สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
    nEGMefyjdY9PXtEj6ZJo2raIk-cH26IamV6o0syJVBsjkjLMkmzgLLE3Tfej5CdBc2sOCeHf&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
    สะสางธาตุธรรม จนใสเหมือนเพชรแล้ว ทำไมยังเห็น(.....)อยู่อีก ?
    ทำไมเมื่อสะสางธาตุธรรม เก็บธาตุธรรมภาคดำและภาคกลางๆ จนใสเหมือนเพชรแล้ว ต่อไปยังเห็นมีธาตุธรรมภาคดำ ภาคกลางๆ อยู่อีก ?

    ตอบ:



    เพราะว่า

    1. เรายังละกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึ่งรวมเรียกว่า สังโยชน์ (กิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลก) ที่ได้เคยสะสมมาแต่อดีต นับภพนับชาติไม่ถ้วน ยังไม่หมดสิ้นโดยเด็ดขาดเป็นสมุจเฉทปหาน

    ต่อเมื่อใดเราได้บำเพ็ญบุญบารมี อุปบารมี ถึงปรมัตถบารมี เต็มส่วน (ตามอธิษฐานบารมีเป็นพระอรหันตสาวก หรือเป็นพระอรหันต-ปัจเจกพุทธเจ้า หรือเป็นพระอรหันตสัพพัญญูพุทธเจ้า หรือถึงต้นธาตุต้นธรรม) ปฏิบัติธรรม ตรัสรู้พระอริยสัจจธรรม จนละสังโยชน์ ได้ทั้งหมด (10 ประการ) โดยเด็ดขาด เป็นพระอรหันตขีณาสพ ตามระดับบุญบารมีที่อธิษฐาน (บารมี) ไว้แล้ว ทั้งธรรมกายตรัสรู้ ชื่อว่า “พระนิพพานธาตุ” และกายมนุษย์พิเศษของพระอริยเจ้านั้นจึงโตใหญ่ เต็มธาตุเต็มธรรม และใสบริสุทธิ์ มีรัศมีสว่างอยู่อย่างนั้น (ไม่มีมัวหมองและไม่กลับเล็กลงอีก) พระนิพพานธาตุ และกายมนุษย์พิเศษ นั้นแหละจะเชื่อมเป็นอันเดียวกัน เป็นอมตธรรม ที่มีสภาพเที่ยง เป็นบรมสุข และเป็นตัวตนที่แท้จริง ที่ยั่งยืนของพระอริยเจ้านั้น

    เพราะฉะนั้น จงบำเพ็ญบุญบารมีและปฏิบัติธรรมให้ยิ่งขึ้นไป จนถึงบรรลุพระนิพพานที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวง และที่เป็นบรมสุขนั้นเถิด

    2. เพราะธาตุธรรมของสัตว์โลกเกี่ยวเนื่องถึงกัน เมื่อเราทำวิชชาสะสางธาตุธรรมของเรา ก็เกี่ยวเนื่องถึงธาตุธรรมของสัตว์โลกอื่นๆ ด้วย

    วิชชาธรรมกายชั้นสูงเป็นวิชชาสะสางธาตุธรรมของพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม เพื่อช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์เข้านิพพาน เมื่อเราเข้าถึงแล้ว จึงได้วิชชานี้มาเพื่อสะสางธาตุธรรมของเราเองด้วย และเพื่อช่วยสะสางธาตุธรรมของสัตว์โลกอื่นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ปฏิบัติธรรมในสายธาตุธรรมเดียวกัน คือธาตุธรรมสายขาวหรือฝ่ายพระพุทธศาสนา ซึ่งพระอริยเจ้า พระอรหันตเจ้า และ พระพุทธเจ้า คือธรรมกายนั้นเอง จะได้รับผลก่อนและมากกว่าสายอื่น (คือธาตุธรรมสายกลางๆ และธาตุธรรมสายดำ) ซึ่งจะค่อยๆ ได้รับผล เมื่อผู้เจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูงช่วยสะสางธาตุธรรมของสัตว์โลก หมดทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ ทั่วทั้งจักรวาล ตามศักดิ์แห่งบุญบารมี และพลัง คือทั้งจำนวน (ปริมาณ) และระดับภูมิธรรม (คุณภาพ) ของผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ถึงธรรมกาย และได้ฝึกเจริญสติปัฏฐาน 4 และวิชชาธรรมกายชั้นสูงที่ได้ผลดี คือที่บริสุทธิ์ และมั่นคงดีแล้ว ที่มีมากขึ้น และแก่กล้าขึ้นตามลำดับ

    เพราะเหตุนั้น วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ในสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี จึงมีนโยบายและโครงการที่จะ “สร้างพระในใจตน” และ “ช่วยสร้างพระในใจคน(อื่น)” ให้ได้คุณภาพและปริมาณที่ดีให้มากที่สุด เพื่อช่วยตนเองและผู้อื่น โดยมีหลักว่าเท่าที่กำลังสติปัญญาความสามารถ ภูมิธรรม และกำลังทรัพย์ สามารถและที่สามารถจะช่วยผู้อื่นได้ นี้เป็นงานช้าง (งานหนัก) แต่เราทำเท่าที่สามารถทำได้ตามกำลังของเรา แต่เราต้องช่วยตนเองและผู้อยู่ในสายธาตุธรรมที่ใกล้ชิดกันเอง คือผู้ปฏิบัติธรรม ที่ทำหน้าที่รบ ทำงาน ตรวจงาน เผยแพร่ กองเสบียงก่อน ให้มีกำลังกล้าแข็งพอที่จะขยายความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นที่อยู่ห่างสายธาตุธรรม วิชชาธรรมกาย และนอกพระพุทธศาสนาออกไป

    เพราะเหตุนี้ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านจึงกล่าวว่า “ธรรมกาย นั้นแหละ คือที่พึ่งของสัตว์โลก” ใครผู้ใดขัดข้อง คิดและกระทำการ ทำลายธรรมปฏิบัติตามที่หลวงพ่อฯ และศิษยานุศิษย์ท่านสอนให้ปฏิบัติ ถึงธรรมกาย ถึงพระนิพพาน ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยมิจฉาทิฏฐิ จึงมีผลดุจดังเด็กกำถ่านเพลิง และดุจดังคนโง่ทุบหม้อข้าวตนเองฉันใด ฉันนั้น
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
    เห็นกายในกายต่างๆ ปรากฏขึ้นมา แล้วเมื่อไรจึงจะพิจารณาสภาวธรรมได้ ?
    เมื่อกระผมทำภาวนา ความตั้งใจของกระผมเกือบทั้งหมดจะจับอยู่ที่ดวงกลมใส และกายในกายต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นมา แล้วเมื่อไรกระผมจึงจะมีโอกาสพิจารณาสภาวธรรม และเมื่อไรกระผมจึงจะสามารถพัฒนาปัญญาที่สำคัญทั้งหมดได้ ?

    ตอบ:

    เวลาใดที่ใจเป็นอิสระจากกิเลสนิวรณ์ ท่านก็สามารถจะดำเนินการพิจารณาสภาวธรรมได้เสมอ ตัวอย่างเช่น ท่านเห็นดวงกลมใส ท่านก็สามารถขยายให้ใหญ่ขึ้นได้ตามปรารถนา ซึ่งเมื่อนั้นหมายความว่า ดวงเห็น ดวงจำ ดวงคิด ดวงรู้ ของท่านจะ ขยายใหญ่ขึ้นด้วย ให้ทำเช่นนั้นไปจนกระทั่งใหญ่ประมาณขนาดเท่าร่างกายทั้งหมดของท่าน

    ในสภาวะนั้นทิพจักษุก็จะเกิดและเจริญขึ้น ให้ท่านสามารถพิจารณาเห็นทุกส่วนต่างๆ ของร่างกายของท่านพร้อมๆ กันได้ หรืออาจจะพูดได้ว่า ท่านไม่ต้องเลื่อนการเห็นจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่ง ต่อๆ ไป เพื่อให้เห็นทั่วร่างกาย แต่ท่านจะเห็นได้โดยรอบเลยทีเดียว

    บัดนี้ท่านก็จะสามารถพิจารณาอวัยวะทุกส่วนของร่างกายของท่าน ให้เห็นตามธรรมชาติที่เป็นจริงได้ว่า ไม่มีแม้แต่ส่วนหนึ่งส่วนใดที่น่ารักใคร่เลย แท้จริงแล้วอวัยวะทุกส่วน ล้วนแต่เป็นของไม่สะอาด นี้เป็นวิธีพิจารณากายคตาสติที่มีประสิทธิภาพมาก ที่จะช่วยให้จิตใจของท่านสงบจากกามตัณหา ดังที่อาตมาจะขอยกอีกตัวอย่างหนึ่ง

    เมื่อครั้งที่อาตมายังเป็นฆราวาสอยู่ วันหนึ่งอาตมานั่งรถสองแถวกลับบ้าน อาตมาโชคดีที่ได้ที่นั่ง รถแน่นมากจนต้องยืนเบียดกัน มีสาวรุ่นคนหนึ่งยืนข้างหน้าของอาตมา หันหน้าเข้าหาอาตมาเสียด้วย หน้าอกของเธอสัมผัสที่หน้าอาตมาหลายครั้งเมื่อรถโคลงไปมา อาตมาทำภาวนาตลอดเวลา ตั้งใจดูในสมาธิว่าเธอเป็นอย่างไร ระหว่างการเดินทางนั้น ในสมาธิ อาตมาเห็นทุกส่วนของร่างกายเธอที่ต้องการจะดู ขณะนั้นอาตมาตระหนักว่า แท้จริงแล้ว ทุกส่วนของร่างกายนั้นสกปรกมาก พอดีเห็นเธอกำลังมีประจำเดือนอยู่ และขณะนั้นอาตมาก็รับรู้สัมผัสได้ด้วยใจ ถึงกลิ่นที่ค่อนข้างน่ารังเกียจนั้นด้วย

    นั้นเป็นการพิจารณากายคตาสติ และอาตมาก็ได้ใช้วิธีการนั้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ทั้งในการพิจารณาสังขารร่างกายของตนเอง และของผู้อื่นช่วยให้อาตมาสามารถประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับภรรยาของอาตมาได้ดีเป็นเวลา 10 ปีก่อนที่จะบวช

    เมื่อท่านมีความรู้สึกทางเพศควรกำหนดใจทันที ใช้ปัญญาของท่านเริ่มพิจารณากายคตาสติทันที จะช่วยให้สามารถกำจัดนิวรณ์ได้ แล้วจงชำระจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์ โดยวิธีดับหยาบไปหาละเอียดให้มากขึ้นๆ เมื่อท่านถึงจุดที่ใจบริสุทธิ์ผ่องใสที่สุด สงบที่สุด กามตัณหาของท่านจะสงบลง โดยการพิจารณาเห็นส่วนต่างๆ ของร่างกายตามที่เป็นจริง ว่าน่ารังเกียจ ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมจึงควรพิจารณากายคตาสตินี้ตลอดเวลา.

    Tweet
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
    " จงช่วยคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน
    ไม่หวังลาภสักการะ ไม่หวังให้คนชมว่าเราเก่ง
    ถ้าเก่งอย่างอื่นแล้ว แต่กิเลสมันยังเฟื่องฟูอยู่
    ไม่นับว่าเก่ง อย่างนั้นเรียกหมดเก่ง "

    พระเทพญาณมงคล(หลวงป๋า)
    ปฐมเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
    วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๐

    เครดิต คุณวิศัลยา เศรษฐีภัทรนนท์

    k_TBhrXWMSp7TuuE5GNodUfYyqiZIsQRoXNQHR-b23roN7B-bgmw4t5Bkp2yI6-aGiDbxynw&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
    - บางคนชอบตำหนิสมถะ
    ไปตำหนิก็เท่ากับคุณเอาน้ำร้อนสาดหน้าตัวเอง
    เป็นกรรมนะ.

