พอ
    คนอื่นๆไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้
    และเราพูดแต่ในสิ่งที่คนอื่นๆอยากฟัง
    อย่าพูดในสิ่งที่เราอยากจะพูด...
    หรือถ้าเราจะพูดก็พูดได้ แต่ว่า อย่าไปยึดก็พอ
    เน้นฮา เน้นอะไร ก็ว่ากันไป


    โม้และพิมพ์ จนนิ้วหงิก
    หวังว่า พอจะเข้าเจตนาที่สื่อเนาะ ๕๕๕
    ย้ำว่า ที่พูดเรื่องแรงจะบอกว่า แค่แบบหยาบๆ เท่านั้นะครับ
    ยังมีอีกหลายขั้นตอน หลายสเตป...

    พอรู้พวกนี้ มันก็สามารถพลิกไปในเรื่องธาตุ
    การกำเนิดขึ้นได้ ในทางพุทธฯเช่นกัน....


    โอเครเนาะ.....ถือว่า เล่าสู่กันฟัง...
     
  19. wan17

    wan17 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2018
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +8
    ขอโทษด้วยนะคะ ไม่มีเจตนาจะทำให้คนที่อ่านเข้าใจผิดหรือหลงงมงายอะไรค่ะให้คนอ่านคิดว่าเป็นนิทาน อ่านขำๆ ที่เขียนละเอียดเพราะอยากแก้ไขสิ่งที่เป็นอยู่เท่านั้นจริงๆค่ะ

    ส่วนตัวเข้าใจที่คุณนพสอนมาตลอดค่ะ ว่าไม่ให้ยึดติด สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องมาเกิดอีก พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอน ท่านสอนแต่ให้มีสติควบคุมตัวรู้ค่ะ ทุกวันนี้ก็พยายามเพิ่มสติทางธรรมอยู่ค่า ....
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ส่วนตัว ไม่ได้ว่าอะไรใครนะ
    แค่เขียนให้เห็นในอีกมุมหนึ่ง
    แบบกลางๆเท่านั้นเอง...


    เพื่อให้เห็นในมุมที่ว่า
    ทุกสภาวะ ทุกสัมผัส ทุกการปฏิบัติ
    ยังไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้เท่านั้นเอง.... ^_^


    เจตนา นั้น จะพยายามสื่อว่า
    ศาสนาพุทธฯ เป็นอะไรที่สามารถ
    พิสูจน์ได้ ด้วยเหตุและผลนั่นเอง....
    ประมาณว่า ชมศาสนาตัวเองนั่นหละ ๕๕
     

แชร์หน้านี้

Loading...