    ในยามต้นแห่งราตรี ทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาณ ทรงระลึกชาติได้ เห็นสัตว์โลกตายเกิด ตายเกิด แล้วไปทุคติภูมิ นี่ เห็นนรกนะ ทุคติภูมิ ไปเกิดเป็นเปรตบ้าง สัตว์นรกบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง ไปเกิดในทุคติภูมิอย่างนี้มากต่อมาก แต่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์น้อยเหลือเกิน หรือจะกลับไปเกิดเป็นเทพยดาน้อยนัก

    พระพุทธองค์ถึงกับตรัสสอนพระภิกษุว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์โลกตายแล้วจากความเป็นมนุษย์นี่ จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกน้อยนัก แต่ไปเกิดในนิรยภูมิมากต่อมากนัก ก็คือ ไปเกิดเป็นเปรต สัตว์นรก อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มากต่อมาก

    ตรงนี้ เป็นวิชชาที่หนึ่ง ที่สำคัญ ที่บุคคลทั้งหลายไม่รู้บาปบุญคุณโทษตามที่เป็นจริง เพราะไม่รู้เห็นนรก ไม่รู้เห็นสวรรค์ ตามความเป็นจริง ไม่รู้เห็นการเวียนว่ายตายเกิด ก็หลงคิดว่า เรานี่สบายแล้ว ตายแล้วก็เดี๋ยวกลับมาสบายใหม่ ไม่มีทางถ้าคุณไม่ทำความดี และหลีกหนีความชั่ว

    ต้องทำความดีหลีกหนีความชั่ว เพราะความชั่วนำไปสู่นิรยภูมิ ไปเกิดในทุคติภูมิ ในภพชาติปัจจุบันก็ต้องลำบาก ลำบากในภพชาติปัจจุบันนี่แหละ กรรมมันตามสนองทุกคนแหละ แต่ว่าเรื่องกรรมตรงนี้ยังไม่พูด พูดว่าไปเกิดในทุคติภูมิ

    บุคคลที่กระทำความชั่วมากๆ ก็มีอาการเหมือนสัตว์โลกในทุคติภูมิ บางคนก็เหมือนเปรต บางคนก็เหมือนอสุรกาย บางคนก็เหมือนสัตว์เดรัจฉาน บางคนก็เหมือนสัตว์นรก ร้อนรุ่มมากมายก่ายกอง แสดงอาการต่างๆเหมือนสัตว์นรก ใช่ไหม นั่นความทุกข์นะ ตัวเองยังไม่รู้ บางคนก็หลงทำ

    ทีนี้ ต่อไป อาตมาภาพนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ (นี่ ในยามกลางแห่งราตรี ทรงเจริญฌานสมาบัติถึงจตุตถฌาน) บริสุทธิ์ผ่องแผ่วไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส อ่อนควรแก่งาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ รู้อุบัติรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย และอาตมาภาพนั้นย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติและกำลังอุบัติ เลว ปราณีต มีผิวพรรณดีมี ผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพพจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุมนุษย์

    คือ เห็นกฏแห่งกรรม ญาณที่สอง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะฉะนั้น คนไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธ พึงสำเหนียก รู้ตัวซะ ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กรรม กรรมชั่วติดตามเหมือนเกวียน ล้อเกวียนกระทบเท้าโคที่ลากเกวียนไป ฉันใดฉันนั้น แต่คนทำดีเหมือนมีเงาติดตามตัวไปทุกหนทุกแห่ง ให้ผลเป็นความเจริญสันติสุขในชีวิต กรรมชั่วหนัก กรรมดีเบา หรือเรียกว่าบุญ ก็คือธรรมชาติที่ชำระจิตใจให้ผ่องใส เพราะคนจะทำดีก็ด้วยจิตใจที่มันผ่องใสนั่นแหละ ผ่องใสจากกิเลส ใช่ไหม

    นี่ ล่วงจักษุมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ดูก่อนราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่สองที่อาตมาภาพได้บรรลุแล้วในมัชฌิมยามแห่งราตรี (คือ ในยามกลางแห่งราตรี) อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่อาตมาภาพผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว แลอยู่ (ก็คือว่า ดำเนินไปอย่างนั้น)

    ในยามปลายแห่งราตรี อาตมาภาพนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ (นี่เจริญฌานสมาบัติขั้นที่ ๔ อีกครั้งหนึ่ง) บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อนควรแก่งาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวอยู่อย่างนั้น ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ได้รู้ชัดความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ เหล่านี้อาสวสมุทัย เหล่านี้อาสวนิโรธ เหล่านี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา

    เอาล่ะ ตรงนี้คือ เห็นแจ้งในอริยสัจตามความเป็นจริง โดยญาณสาม สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ดังได้กล่าวมาแล้ว และก็รู้เหตุแห่งทุกข์ นั่นคือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน กิเลสตกตะกอนนอนเนื่องในจิตสันดานอย่างไร ที่ไหน ตรงนี้นะ ผู้เจริญภาวนาถูกส่วนจะรู้จะเห็นได้ ตามรอยบาทพระพุทธองค์ จะรู้เห็นอย่างนี้ได้

    (บางคนชอบตำหนิสมถะ) ทรงใช้อยู่แล้ว คุณไปตำหนิก็เท่ากับคุณเอาน้ำร้อนสาดหน้าตัวเอง เป็นกรรมนะ

    เมื่ออาตมาภาพนั้นรู้เห็นอย่างนี้จิตก็หลุดพ้นแล้ว แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็มีญาณหยั่งรู้ ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาตินี้สิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูก่อนราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่สาม ที่อาตมาได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่อาตมาภาพผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว แลอยู่.

    นี่ พระพุทธเจ้าท่านยังเจริญภาวนาสมาธิ นี่อาการตรัสรู้เลย แล้วใครปฏิเสธสมาธิคุณเป็นอะไร คุณเป็นอะไร คุณจะละเว้น แล้วมาตำหนิสมาธิน่ะ ถ้าใครตำหนิสมาธิน่ะ คุณเป็นอะไร.

    ______________
    เทศนาธรรมจาก

    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _______________
    ที่มาจากเทศนาธรรมเรื่อง "ปฏิบัติให้เข้าถึง"
    _______________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.

    dAT7k0CZqq115NiWkSPROR9LdhKtSin1JIb50n_QxYKKFm_7pp98q6UthFvHeId3K9xz43o5&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
    ปัพพโตปมคาถา


    lphor_tesna_vn.jpg


    28 มีนาคม 2497

    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. (3 หน)



    ยถาปิ เสลา วิปุลา นภํ อาหจฺจ ปพฺพตา
    สมนฺตา อนุปริเยยฺยุํ นิปฺโปเถนฺตา จตุทฺทิสา
    เอวํ ชรา จ มจฺจุ จ อธิวตฺตนฺติ ปาณิโน
    ขตฺติเย พฺราหฺมเณ เวสฺเส สุทฺเท จณฺฑาลปุกฺกุเส
    น กิญฺจิ ปริวชฺเชติ สพฺพเมวาภิมทฺทติ
    น ตตฺถ หตฺถีนํ ภูมิ น รถานํ น ปตฺติยา
    น จาปิ มนฺตยุทฺเธน สกฺกา เชตุํ ธเนน วา
    ตสฺมา หิ ปณฺฑิโต โปโส สมฺปสฺสํ อตฺถมตฺตโน
    พุทฺเธ ธมฺเม จ สงฺเฆ จ ธีโร สทฺธํ นิเวสเย
    โย ธมฺมจารี กาเยน วาจาย อุท เจตสา
    อิเธว นํ ปสํสนฺติ เปจฺจ สคฺเค ปโมทตีติ.


    วิชชาธรรมกาย ไปเห็นวิชชาเหล่านี้หมด ไปเห็นความแก่ ความตาย เวลานี้เขาว่าสมภาร (พระเดชพระคุณหลวงพ่อสด จนฺทสโร) วัดปากน้ำ กำลังสู้กับความแก่ ความตาย สู้จริงๆ ผู้เทศน์นี่แหละ 22 ปี 8 เดือนเศษแล้ว 8 เดือน 9 วัน วันนี้แล้ว วินาทีนี้ไม่ได้หยุด เพียรสู้ความแก่ความตาย ไม่ได้ถอยกันเลย พระยามัจจุราชมีเท่าไร จับกันหมด จับกันหมด ตรึงกันหมด ลงโทษกันหมดทีเดียว มีเท่าไร ไม่ให้ทำลายพระ ไม่ให้ข่มเหงพระได้ ให้เลิกข่มเหง ให้เลิกทำลายพระเสียให้ได้ จะแก้ความแก่ ความเจ็บ ความตายใหม่ ไม่ให้มีแก่ ไม่ให้มีเจ็บ ไม่ให้มีตาย



    ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงธรรมีกถา ว่าด้วย ปพฺพโตปมคาถา วาจาเครื่องกล่าวปรารภถึง ภูเขา เป็นเครื่องเปรียบเทียบ ด้วยบัดนี้เราท่านทั้งหลายหญิงชายทุกถ้วนหน้า ทั้งคฤหัสถ์บรรพชิต บรรดามาสโมสรในที่นี้ ล้วนมีส่วนเจตนาใคร่เพื่อจะสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา เพราะเราท่านทั้งหลายหญิงชายทุกถ้วนหน้า เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ตั้งแต่วัยเด็กเล็กมา ก็แปรไปเป็นลำดับ นับว่าไม่มีใครหยุดยั้งลงสักวินาทีเดียว หยุดยั้งที่ไม่แปรไปอนุวินาทีเดียวก็ไม่มี พอเกิดมาก็แปรเรื่อย อนุวินาทีเดียวไม่มีเลยที่หยุดยั้งอยู่ แปรไปเรื่อยไม่มีหยุดยั้งแต่นิดเดียว จนกระทั่งถึงวินาศดับสูญไป ไม่เหลือเลยแต่คนเดียว ตั้งแต่บุรพชนต้นตระกูลของเรา มาจนกระทั่งบัดนี้

    หญิงก็ดี ชายก็ดี เหมือนกันหมด ปรากฏว่าพอเกิดมาก็แปรไป อนุวินาทีหนึ่งมิได้ หยุดแปรไป ปัจจุบันแปรไปทีละนิดๆ จนกระทั่งดับจิตทุกคน บางคนก็ไม่ถึงที่สุดชีวิต ดับเสีย ในต้นชีวิต บางคนก็ไม่ถึงกลางชีวิต ดับเสียในก่อนกลางชีวิต บางคนก็ไม่ถึงปลายชีวิต ดับเสียก่อนปลายชีวิต บางคนมีบุญวาสนาเต็มฤทธิ์จึงจะถึงปลายชีวิต เป็นดังนี้เสมอไป ถ้าไม่มีบุญวาสนาเต็มด้วยฤทธิ์แล้ว ไม่ถึงปลายชีวิตสักคนเดียว

    ดังนั้นจึงน่าสังเวช น่าสลดใจ พระจอมไตรจึงได้ทรงรับสั่งเทศนาว่า ยถาปิ เสลา วิปุลา นภํ อาหจฺจ ปพฺพตา สมนฺตา อนุปริเยยฺยุํ นิปฺโปเถนฺตา จตุทฺทิสา แปลเป็นสยามภาษาว่า ภูเขาทั้งหลายล้วนแล้วด้วยศิลา อันไพบูลย์สูงจรดฟ้า หมุนบดสัตว์เข้ามาโดยรอบทั้ง 4 ทิศ แม้ฉันใด เอวํ ชรา จ มจฺจุ จ อธิวตฺตนฺติ ปาณิโน ความแก่และความตายย่อมท่วมท้นสัตว์ทั้งหลาย ฉันนั้นเทียว ขตฺติเย จะเป็นกษัตริย์ก็ตาม พฺราหฺมเณ จะเป็นพราหมณ์ก็ตาม เวสฺเส เป็นพลเรือนก็ตาม สุทฺเท เป็นไพร่ก็ตาม จณฺเฑ เป็นคนครึ่งชาติก็ตาม ปุกฺกุเส เป็นคนเทหยากเยื่อเชื้อฝอยก็ตาม น กิญฺจิ ปริวชฺเชติ ไม่งดเว้นอะไรๆ ไว้เลยให้หลงเหลือ ย่อมท่วมทับหมดทั้งสิ้น น ตตฺถ หตฺถีนํ ภูมิ น รถานํ น ปตฺติยา ภูมิเป็นที่ไปของช้างทั้งหลาย ในความแก่และความตายนั้น ย่อมไม่มี ภูมิเป็นที่ไปของรถทั้งหลาย ในความแก่และความตายนั้นย่อมไม่มี หรือคนเดินเท้า คนเดินเท้านั้น ทหารที่จะเข้าไปรบ เดินไปด้วยเท้า เขาเรียกว่าทหารราบ เดินไปตามพื้นดิน คนเดินเท้าไปในความแก่และความตายนั้นไม่มี น จาปิ มนฺตยุทฺเธน สกฺกา เชตุํ ธเนน วา อันใครๆ ไม่อาจจะชนะความแก่และความตายด้วยการรบ ด้วยเวทมนต์ หรือด้วยการรบด้วยทรัพย์ จะเอาชนะความแก่และความตายไม่ได้เลย ตสฺมา หิ ปณฺฑิโต โปโส สมฺปสฺสํ อตฺถมตฺตโน เพราะเหตุนั้น บุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อมาเห็นประโยชน์ของตนแล้ว ผู้ทรงปัญญาควรตั้งความเชื่อในพระพุทธเจ้า ตั้งความเชื่อในพระธรรม ตั้งความเชื่อในพระสงฆ์ โย ธมฺมจารี กาเยน วาจาย อุท เจตสา บุคคลใดเป็นผู้ประพฤติธรรม กาเยน ด้วยกาย หรือ วาจาย ด้วยวาจา อุท เจตสา หรือว่า ด้วยใจ อิเธว นํ ปสํสนฺติ นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นในโลกนี้ทีเดียว เปจฺจ สคฺเค ปโมทติ บุคคลนั้นละโลกนี้ไปแล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์ ด้วยประการดังนี้

    เนื้อความของพระบาลี ปพฺพโตปมคาถา ขยายความเป็นสยามภาษา นี้แปลบาลีเป็นสยามทีเดียว ถ้าจะแปลขยายเป็นสยามแท้ๆ กะเทาะบาลีออกเสียทั้งหมด เป็นเนื้อความดังนี้ ภูเขาทั้งหลายล้วนแล้วด้วยศิลา อันไพบูลย์สูงจรดฟ้า กลิ้งหมุนทับบดสัตว์เข้ามาโดยรอบทั้ง 4 ทิศแม้ฉันใด ความแก่และความตาย ย่อมครอบงำสัตว์ทั้งหลายทั้งสิ้นฉันนั้น เป็นกษัตริย์ก็ตาม เป็นพราหมณ์ก็ตาม เป็นพลเรือนก็ตาม เป็นไพร่ก็ตาม เป็นคนครึ่งชาติก็ตาม เป็นคนเทหยากเยื่อเชื้อมูลฝอยก็ตาม ไม่งดเว้นใครๆ ไว้ให้เหลือเลย ย่อมครอบงำหมดทั้งสิ้น ภูมิเป็นที่ไปของช้างทั้งหลาย (เพื่อไปรบ) ในความแก่ความตายนั้นไม่มี ภูมิของรถทั้งหลาย (เพื่อไปรบ) ในความแก่ความตายนั้นก็ย่อมไม่มี ภูมิเป็นที่เดินเท้า ภูมิเป็นที่ไปด้วยเท้า (เพื่อไปรบ) ในความแก่ความตายนั้นก็ย่อมไม่มี ใครๆ ไม่อาจสามารถจะสู้รบ (ความแก่และความ ตาย) ด้วยเวทมนต์หรือจะสู้รบด้วยทรัพย์ก็ไม่อาจสามารถจะสู้ (ความแก่และความตาย) ได้ ไม่อาจจะเอาชนะ (ความแก่และความตาย) ได้

    เพราะเหตุนั้น บุรุษผู้เป็นบัณฑิตเห็นประโยชน์ของตนชัดดังนี้แล้ว ผู้ทรงปัญญาควรตั้งความเชื่อไว้ในพระพุทธเจ้า ควรตั้งความเชื่อไว้ในพระธรรม ควรตั้งความเชื่อไว้ในพระสงฆ์ บุคคลใดเป็นผู้ประพฤติธรรมด้วยกาย เป็นผู้ประพฤติธรรมด้วยวาจา เป็นผู้ประพฤติธรรมด้วยใจ นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นในโลกนี้ทีเดียว บุคคลนั้นละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์ นี้เป็นภาษาสยามล้วน ไม่มีบาลีเจือปนทีเดียว ได้ความชัดดังนี้

    บัดนี้จะอรรถาธิบายขยายความใน ปพฺพโตปมคาถา ความว่าวันคืนเดือนปี ที่เราเกิดมา ย่อมผ่านเราไปเนืองนิตย์ ท่านจึงได้ยืนยันว่า รตฺตินฺทิโว น ขียติ ชีวิตํ อุปรุชฺฌติ วันคืนเดือนปี ล่วงไปๆ มิได้ล่วงไปแต่วันคืนเดือนปีเปล่า ชีวิตของเราล่วงตามวันคืนเดือนปีนั้นไปด้วย ชีวิตที่เป็นอยู่ร้อยปี พอหมดไปเสียวันหนึ่ง ก็ขาดร้อยปีไปวันหนึ่งแล้วลดคืนหนึ่ง ผ่านร้อยปีไป คืนหนึ่งแล้ว หมดเสียวันกับคืนหนึ่ง ขาดร้อยปีไปวันกับคืนหนึ่งแล้ว อย่างนี้เรื่อยไป เมื่อวันคืนเดือนปีล่วงไปเท่าไร ชีวิตก็หมดไปเท่านั้น

    เมื่อรู้จักหลักอันนี้แล้ว เดินรุดหน้าไปข้างเดียว เกิดมาแล้วไม่มีถอยหลังเลย จะยั้งอยู่ไม่ได้ อนุวินาทีหนึ่งก็ไม่ได้ รอสักประเดี๋ยวเถอะน่า ยังห่วงลูกรักลูกอยู่ไม่ได้ รอประเดี๋ยว เถอะน่ายังห่วงพระห่วงเณรนักไม่ได้ รอไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าใคร นี่เพิ่งรู้ชัดว่าวันคืนเดือนปีล่วงไปๆ ไม่ใช่ล่วงไปแต่วันคืนเดือนปีเปล่า ชีวิตจิตใจล่วงไปด้วย ความเป็นอยู่ล่วงไปด้วย ล่วงไปอย่างวอดวายเช่นนี้ สภาพความเป็นเองปรุงแต่ง หรือว่าใครปรุงแต่ง อยู่ที่ไหน เรื่องนี้ หมดทั้งประเทศ หมดทั้งชมพูทวีป หมดทั้งแสนโกฏิจักรวาล หมดทั้งอนันตจักรวาล ตลอดนิพพาน ภพ 3 โลกันต์ มากน้อยเท่าใดนั้นไม่รู้กันทั้งนั้น ว่าเป็นเพราะเหตุอะไร แต่วัดปากน้ำ มีคนรู้ขึ้นแล้ว เป็นดังนี้เพราะอะไร?

    ที่ตั้งวัยให้แก่ยับเยินไปเช่นนี้ เป็นเองหรือใครทำอยู่ที่ไหน รู้ทีเดียวว่าใครทำอยู่ที่ไหน รู้ว่าไม่ใช่ใคร จับตัวได้ คือพระยามารนั่นเอง เป็นคนทำให้แก่ ให้เจ็บ ให้ตาย เกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างยับเยิน เกิดก็อย่างยับเยินเดือดร้อน พ่อไม่ตาย บางทีแม่ตาย บางทีลูกก็ตาย แม่ก็ตาย พ่อก็ยังจะตายตามอีก โดดน้ำตายเสียอกเสียใจ นี่ พระยามารทำทั้งนั้น สำหรับประหัตประหาร ฝ่ายพระ ถ้าว่ามนุษย์ผู้ใดเป็นฝ่ายพระละก้อ มารข่มเหงอยู่อย่างนี้แหละไม่ขาดสาย ไม่เช่นนั้น ก็ด้วยวิธีใดด้วยวิธีหนึ่ง บางทีหมั่นไส้นัก ทำเก่งกาจอวดดิบอวดดี ให้ฆ่ากันตายเสีย ให้กินยา ตายเสีย ให้โดดน้ำตายเสีย ให้ผูกคอตายเสีย นี่ใครทำ พระยามารทั้งนั้น ไม่ใช่ใคร ไม่มีใครรู้ แสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล นิพพานถอดกายมีเท่าไรไม่มีใครรู้ ไม่รู้เรื่องทีเดียวในเรื่องนี้ว่า พระยามารเขาคอยบีบคั้นอยู่ ให้เกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้เกิดก็เกิดอย่างยับเยิน หน้าบิดหน้าเบี้ยว เดือดร้อนด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ตาย คางก็เหลืองเทียว ไม่ตายก็เกือบตาย นี่พระยามารเขาทำ ตามปกติแล้วไม่เป็นดังนี้ เกิดก็อย่างไม่ได้เดือดร้อนนัก จะคลอดบุตรก็เหมือนถ่ายอุจจาระ เหมือนถ่ายปัสสาวะ ไม่เดือดร้อนเหมือนกับคลอดลูกออกเต้าธรรมดานี้ จะคลอดบุตรก็เหมือนถ่ายอุจจาระ เหมือนถ่ายปัสสาวะทีเดียว ไม่เดือดร้อนแต่อย่างหนึ่งอย่างใด ที่เดือดร้อนยับเยินเช่นนี้ เพราะพระยามารเขาส่งฤทธิ์ ส่งเดช ส่งอำนาจ ส่งวิชชาที่ศักดิ์สิทธิ์มาบังคับบัญชาบังคับให้เป็นไป

    เมื่อเป็นดังนี้ ที่ท่านวางบาลีว่า ให้เราท่านทั้งหลายพินิจพิจารณาว่าภูเขาทั้งหลาย ล้วนแล้วด้วยศิลาตัน ไม่มีน้ำเหลวเปลวปล่อง คำว่าไพบูลย์นั่น ตันสนิท ไม่มีน้ำเหลวเปลวปล่อง เป็นเนื้อหินทั้งแท่งทึบทีเดียว ไม่มีโพรงไม่มีถ้ำในสถานที่ใดๆ กลิ้งมาทั้ง 4 ทิศ จรดกัน โตเท่าไรก็กลิ้งเข้ามา บดเข้าไป กลิ้งเข้ามาจรดกันศูนย์กลาง คิดดูซี ภูเขาใหญ่ขนาดนั้น สูงจรดฟ้า ภูเขานั่นไม่ใช่เล็กน้อย กลิ้งเรื่อยเข้ามา แล้วใครเล่าจะเหลือ ที่ถูกเข้าแล้ว ใครจะเหลือ ไม่มีใครเหลือแต่คนเดียว มดปลวกไม่เหลือทั้งนั้น เลือดไรเหาเล็นไม่เหลือทั้งนั้น ต้นไม้ต้นหญ้าไม่เหลือ วอดวายหมดทีเดียว ถึงภูเขาเล็กๆ น้อยๆ ไม่พอ หนักไม่พอ จมหมดหายหมด ราบลงไปหมดทีเดียว มันสูงถึงจรดฟ้าเช่นนั้น กลิ้งเข้ามาโดยรอบทิศทั้ง 4 แล้วมาติดอยู่ตรงกลาง เล็กเข้ามาติดอยู่ตรงกลางก็ไม่เหลือเลย หายหมด เมื่อกลิ้งเข้ามา แกก็จะกลิ้งออกไปอีก นั่นแหละ แกไม่หยุดสักทีหนึ่ง นี่กลิ้งออกไปอีก กลิ้งออกไปอีก ก็อีกนั่นแหละ ถูกใครๆ ก็ราบไป ไม่เหลือเลยสักคนเดียว นี่แหละเหมือนความแก่และความตาย เกิดมามีเว้นความแก่สักคนเดียวไหม ไม่มีเลย เว้นตายสักคนเดียวไหม ไม่มีเลย เกิดมาแล้วก็แก่ตาย เกิดมาแล้วก็แก่ตายอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น ความแก่ และ ความตาย นี่สำคัญนัก ไม่ละไม่เว้นผู้หนึ่งผู้ใดให้หลงเหลือไว้เลย ความแก่และความตายนี้ ย่อมครอบงำท่วมทับสัตว์ทั้งสิ้นให้ถึงความวินาศไป สัตว์ทั้งสิ้นนั้นคือใคร เป็นกษัตริย์ก็ตาม เป็นพราหมณ์ก็ตาม หรือเป็นพลเรือน พลเรือนนั้นหมายความว่ากระไร พลเรือนในประเทศทั้งหมด ชาวนา พ่อค้า พ่อครัว เหล่านี้แหละเรียก ว่าพลเรือน หรือจะเป็นไพร่ คำว่าไพร่ ก็ยกเป็น 2 ชั้น เรียกว่าเจ้า เรียกว่าไพร่ เจ้าพวกหนึ่ง ไพร่พวกหนึ่ง เจ้าเขายกตัวเขาสูงว่าเป็นเจ้า นั่นเป็นไพร่เสีย หรือเป็นคนจัณฑาล คนครึ่งชาติ คนจัณฑาลน่ะเป็นอย่างไร เราไม่รู้จักคนจัณฑาล จณฺฑาโล เขาแปลว่าดุร้าย ไม่ใช่เช่นนั้น คนจัณฑาล เขาแปลว่า คนครึ่งชาติ ไม่ใช่ชาติเดียว คนไม่ใช่ชาติเดียว ใจก็เป็น 2 ฝ่ายไป บางทีพ่อเป็นไทย แม่เป็นจีน แม่เป็นไทย พ่อเป็นจีน หรือพ่อเป็นจีน แม่เป็นไทย แม่เป็นฝรั่ง พ่อเป็นไทย พ่อเป็นฝรั่ง แม่เป็นไทย หรือแม่เป็นลาวเป็นมอญอะไรก็ตามเรื่อง อย่างนี้เขาเรียก ว่าคนครึ่งชาติ เป็นฝรั่งเสียชาติหนึ่ง เป็นไทยเสียชาติหนึ่ง 2 ชาติมารวมกันเสียเป็นชาติเดียวกัน อย่างนี้เขาเรียกว่า จณฺฑาลปุกฺกุเส จณฺฑาล แปลว่าครึ่งชาติ ปุกฺกุเส ผู้เทหยากเยื่อเชื้อฝอย กวาดถนนหนทาง ที่เราเห็นปรากฏอยู่ พวก ปุกฺกุเส มีความเป็นอยู่เลวที่สุด ทำงานก็เลวที่สุด ไม่มีอะไรจะเลวกว่านั้นอีก หรือเทอุจจาระ ปัสสาวะ เหล่านี้เรียกว่า ปุกฺกุเส น กิญฺจิ ปริวชฺเชติ จะมีสักเท่าไรก็ช่าง เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นพลเรือน เป็นคนครึ่งชาติ หรือ เป็นคนเทหยากเยื่อมูลฝอยก็ช่าง ไม่ได้งดเว้นใครๆ ไว้ให้หลงเหลือไว้เลย ไม่ให้เหลือเลย ท่วมทับหมด ท่วมทับหมดนั่นคือใครล่ะ ความแก่ความตาย คราวนี้ ใครจะไปสู้รบกับความแก่ ความตาย น ตตฺถ หตฺถีนํ ภูมิ ภูมิทางไปรบ หนทางที่จะเข้าไปรบ ที่จะยกพลเข้าไปรบกั ความแก่ความตายนั้น หนทางช้างก็ไม่มีเข้าไป หนทางรถทั้งหลายก็ไม่มีเข้าไป หนทางเดินที่จะเข้าไปรบด้วยเท้าก็ไม่มีเข้าไป ไม่มีเข้าไปในความแก่และความตายนั้น ไม่มีทางเข้าไปสู้กัน ความแก่และความตายไม่มีทางเข้าไป ใครๆ ไม่อาจสามารถจะเอาชนะความแก่ความตายนั้น ด้วยการสู้รบ ด้วยเวทมนต์ เวทมนต์คาถาใดๆ วิชาพราหมณ์ เวทมนต์กลคาถาใดๆ ไม่อาจ สามารถจะสู้รบกับความแก่ความตายนั้นได้ หรือจะสู้รบด้วยทรัพย์ มีทรัพย์ จะเอาทรัพย์ไป ไถ่ถอนตัว แก้ความแก่ความตาย เรื่องความแก่ความตาย ไม่มีทางสู้ ไม่มีทางแก้ทีเดียว จะแก้ อย่างไรก็แก้ไม่ได้

    แต่ว่ามีแก้อยู่ที่วัดปากน้ำ วิชชาธรรมกาย ไปเห็นวิชชาเหล่านี้หมด ไปเห็นความแก่ ความตาย เวลานี้เขาว่าสมภาร (พระเดชพระคุณหลวงพ่อสด จนฺทสโร) วัดปากน้ำ กำลังสู้กับความแก่ ความตาย สู้จริงๆ ผู้เทศน์นี่แหละ 22 ปี 8 เดือนเศษแล้ว 8 เดือน 9 วัน วันนี้แล้ว วินาทีนี้ไม่ได้หยุด เพียรสู้ความแก่ความตาย ไม่ได้ถอยกันเลย พระยามัจจุราชมีเท่าไร จับกันหมด จับกันหมด ตรึงกันหมด ลงโทษกันหมดทีเดียว มีเท่าไร ไม่ให้ทำลายพระ ไม่ให้ข่มเหงพระได้ ให้เลิกข่มเหง ให้เลิกทำลายพระเสียให้ได้ จะแก้ความแก่ ความเจ็บ ความตายใหม่ ไม่ให้มีแก่ ไม่ให้มีเจ็บ ไม่ให้มีตาย เมื่อเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็ให้เป็นมนุษย์เด็กๆ ก็อย่างหนึ่ง รู้กันได้ ชัดๆ เด็กๆ ก็รู้ ไม่สวยไม่งามนักพอสมควร ถ้ายิ่งแก่หนักเข้ายิ่งสวยงามหนักเข้า ยิ่งแก่หนักเข้า ก็ยิ่งสวยงามหนักเข้า แล้วก็โตหนักเข้าด้วย ผิดกัน โตหนักเข้าๆ สวยงามหนักเข้า โตหนักเข้า สวยงามหนักเข้า ไม่มีไขลงกัน1 มีแต่ไขขึ้นกันไป2 ไม่มีถอยกลับกัน พอครบบารมีของตนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เป็นพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ไม่ต้องไปทรมานให้เหนื่อยยากลำบากแต่อย่างหนึ่งอย่างใด อยู่ในบ้านในช่องตามชอบใจ พอครบกำหนดเข้า ก็เป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ทีเดียว เป็นพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ เวลาไปนิพพานไม่ต้องถอดสักกายหนึ่ง กายมนุษย์-กายมนุษย์ละเอียด, กายทิพย์-กายทิพย์ละเอียด, กายรูปพรหม-กายรูปพรหมละเอียด, กายอรูปพรหม-กายอรูปพรหมละเอียด, กายธรรม-กายธรรมละเอียด, กายธรรมโสดา-กายธรรมโสดาละเอียด, กายธรรมสกทาคา-กายธรรมสกทาคาละเอียด, กายธรรมอนาคา-กายธรรมอนาคาละเอียด, กายธรรมอรหัต-กายธรรมอรหัตละเอียด ไม่มีถอดกันเลย เป็นทั้งดุ้นทั้งก้อน ไปนิพพานหมดทั้งดุ้นทั้งก้อนทีเดียว นี้ที่สมภารวัดปากน้ำ รบกับพระยามัจจุราช รบความแก่ความตาย รบเท่านี้ แก้ให้เป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ สมภารวัดปากน้ำไม่แรมราตรีที่อื่นล่ะ ยอมตายไม่ถอยกันเลย

    เมื่อการสู้รบเช่นนี้ ใครเคยได้ยินได้ฟังบ้าง ไม่มีเลย หมดทั้งชมพูทวีป แสนโกฎิจักรวาล อนันตจักรวาล นิพพานถอดกายที่ไหนๆ ไม่มีเลย แล้วไม่มีใครรู้จักเสียด้วยซ้ำ นี่มารู้จักขึ้นแล้ว ที่วัดปากน้ำ ภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา อยู่วัดปากน้ำก็จริง แต่ไม่รู้ว่าสมภารวัดปากน้ำทำอะไร นี่อัศจรรย์นัก อยู่ด้วยกันตั้งหลายสิบปี อยู่วัดปากน้ำทำวิชชานี้ 22 ปี 8 เดือน 9 วัน วันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าทำอะไร รู้แต่นิดๆ หน่อยๆ รู้จริงจังลงไปไม่มี มีก็ผู้ที่ทำวิชชาด้วยกัน รู้จริงเห็นจริงกันลงไปทีเดียว ทำอยู่ทุกวันๆ นั่นละก็รู้จริงเห็นจริง นี่เป็นวิชชาลึกอย่างนี้ ถ้ารู้สึกเช่นนี้ละก็ จงอุตส่าห์ว่าตั้งแต่นี้ไปเราจะช่วยเหลือแก้ไขด้วยประการใดประการหนึ่ง ท่านรบศึกสำคัญ อย่างนี้ ถ้าได้ชนะละก็ เราชนะด้วย ถึงเราไม่ได้ทำเลย เราก็ชนะด้วย ถ้าได้สำเร็จ เราก็สำเร็จด้วย เราไม่ได้ทำเลยก็สำเร็จด้วย เราต้องสนับสนุนด้วยทางใดทางหนึ่งให้สมควรทีเดียว พวกที่เป็นแล้วตั้งใจแน่วแน่ว่า ตั้งแต่วันนี้ไป เราไม่ถอยล่ะ เกิดมาเราไม่พบวิชชานี้ เราจะต้องสู้ อย่างอื่น สู้ไม่ได้ทั้งนั้น เราจะหันสู้วิชชานี้กันสุดฤทธิ์สุดเดช เอาให้ถึงหมดเจ็บหมดแก่หมดตายของพระยามารให้ได้ ให้พระยามารแพ้ให้ได้ พระยามารแพ้เด็ดขาดเมื่อเวลาไร เวลานั้นหมดทุกข์ในโลก เท่าปลายผมปลายขนก็ไม่มี หมดแก่หมดเจ็บ หมดตายในโลก เท่าปลายผมปลายขนก็ไม่มี มีความสุขเหมือนยังกับท้าวสวรรค์ หรือเหมือนกับท้าวพรหม หรือเหมือนกับพระนิพพาน สุขขนาดนั้น เป็นสุขสำราญขนาดนั้น นี่แหละที่แสวงหาความสุขกันในโลก ในเวลานี้ทุกชาติ ทุกภาษา หาความสุขใส่ชาติ ใส่ภาษาของตัวทั้งนั้น อิจฉาริษยากัน เบ่งกันเต็มฤทธิ์เต็มเดช ประหัตประหารซึ่งกันและกัน ใครมีกำลังมากก็กดขี่คนมีกำลังน้อยลงไป บังคับคนมีกำลังน้อยให้อยู่ใต้อำนาจเสีย ที่ทำกันอยู่นี้ทั้งวันทั้งคืน ทั้งชมพูทวีป แสนโกฎิจักรวาล อนันตจักรวาล ทำกันอยู่อย่างนี้ แม้จะเป็นมนุษย์ก็ต้องทำอย่างนี้ แม้จะไปเป็นเทวดา ก็ไปเป็นอย่างนี้ จะไปเป็นพรหมก็ทำอย่างนี้ จะไปเป็นอรูปพรหมก็เป็นอย่างนี้ จะไปเป็น นิพพานแล้วก็ทำอย่างนี้ เหมือนกัน พระพุทธเจ้าในพระนิพพานไม่ได้หยุดเลย ทำอยู่อย่างนี้ กำลังผจญกับพระยามารไม่ได้หยุดเลย วินาที อนุวินาที ก็ไม่ได้หยุด ต้องทำนิโรธ ดำเนินนิโรธเสมอให้ละเอียดอ่อนไว้ ถ้าว่าละเอียดไม่ทัน เขาก็บังคับเสีย หยาบกว่าเป็นถูกบังคับ ถูกความแก่บังคับ บังคับไม่ให้รู้ด้วย บังคับในไส้ ไส้ธาตุไส้ธรรม เห็น จำ คิด รู้ ต้องใช้ญาณบังคับหมด เมื่อปรากฏรู้ตัวว่าเป็นทาสพระยามารอยู่เช่นนี้ ก็ต้องช่วยรีบเปลื้องตัว ต้องรีบพยายามแก้ตัว ถ้ารีบพยายามแก้ตัวให้พ้นไปเสียได้ ก็จะไม่ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย เอาความชนะเสียให้ได้

    พระยามารไม่ได้เว้นผู้หนึ่งผู้ใดให้เหลือ เพราะเหตุนั้นผู้มีปัญญา เมื่อเป็นคนฉลาด จะทำอย่างไรในเวลานี้ เมื่อทราบชัดประโยชน์ของตนแล้ว ผู้ทรงปัญญาควรตั้งความเชื่อไว้ในพระพุทธเจ้า ควรตั้งความเชื่อลงไปในพระธรรม ควรตั้งความเชื่อลงไปในพระสงฆ์ ตั้งความเชื่อลงไปในพระพุทธเจ้า จะเอาใจจรดลงไปที่ไหน เอากันละ เอากันสดๆ นี่แหละ ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ตั้งความเชื่อลงไปในพระพุทธเจ้านั้น ตั้งลงไปตรงไหน ตั้งความเชื่อลงไปในพระธรรมนั้น ตั้งลงไปตรงไหน ผู้ที่ไม่เป็นธรรมกายก็ตามกันหมด ไม่รู้จะตั้งตรงไหน ตั้งไม่ถูก แล้วจะตั้งให้ถูกมันก็ไม่ถูก หลบไปหลบมาอยู่นั่นแหละ แล้วทำไงละคราวนี้ นับถือพระพุทธศาสนา ภิกษุก็ดี สามเณรก็ดี อุบาสกก็ดี อุบาสิกาก็ดี ว่าตั้งใจเชื่อลงไปในพระพุทธเจ้าแล้ว จะเอาใจไปจรดตรงไหนล่ะ ถึงจะถูกพระพุทธเจ้า เอาใจไปจรดตรงไหน จึงจะถูกพระธรรม เอาใจไปจรดตรงไหน จึงจะถูกพระสงฆ์

    เรื่องนี้ผู้เทศน์นี่แหละ ได้เทศน์ปุจฉาวิสัชชนากับพระมหาเคลือบ อายุ 33 พรรษา เขาฉลองพระประธานที่วัดในสวน ถามว่าบัดนี้ท่านมหา ท่านเจ้าของทาน ท่านเจ้าภาพ นิมนต์ท่านกับผมมา 2 ท่านนี่มาเทศน์ปุจฉาวิสัชชนากันในเรื่องพระประธาน เขาสร้างพระประธาน พระประธานเป็นที่ระลึกนึกคิดของพุทธศาสนิกชน เป็นประธานอยู่ในวัดนี้ จะให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงพระธรรม ระลึกถึงพระสงฆ์ เราจะระลึกถึงพระพุทธเจ้า นั้น เมื่อมาถึงพระประธานเข้านี้แล้ว เราจะเอาใจจรดตรงไหนล่ะ ถึงจะถูกพระพุทธเจ้า อึกอักแน่ะ พออึกอัก ผู้เทศน์ต้องอนุโยค การจรดนั้น จะจรดเบื้องศีรษะท่าน หรือจะ จรดเบื้องกลางพระองค์ท่าน หรือจะจรดเบื้องพระบาทท่านเข้าไปเป็น 3 หรือปันลงไปอีกก็ได้ มือเท้าแขนทั้งสอง ศีรษะหนึ่ง ห้าตัว หกศีรษะ ไปจรดไหนล่ะ ให้แน่ๆ ลงไปซิ อึกอักอยู่ ถ้าว่าจรดเข้าช่องหน้าผากที่พระอุณาโลม ตั้งเป็นช่องอยู่ เขาทำเป็นอุณาโลม ตั้งเป็นช่องอยู่ เขาทำเป็นวงกลมไว้ตรงนั้น ช่องพระอุณาโลม อ้าวไปจรดตรงนั้นเข้าแล้ว ก็รู้ว่าโอ้นี่ไม่เป็นล่ะซิ ตั้งแต่บวชมา 33 พรรษา จรดไม่ถูก พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ เลอะแล้ว ถ้าเลอะก็ไล่เข้าป่าทีเดียว เมื่อไปจรดเข้าที่อุณาโลม ก็ไปจรดเอาทองใบเข้าแล้วที่ปิดไว้ ตรงนั้น ทีนี้ก็ไล่เข้าป่าไปเลย เอ้า! เปิดทองใบเข้าไปถูกรักเข้าอีก ถ้าเปิดรักเข้าไปอีก ก็ถูกทองเหลืองทองแดงที่เขาหล่อ เปิดทองเหลืองทองแดงเข้าไปอีก เจอะทราย เปิดทรายเข้าไปอีก ไม่มีอะไรว่างเปล่า เหลวแล้ว นี่คนจรดไม่ถูกพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ไม่ถูก พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ เป็นอย่างนี้

    เมื่อรู้จักหลักดังนี้ เราจะจรดตรงไหน เราเป็นคนรู้ เราเป็นคนเทศน์เสมอๆ กัน เมื่อยังเข้าไม่ถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ยังไม่มีพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ จะจรด ตรงไหนล่ะ ใจต้องจรดนิ่งเข้าศูนย์กลางของดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ตรงนั้น ถ้าว่าไม่ได้กายมนุษย์แล้ว ตรงนั้นแหละที่จะเป็นพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ต้องทำใจให้หยุดตรงนั้น ให้หยุดนิ่ง เมื่อใจหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น ก็จรดต่อไป ถ้าเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เข้าถึงกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด นั่นแหละถูกต้อง ถูกธรรมรัตนะ ถ้าว่าเข้ากายทิพย์ก็จรดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ ถ้าเข้าถึงกายทิพย์ละเอียดก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียด

    นี่แหละที่จรดของใจ ถ้าว่าถึงกายรูปพรหมก็หยุดนิ่งอยู่ในศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม ถ้าว่าเข้าถึงกายรูปพรหมละเอียด ก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมละเอียด ถ้าว่าเข้าถึงกายอรูปพรหม ก็จรดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม ถ้าว่าเข้าถึงกายอรูปพรหมละเอียด จรดนิ่งอยู่ในศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมละเอียด ถ้าว่าเข้าถึงกายธรรม ก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรม กลางดวงนั้น ถ้าเข้าถึงกายธรรมละเอียด ใจหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรมละเอียด ถ้าเข้าถึงพระโสดา หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระโสดา ถ้าเข้าถึงพระโสดาละเอียด หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระโสดาละเอียด ถ้าเข้าถึงกายพระสกทาคา ก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระสกทาคา ถ้าเข้าถึงกายพระสกทาคาละเอียด ก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระสกทาคาละเอียด ถ้าว่าเข้าถึงพระอนาคา หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอนาคา ถ้าว่าเข้าถึงกายพระอนาคาละเอียด หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอนาคาละเอียด ถ้าว่าเข้าถึงกายพระอรหัต หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอรหัต ถ้าว่าเข้าถึงกายพระอรหัตละเอียด หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอรหัตละเอียด ที่ตั้งของใจที่จรดของใจ เรียกว่า ถูก “พุทธรัตนะ” ถูก “ธรรมรัตนะ” ถูก “สังฆรัตนะ” ตัวจริงทีเดียวให้จรดอย่างนี้

    นี่แหละที่เทศน์ให้ฟังบ่อยๆ เพื่อจะได้จำอย่างนี้ ถ้าไม่ได้หลักอย่างนี้ก็เหลว จะว่าเด็ก หรือแก่เฒ่าปานกลางอย่างไรก็ช่างเถอะ เหลวทั้งนั้น ถ้าไม่ถูกจริงอย่างนี้ ให้รู้จักหลักอันนี้ ใจเราตั้งในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถูกส่วนเข้าแล้ว โย ธมฺมจารี กาเยน วาจาย อุท เจตสา บุคคลใด ธมฺมจารี แปลว่าประพฤติธรรม บุคคลใดประพฤติธรรมด้วยกาย หรือด้วยวาจา หรือว่าด้วยใจ กายก็บริสุทธิ์ วาจาก็บริสุทธิ์ ใจก็บริสุทธิ์ ไม่มีพิรุธเลย ได้ชื่อว่า ประพฤติธรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ อิเธว นํ ปสํสนฺติ นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นในโลกนี้ บุคคลนั้นละโลกนี้แล้วไปสู่สวรรค์ เมื่อจรดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์แล้ว ก็บริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์วาจา บริสุทธิ์ใจ ไม่มีร่องเสียเลย นั่นแหละ ถูกต้องตามร่องรอยความประสงค์ทางพระพุทธศาสนา

    ที่ได้ชี้แจงแสดงมานี้ ตามวาระพระบาลีชี้ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบาย พอสมควรแก่เวลา เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์ที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติตั้งแต่ต้น จนอวสานนี้ สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดมีแด่ท่านทั้งหลาย ทั้งคฤหัสถ์ บรรพชิต บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา สมมติว่ายุติธรรมีกถาโดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้.
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
    การปฏิบัติศาสนา ต้องมีธรรมเป็นประมุข

    "...ไฟเมื่อจุดขึ้นแล้ว ให้นึกถึงว่าไฟให้ความสว่างให้ประโยชน์แก่มนุษย์มากนัก ใช้ถูกส่วนเข้าแล้วให้ประโยชน์แก่มนุษย์มากนัก หุงต้มปิ้งจี่ได้ตามความปรารถนา ต้องการสิ่งใดได้ต้องตามความปรารถนา จะให้เป็นเรือยนต์เรือบินได้สมมาดปรารถนา ใช้ไฟได้ดังนี้ ถ้าใช้ไม่ดีไหม้บ้านไหม้ช่องก็ได้

    ธรรมเหมือนกัน ถ้าใช้ดีก็วิเศษวิโสนักทีเดียว ให้สำเร็จมรรคผลตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ไปนิพพานได้สมเจตนา

    ถ้าทำไม่ดีก็คร่าไปโลกันต์เหมือนกัน ไปตกโลกันต์เหมือนพวกมิจฉาทิฏฐิเหมือนกัน ประพฤติธรรมไม่ดีไม่ถูก ผิดธรรมไป ไปเป็นมิจฉาทิฏฐิ เหมือนพระเทวทัตปฏิบัติธรรมทำพลาดธรรมไป ไปอยู่ในอเวจี พลาดธรรมไปอเวจีเหมือนกันผิดธรรมไป

    ถ้าว่าถูกธรรมดีแล้วละก็ ธรรมนั้นส่งให้รุ่งโรจน์โชตนาการ หาประมาณมิได้ทีเดียว ธรรมน่ะ ถ้าจะกล่าวถึงส่วนแล้วละก็ ที่เรียกว่าการบูชาไฟ การบูชามีไฟเป็นประมุขมีไฟเป็นหัวหน้า

    การปฏิบัติศาสนาก็มีธรรมเป็นประมุข มีธรรมเป็นหัวหน้าเหมือนกัน แบบเดียวกัน เหตุนี้เราปฏิบัติศาสนาต้องมีธรรมเป็นหัวหน้า ต้องมีธรรมเป็นประธาน ถ้าอยู่ในโลก การบูชาทั้งหลายเหล่านั้นมีไฟเป็นหัวหน้ามีไฟเป็นประธาน แบบเดียวกันดังนี้..."

    คัดลอกบางส่วนจาก
    พระธรรมเทศนา เรื่อง เกณิยานุโมทนาคาถา
    เทศน์เมื่อ ๑๑ เมษายน ๒๔๙๗
    โดย พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร

    PAoRcF6KePfxiFUhmM8GOhOPISuuSJCq_BtaT9rpoZI6umFHeJHeDYt7IicKwLkO7c5AaQtF&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
    ธรรมกาย
    ธาตุล้วนธรรมล้วนที่ไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง


    #ถาม :: ผู้ปฏิบัติ ไม่เห็นนิมิตธรรมกาย คือ ปฏิบัติสายอื่นแต่ระดับจิตถึงธรรมกายนั้นมีไหม ?

    ตอบ :: ข้อหนึ่ง คำว่านิมิตธรรมกายนั้น อย่าพูดเลยนะ ธรรมกายไม่ใช่นิมิตนะ ของจริง นิมิตมี 2-3 อย่าง ให้เข้าใจประเภทของนิมิต

    หนึ่ง นึกขึ้น นึกให้เห็น เช่น นึกให้เห็นดวงแก้ว เรียกว่าบริกรรมนิมิต เจริญภาวนาไป ใจหยุดรวมได้อุคคหนิมิต เห็นเป็นดวงใสขึ้นมา แต่เห็นอยู่ไม่ได้นาน

    ใจก็รวมหยุดแน่วแน่เข้าไปอีก ถึงปฏิภาคนิมิต (นิมิตติดตา) ระดับสมาธิก็ชั้นสูงจากขณิกสมาธิ-อุปจารสมาธิ นี่ระดับต่ำ สูงขึ้นไปเป็นปฏิภาคนิมิตก็อัปปนาสมาธิ นั่นระดับปฐมฌาน ตรงนั้นชื่อว่านิมิตอย่างหนึ่ง คิดเอาแล้วจิตค่อยหยุดนิ่ง ถ้าที่คิดเอานั้นกลายเป็นอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต นี่ประเภทหนึ่ง

    อีกประการหนึ่ง นอนฝัน ฝันก็เป็นนิมิต เรียกว่าสุบินนิมิต

    ถ้าไม่นอนฝัน อะไรๆที่เรามองเห็นนี่เรียกว่านามรูป ก็เห็นเป็นนิมิตก็ได้ อย่างตัวท่านจะเรียกเป็นนิมิตก็ได้

    การมองเห็นข้างในก็เป็นนิมิต
    คือจากกายมนุษย์ เห็นกายมนุษย์ละเอียด
    ทิพย์-ทิพย์ละเอียด
    พรหม-พรหมละเอียด
    อรูปพรหม-อรูปพรหมละเอียด

    แต่นิมิตมีของปลอม กับของจริง

    ของปลอม คือ ไม่นึกจะเห็น แต่ก็เห็นแปลกประหลาดไป ไม่เป็นไปตามที่เป็นจริง จริงนี้หมายถึงจริงโดยสมมติ บางทีนั่งแล้วเห็นเสือกระโดดโฮ้กเข้าใส่ แต่เปล่า เสือไม่มี นี่ก็เห็นได้เช่นกัน หรือบางคนนั่งแล้วเห็นผี แต่เปล่า ผีไม่มี นี่เรียกว่าเห็นของไม่จริง จะเกิดแก่ผู้ที่เอาใจออกนอกตัว

    หลวงพ่อวัดปากน้ำจึงให้เอาใจเข้าในตัว เพื่อชำระใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ หยุดนิ่งเป็นอารมณ์เดียว ปราศจากกิเลสนิวรณ์ จิตใจก็เที่ยง เห็นตามที่เป็นจริง พอ"#ใจ"หรือเห็น-จำ-คิด-รู้ ที่เห็นนะ มันไปวางอยู่ตรงกำเนิดธาตุธรรมเดิม ซึ่งเป็นที่ตั้งของกาย เวทนา จิต ธรรม ณ ภายใน มันก็เห็นตรงตามนั้น สิ่งที่เห็นอย่างนั้น เห็นจริงโดยสมมติ

    นิมิตจริง เห็นนาย ก. นาย ข. เห็นพระ เห็นเณร เห็นแม่ชี เห็นของจริงทั้งนั้น ที่เห็นๆอยู่นี่ เห็นเข้าไปข้างในตามที่เป็นจริง ก็จริง แต่ว่าจริงโดยสมมติ

    นี่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    "ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อไม่โดดเดี่ยวยินดียิ่งในความเงียบสงัดแล้ว จักถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิต และวิปัสสนาจิตได้นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้"

    แต่ถ้ามันเลยนิมิตนี่ไป เห็นธาตุล้วนธรรมล้วนจริงๆ เขาไม่เรียกว่านิมิต เพราะนิมิตชื่อว่าเบญจขันธ์หรือนามรูป เกิดแต่อวิชชา

    แต่ธรรมกายไม่ใช่เบญจขันธ์ เป็นธรรมบริสุทธิ์ จึงเรียกว่าธรรมขันธ์ เหมือนพระรุ่น 4 ที่ว่าดังๆนั่น พระผงธรรมขันธ์ ก็ธรรมกายนั่นแหละ ไม่เกิดแต่อวิชชา เป็นกายที่พ้นภพสามนี้ไป เป็นของจริง เป็นปรมัตถธรรม

    แต่ว่า จำเพาะส่วนที่ยังไม่บรรลุ คือจัดเป็น"โคตรภู" คืออยู่ระหว่างโลกิยะกับโลกุตระ แต่กำลังจะขึ้นไป

    แต่ถ้าว่าเป็นธรรมกายมรรค ธรรมกายผล พระนิพพานแล้วละก็ เป็นธรรมขันธ์แท้ๆ ชัดเจน ไม่เรียกว่านิมิต ไปเข้าใจผิดกันแล้วเอามาโจมตีกันเรื่องนี้แหละ เพราะเขาแยกนิมิต แยกของจริงของปลอมไม่ค่อยชัดเจน ก็มั่วไป ก็ไปคลุมว่าเห็นอะไรเห็นได้เรียกว่านิมิต จริงๆนิมิตอยู่ในครรลองในสภาวะที่จะสัมผัสได้ด้วยอายตนะของกายในภพสาม คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่น เห็นกายมนุษย์-คือตาเห็นรูป หรือว่าทิพพจักษุ-เห็นกายทิพย์ พรหมจักษุ-เห็นกายพรหม อย่างนี้เป็นของในภพ 3

    แต่ว่าเห็นโดยพุทธจักษุ ตรงนี้ไม่ใช่นิมิตหละ ของจริง มันเข้าเขตปรมัตถ์ ที่โจมตีกันไม่ถูกหรอก เพราะเข้าไม่ถึงเลยไม่รู้เรื่อง ก็ตีกันไป ก็ไม่ว่ากระไร เป็นเรื่องของท่านจะเข้าใจอย่างไร ก็ว่ากันไปตามเรื่อง แต่ว่าจะได้ผลเป็นบุญเป็นบาปอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของท่านอีกเหมือนกัน

    สรุปว่า เขาถามว่าปฏิบัติสายอื่น แต่ระดับจิตถึงธรรมกายน่ะมีไหม ?

    มี ต้องมี อันนี้ไม่ปฏิเสธนะ จะสายพุทโธ ยุบหนอพองหนอ สัมมาอะระหัง หรือว่าอะไรๆก็ตาม ถ้าจิตถึงก็ถึง ไม่มีปัญหา

    ถ้ามี จะหลุดพ้นหรือไม่ ?

    หลุดพ้นสิ ทำไมจะไม่หลุดพ้น.

    _________________
    เทศนาธรรมจาก

    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _________________
    ที่มา
    หลักวิชชาธรรมกาย
    หนังสือตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ
    _________________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
    - เรื่องเจตนาความคิดอ่านทางใจ เป็นเรื่องสำคัญ
    แต่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงเป็นอันดับแรก.

    มนุษย์นี่ ขอกล่าวบทสรุปว่า มาเกิดเป็นมนุษย์เพราะคุณความดีในระดับมนุษย์ เรียกว่ามนุษยธรรม เมื่อปฏิบัติบ่อยๆเข้า มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล นี่โยมเข้าใจนะ คุณความดีได้แก่ทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล

    ทานกุศล เป็นการเสียสละการบริจาคเพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์ผู้อื่น นี่ทานกุศล

    ศีลกุศล การสำรวมระวังความประพฤติปฏิบัติทางกาย ทางวาจา และทางใจ เจตนาด้วยนะ เจตนาความคิดอ่านทางใจ ให้เรียบร้อยดีไม่มีโทษ นี่ศีลกุศล เพราะฉะนั้นทุกอย่างนี่ต้องเจือด้วยเจตนาความคิดอ่าน ละเว้นไม่ได้ แต่ส่วนมากมักจะพูดเด็ดขาดว่ากาย-วาจา แล้วก็ใจทีหลัง ทั้งหมดนี่ กายก็ต้องเป็นไปด้วยเจตนาความคิดอ่าน วาจาก็ต้องเป็นไปด้วยเจตนาความคิดอ่าน

    ถาม :: แม้แต่ทานกุศล-ศีลกุศล ก็ต้องอย่างนั้น ??

    ตอบ : ทานกุศลก็เป็นความประพฤติปฏิบัติที่ดีทางกาย ได้แก่ ความเสียสละ ที่นี้เสียสละมันมีเป็นระดับ เสียสละทรัพย์สิ่งของเขาเรียกอามิสทาน เสียสละคำแนะนำสั่งสอนที่ดี การประกอบอาชีพที่ดี ความประพฤติปฏิบัติที่ดี เขาเรียกว่าธรรมทาน แล้วอีกอันหนึ่งก็คือว่า ไม่ถือโทษ ไม่ผูกพยาบาทอาฆาตจองเวร อภัยให้กันซะ นี่เป็นอภัยทาน ทั้งหมดนี่ ทานการเสียสละการให้ มันเป็นคุณความดีถึง 3 ระดับ ที่พูดเมื่อกี้นี้ อามิสทาน ธรรมทาน อภัยทาน แต่อภัยทานนี่คิดอยู่ในธรรมทานก็ได้ แต่ว่าสูงสุดก็คืออันนี้ ไม่โกรธ ไม่พยาบาท ไม่อาฆาต ไม่จองเวรกัน

    อ้ายที่โลกมันวุ่นวายนี่ เพราะโกรธ พยาบาท อาฆาต จองเวรกัน แม้แต่จองเวรข้ามภพข้ามชาติ ไม่รู้ทำกันมาตั้งแต่ชาติไหน ชาตินี้มาเห็นหน้ากันฉึ่งกันซะแล้ว เอากันซะแล้ว มันเคยทำร้ายกันมาก่อน แล้วมันก็เลยคุ้มแค้นเครียดแค้น มาเห็นหน้ากันไม่ชอบหน้ากันแล้ว อย่างนี้เป็นต้น มีอะไรนิดนึง สะดุดแข้งสะดุดขากันหน่อย ก็เอากันแล้วน่ะ ทะเลาะเบาะแว้งกัน ใช่ไหม แต่ถ้าคนไม่มีเวรไม่มีกรรมกันมาก่อน มันสะดุดขากันบ้างอะไรบ้าง หรือพลาดพลั้งไปบ้าง ก็ขอโทษนะ เออๆไม่เป็นไรนะๆ ให้อภัยกันได้ นี่มันก็เป็นอย่างนี้ เห็นไหม

    ถาม :: ทาน- ศีล แล้วเหลืออะไรครับ ??

    ตอบ :: ภาวนา นี่ระดับมนุษยธรรมใช่ไหมที่พูดถึงนี่ ภาวนาในระดับมนุษยธรรมข้อปฏิบัติสมาธิและปัญญาพอประมาณ คือ คนเรานี่นะ มันจะดีหรือชั่ว คือ ประพฤติดีหรือประพฤติชั่ว มันอยู่ที่ใจ เมื่อกี้ที่พูดอยู่แล้วใช่ไหม ถ้าใจดีเจตนาความคิดอ่านก็ดี ใจดีหมายถึงใจที่มีเจตนาความคิดอ่านที่ดีที่เป็นบุญกุศล มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล แล้วก็เลยมีเจตนาอย่างนี้ คิด-พูด-ทำก็เป็นไปตามหลักธรรมว่า ทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล

    ภาวนากุศล ถ้าจะกล่าวโดยย่อๆก็คือสมาธิ สมาธินำไปสู่ปัญญา ตรงนี้ต้องเข้าใจนิดนึง สมาธิคืออย่างไร ธรรมดาจิตใจของสัตว์โลก อย่างเช่นมนุษย์เรานี่ มันฟุ้งซ่านไปยึดไปเกาะเรื่องราวภายนอก เมื่อไปยึดไปเกาะเรื่องราวภายนอก อ้ายสิ่งที่ตัวเองชอบใจด้วยอำนาจของกามกิเลสก็โลภอยากได้ เกิดความทะยานอยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น นี่กิเลสประเภทหนึ่ง

    ที่นี้อีกอย่างหนึ่ง โกรธ โกรธจัดไปถึงพยาบาท อาฆาต จองเวร

    อีกอย่างหนึ่ง หลงไม่รู้บาปบุญคุณโทษไปตามความเป็นจริง อ้ายนี่ร้ายมากเลย โมหะ โมหะเราพูดกันหลงๆ ทีนี้ หลง คำพูดของมนุษย์ที่เราพูดกันนี่ คนเราพูดกันนี่ หลงลืมนั่นอย่างหนึ่ง อ้ายนั่นหลงลืมคือขาดสติ ขาดสติสัมปชัญญะ สติก็คือระลึกได้ สัมปชัญญะรู้ผิดชอบชั่วดี ถ้ามีสติสัมปชัญญะก็รู้จักระงับยับยั้งชั่งใจ พิจารณาดูอะไรดีอะไรชั่ว ก็ปฏิบัติตามนั้น นี่สติสัมปชัญญะ สัมปชัญญะก็เกิดทีหลัง สติเกิดก่อน สัมปชัญญะมันก็จะตาม หรือไม่ก็ไปด้วยกันสติสัมปชัญญะ อย่างนี้เป็นต้น ที่นี้ สติสัมปชัญญะนี่ ถ้าคนเราที่มีสติสัมปชัญญะด้วยอำนาจของบุญกุศลที่ฝึกฝนอบรมมา จิตมันก็จะคิดแต่เรื่องดีๆ จะพูดก็พูดดีๆ ด้วยเจตนาความคิดอ่านที่มันคิดมาดีก็เลยเจตนาความคิดอ่านทางใจมันก็ดี เมื่อดี พูดก็ดี ทำก็ดี ประพฤติปฏิบัติก็ดี

    ที่นี้ คำว่าดี มันคืออะไร คำว่าดีก็มีคุณความดีจากการเสียสละ หรือการให้ ที่พูดเมื่อกี้ เรียกว่าทานกุศล คุณความดีด้วยการละเว้นความชั่ว ประพฤติปฏิบัติทางกาย ทางวาจาและใจที่ไม่เป็นไปในทางชั่วร้าย ให้เป็นแต่ในทางคุณความดี ก็เรียกว่าเป็นคนมีศีล

    ที่นี้ ทั้งหมดนี่ มันจะคิดได้ว่าดี-ไม่ดี มันมีพื้นฐานมาจากใจที่ฟุ้งซ่านหรือใจที่สงบ ใจสงบมันเหมือนน้ำ เอาน้ำในลำคลอง ถ้าน้ำในลำคลองนี่มันนิ่ง นานๆไปมันใส ใช่ไหม เพราะมันตกตะกอน มันใสแล้วนี่ ปู-ปลา-หอย-เต่าเห็นหมด เราเห็นได้ชัดเจน ใช่ไหม ที่นี้ แต่ถ้าน้ำมันขุ่นมัว ก็เหมือนว่ามีกิเลสชนิดหนึ่ง เข้ามาแทรกในใจ จิตใจก็ขุ่นมัวไปด้วยอำนาจของกิเลสนั้น กิเลสเป็นธรรมชาติที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองหรือขุ่นมัว แล้วมีผลเป็นโทษเป็นความทุกข์เดือดร้อน บุญกุศลเป็นธรรมชาติเครื่องชำระจิตใจให้ผ่องใส ใครประพฤติปฏิบัติก็เป็นคุณความดี ได้ผลจากคุณความดีนั้น รู้ดีรู้ชั่ว กิเลสมันตรงข้ามกับบุญกุศล อ้ายบุญกุศลมันก็ตรงข้ามกับกิเลส ดำกับขาว สว่างกับมืด นี่มันก็เป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น ที่พึ่งประเสริฐของเราก็คือ"บุญ" บุญกุศล ที่นี้ ถ้าแก่กล้าไปเขาเรียก"บารมี"

    ถาม :: บุญนี่มีหมดไหม ??

    ตอบ :: มันเหมือนแสงสว่าง แสงสว่างนี่ เมื่อมันมีเหตุปัจจัยให้สว่าง มันก็สว่าง เหมือนไฟที่มันให้แสงสว่างใช่ไหม มันมีน้ำมัน มีไส้ แล้วก็ไม่มีลมแรงที่จะมาทำให้มันดับ มันก็สว่าง แต่ถ้าเหตุปัจจัยลมแรง ดับ นี่คือความชั่ว หรือไม่ก็น้ำมันหมดหรือไส้หมด ก็คือคุณความดีไม่ได้ทำ มันหมดไปแล้ว เพราะอะไร คนเราเมื่อไม่ทำบุญ แล้วไปทำอะไรล่ะ ?

    ถาม :: ก็ทำบาป ??

    ตอบ :: ก็ถูกต้องนะสิ เรื่องมันมีแค่นี้ ใจคนนี่เป็นบุญ มันแทนที่กันนะ เหมือนเก้าอี้ดนตรีตัวเดียวน่ะ ถ้าคนทำความดีมันก็ละเว้นความชั่ว นี่มันธรรมชาติง่ายๆ คนทำความชั่วมันก็ไม่อยากทำความดี

    ถาม :: ชวนมาวัด มาฟังธรรม ไม่มา ??

    ตอบ :: ไม่มา เบื่อหน่าย เห็นหน้าพระเบื่อหน่าย ที่นี้ คนก็ไม่เข้าใจ บางทีถ้าเราไปชักชวนให้มาทำบุญ เขาก็อาจจะเบื่อหน่าย แต่ที่นี้ทำยังไงได้คุณความดีมันเกิดขึ้นหลายวิธี อ้ายตรงนี้เรื่องนี้ประเด็นนี้โยมต้องเข้าใจนะ ความดีความชั่วนี่มันตรงข้ามกัน เอาคุณความดีเลยดีกว่า ทานกุศลนี้แหละดี การเสียสละการบริจาคเพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์ผู้อื่น การให้เพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์ผู้อื่น ช่วยผู้อื่นพ้นทุกข์ คนที่มีความสุขอยู่แล้วก็ให้สุขยิ่งๆขึ้นไป และคนที่มีภูมิธรรมเท่านี้ก็ช่วยให้เขามีภูมิธรรมสูงไปกว่า เพราะภูมิธรรมนั่นมันปฏิบัติอยู่ในคุณความดีที่ประเสริฐยิ่งขึ้นไปอีก มันนำไปสู่หลีกหนีความชั่ว เมื่อมีคุณธรรมที่สูงนี่มันหลีกหนีความชั่วไปในตัว แต่ถ้าทำความชั่วมันก็ดึงความดีลดลงมา ความชั่วมันถึงจะเกิด ถึงจะเกิดการกระทำความดี เพราะถ้าความชั่วมันเกิดมันแทนที่กัน เพราะชั่วหรือดีมันอยู่ที่ใจดวงเดียว มันเกิดขึ้น ถ้าว่าภาษาอภิธรรมเขาเรียกว่า ถ้าความดีก็เรียกว่ากุศลจิต มันเกิดขึ้นพร้อมกับคุณความดี หรือคุณความดีเกิดขึ้นพร้อมกับกุศลจิต เช่นว่า เราจะทำความดีนี่ ก็อยู่ที่ใจก่อนใช่ไหม ใจนั่นแหละต้องเป็นบุญเป็นกุศลก่อน เรียกว่ากุศลจิต กุศลเจตนา....

    รับฟังคลิปเต็มที่นี่
    https://youtu.be/Uxrear14HMQ
    _______________
    เทศนาธรรมจาก

    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _______________
    จากเทศนาธรรมเรื่อง
    ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน 2/3
    https://youtu.be/Uxrear14HMQ
    _______________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.

    Qo-Ne5J6PyKQ45lwtYwMMBK6JxjTtEwlNPe6RaSEqnj4JvEIPe2GvJrPGFk7y7-_LZesmseU&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
    - พระพุทธเจ้า เมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่
    ได้เจริญภาวนาธรรมในลักษณะ"อาโลกกสิณ"
    คือการกำหนดแสงสว่างและรูปมาก่อน

    พระพุทธดำรัสเกี่ยวกับอุปกิเลสของสมาธิ ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่พระภิกษุ เพื่อช่วยในการเจริญภาวนาธรรมได้ผลดี ดังปรากฏอยู่ใน"อุปกิเลสสูตร" ในสุญญตวัคค์ อุปริปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย หน้า 302 ข้อ 452 มีใจความว่า....

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ที่ป่าชื่อว่า"ปราจีนวังสทายวัน" แขวงเมืองโกสัมพี ณ ที่นั้น ภิกษุ 3 รูป คือ พระอนุรุทธะ พระภัททิยะ และพระกิมพิละ ได้ทูลพระพุทธองค์ว่า...

    "ข้าพระองค์ทั้งสาม พยายามกำหนดเห็นแสงสว่าง แล้วเห็นรูปทั้งหลาย แต่แสงสว่างและรูปนั้นเห็นอยู่ไม่นานก็หายไป ข้าพระองค์ทั้งสามไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใร"

    พระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นว่า...

    อนุรุทธะทั้งหลาย (พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่พระภิกษุทั้งสามองค์ แต่ได้ทรงเรียก"อนุรุทธะ"เป็นองค์แรก ในบาลีจึงใช้"อนุรุทธา") แม้เราเองครั้งก่อนแต่ตรัสรู้ ยังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ กำหนดเห็นแสงสว่างได้ และเห็นรูปทั้งหลาย แต่ไม่นานเท่าไร แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นก็หายไป เราเกิดความสงสัยว่าอะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นหายไป เราก็คิดได้ว่า อุปกิเลสเหล่านี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นหายไป อุปกิเลสเหล่านี้คือ...

    1. #วิจิกิจฉา ความลังเลหรือความสงสัย

    2. #อมนสิการ ความไม่ใส่ใจไว้ให้ดี

    3. #ถีนมิทธะ ความท้อและความเคลือบเคลิ้มง่วงนอน

    4. #ฉัมภิตัตตะ ความสะดุ้งหวาดกลัว

    5. #อุพพิละ ความตื่นเต้นด้วยความยินดี

    6. #ทุฏฐุลละ ความไม่สงบกาย

    7. #อัจจารัทธวิริยะ ความเพียรจัดเกินไป

    8. #อติลีนวิริยะ ความเพียรหย่อนเกินไป

    9. #อภิชัปปา ความอยากที่จะเห็นนิมิตจนเกินไป

    10. #นานัตตะสัญญา ความฟุ้งซ่าน นึกไปในสิ่งต่างๆ หรือเรื่องราวต่างๆที่เคยผ่านมา หรือเคยจดจำไว้ มาผุดขึ้นในขณะทำสมาธิ

    11. #รูปานัง_อตินิชฌายิตัตตะ ความเพ่งต่อรูปหรือนิมิตจนเกินไป

    อนุรุทธะทั้งหลาย เมื่ออุปกิเลสเหล่านี้แม้อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่เราแล้ว สมาธิของเราก็เคลื่อนไป เพราะอุปกิเลสเหล่านี้เป็นต้นเหตุ เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปก็หายไป ฉะนั้นเราพยายามสอดส่องดูว่า วิธีใดจะทำให้อุปกิเลสเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ได้ เราก็ทำใจไว้โดยวิธีนั้น

    อนุรุทธะทั้งหลาย เรารู้ชัดว่า วิจิกิจฉา เป็นต้น เหล่านี้เป็นอุปกิเลสของจิต จึงได้ละเสีย

    นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังได้ตรัสกับพระภิกษุเหล่านั้นอีกด้วยว่า...

    อนุรุทธะทั้งหลาย เราคิดได้ว่า ขณะใดสมาธิของเราน้อย ขณะนั้นจักษุก็มีน้อย ด้วยจักษุอันน้อยนั้น เราจึงเห็นแสงสว่างน้อย เห็นรูปก็น้อย ขณะใดสมาธิของเรามาก ขณะนั้นจักษุก็มีมาก ด้วยจักษุอันมากนั้น เราจึงเห็นแสงสว่างมาก เห็นรูปก็มาก เป็นดังนี้ตลอดทั้งคืนบ้าง ตลอดวันบ้าง ตลอดทั้งคืนและทั้งวันบ้าง

    ยังมีปรากฏในพระสูตรที่ 11 ในอังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต หน้า 311 ข้อ 161 อีกด้วยว่า ในสมัยที่พระผู้มีพระภาค ได้เสด็จประทับอยู่ที่ตำบล"คยาสีสะ" ใกล้แม่น้ำ"คยา" ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเล่าเรื่องที่พระองค์ได้ทรงรู้เรื่องเทวดาด้วยการเห็นแสงสว่างภายใน ในสมัยที่พระองค์ยังมิได้ตรัสรู้ และยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ให้พระภิกษุทั้งหลายฟังว่า...

    ภิกษุทั้งหลาย ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ถ้าเราจะพึงกำหนดเห็นแสงสว่างด้วย เห็นรูปทั้งหลายด้วย ได้เจรจาไต่ถามกับเทวดาเหล่านั้นด้วย และรู้ด้วยว่าเทวดาเหล่านี้มาจากเทพนิกายนั้นๆ... จุติจากที่นี้แล้ว ไปอุบัติในที่นั้นด้วยวิบากของกรรมนั้นๆ... รู้ว่าเทวดาเหล่านี้มีอาหารอย่างนี้ เสวยทุกข์และสุขอย่างนี้... รู้ว่าเทวดาเหล่านี้มีอายุยืนเท่านี้ ดำรงอยู่นานเท่านี้... รู้ว่าเราเคยอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่านี้หรือไม่ ดังนี้แล้ว ข้อนั้นจักเป็นญาณทัศนะที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นของเรา (ฉะนั้น) สมัยต่อมา เราเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งจิตไปอยู่ก็รู้ได้ตลอดถึงเรื่องราวเหล่านี้

    ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดที่ญาณทัศนะอันรอบรู้ในเรื่องเทวดา ซึ่งมีปริวัฏแปดอย่างนี้ของเรายังไม่บริสุทธิ์ดีแล้ว ตราบนั้น เราก็ไม่ยืนยันตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลกนี้ ในเทวโลก ในมารโลก และพรหมโลก ในหมู่สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์

    และญาณทัศนะได้เกิดขึ้นแก่เราด้วยว่า ความหลุดพ้นแห่งจิตของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ต่อไปนี้ภพใหม่เป็นไม่มีอีก

    กล่าวโดยสรุป พระพุทธองค์ได้ทรงปรารภถึงความไม่ประมาท และมีความเพียรเจริญภาวนาธรรมโดยการกำหนดทั้งแสงสว่างและรูป ในลักษณะอาโลกกสิณ เพื่อให้เกิดญาณทัศนะ และสามารถรู้เห็นเรื่องราวของเทวดามาตั้งแต่ที่พระองค์ยังมิได้ตรัสรู้ ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ และได้ทรงทราบถึงอุปกิเลสของสมาธิ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสตอบแก่พระอนุรุทธะ พระภัททิยะ และพระกิมพิละ ที่ได้ทูลถามพระพุทธองค์ ในขณะที่ได้เสด็จประทับอยู่ ณ เมืองโกสัมพี ดังกล่าว...

    _____________
    เทศนาธรรมจาก

    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _____________
    ที่มา
    "ธรรมสู่สันติ เล่ม 1"
    _____________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.

    aoUiT1Bfbh9QciD7TROU4tHwN3hbgeCP3qcXBEUt7oj2zm3nHEmE5g3ZvOTj7ih1nd-tMtBH&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ปฏิบัติค้นพบ - เข้าถึง - รู้ - เห็น และเป็นวิชชาธรรมกายของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วได้ถ่ายทอดสั่งสอนไว้


    ได้แสดงพระธรรมเทศนา เรื่อง สติปัฏฐานสูตร : ฝันในฝัน >>> https://youtu.be/Rrj1bhLWVJs


    #วัดป่าวิสุทธิคุณ #สร้างพระในใจคน #สร้างคนรักษาธรรม

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ปฏิบัติค้นพบ - เข้าถึง - รู้ - เห็น และเป็น แล้ว...


     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
    u29B468SNWdh-At57Lqn3UfeaVKUYRyFN3FWpTmm0A-yfVOZOc4-NLiMWTAytTe_pVHoQPEZ&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    #เหตุปัจจัยใดที่ส่งผลให้สภาพอากาศวิปริตแปรปรวน
    พึงศึกษาดังนี้....

    #การสร้างบาปอกุศลของมนุษย์โลกมีผลให้สภาพอากาศวิปริตแปรปรวน

    การกล่าวเท็จหรือด่าทอกันในโลกอินเทอร์เน็ตนับเนื่องอยู่ในข้อวจีทุจริต

    ผู้มีอัธยาศัยใฝ่บุญกุศลคือผู้ที่เคยสร้างสมบุญบารมีมามาก
    ในสังคมทุกหมู่เหล่าทั่วโลกเนี่ย อ้ายกิเลส ๓ กอง มันคอยดลจิตดลใจปฏิบัติตามอำนาจของมัน โลกจึงสันติสุขมิได้ เดือดร้อน

    พอโลกเดือดร้อน คือ ประชาชนเดือดร้อนไปด้วยเหตุปัจจัย ด้วยความเร่าร้อนทั้งหลาย ด้วยกิเลส ๓ กองใหญ่ ดลจิตดลใจปฏิบัติตามอำนาจของมัน นับตั้งแต่ประชาชน ขึ้นสูงขึ้นไปถึงผู้ปกครอง ผู้บริหารประเทศ
    ผล...จำไว้นะ นี่เป็น "พระพุทธดำรัส" แต่เอามาเล่าแบบเข้าใจง่ายๆ
    ผล...พระอาทิตย์ พระจันทร์ โคจรไม่สม่ำเสมอ
    เพราะ...พระอาทิตย์ พระจันทร์ ก็มีเทพรักษาอยู่ ดำรงอยู่

    เรียกว่า...สุริยะ-จันทิมะเทพ เค้าไม่พอใจนี่ เค้าโคจรไม่สม่ำเสมอ

    เมื่อโคจรไม่สม่ำเสมอ เทวดาในชั้นระดับจาตุมหาราชิกา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาอากาศเทวดา ที่มีวิมานลอยอยู่ในอากาศ มันกระเพื่อม เมื่อกระเพื่อมเทวดาเขาก็ไม่เป็นสุข.....

    คัดมาส่วนนึงจากพระธรรมเทศนา
    พระเทพญาณมงคลเสริมชัย ชยมงฺคโล
    อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ปฏิบัติค้นพบ - เข้าถึง - รู้ - เห็น และเป็นวิชชาธรรมกายของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วได้ถ่ายทอดสั่งสอนไว้


    ได้แสดงพระธรรมเทศนา เรื่อง หิริโอตตัปปะ ๒ >>> https://youtu.be/jNOOIieak2w


    #วัดป่าวิสุทธิคุณ #สร้างพระในใจคน #สร้างคนรักษาธรรม


    ?d=AQCwCVcnbw6saRD8&w=540&h=282&url=https%3A%2F%2Fi.ytimg.com%2Fvi%2FjNOOIieak2w%2Fmaxresdefault.jpg
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
    - ธรรมชาติที่ไม่เกิดแล้ว (พระนิพพาน) ..มีอยู่

    ๓. นิพพานสูตรที่ ๓

    [๑๖๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ... เงี่ยโสตลงสดับธรรม ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จึงปรากฏ ฯ

    จบสูตรที่ ๓

    พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
    ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต

    ______________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.

    _5tMx59Mk7HcdmLIhUZWBV0kON0uHzim93T6jN5MLAsoA5GZW37o5W76cLLHInkWGox43O5A&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,779
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,140
    ค่าพลัง:
    +70,535
    - โทษของการดูหมอ ดูดวง

    ☀️ อะไรขึ้นชื่อว่าเป็นกายทุจริต คือไม่ดีทางกาย เป็นอันให้โทษทั้งหมด เราต้องศึกษาว่า ที่ไม่ดีนั้นมีอะไรบ้าง

    แม้กระทั่งเรามาดูหมอ ก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนดูละ และก็จะไม่ถามหาด้วย แต่ให้ทราบว่า การมาดูหมอไม่ใช่กิจที่พึงกระทำ ณ สถานที่นี้ และในขณะเช่นนี้ เพราะนั้นไม่ใช่ทางให้หลุดพ้น

    เราจะทำอะไร จะต้องทำเฉพาะในส่วนที่เป็นทางให้หลุดพ้นให้มากที่สุด เท่าที่จะสามารถทำได้ ส่วนผู้ที่มาดู ก็ไม่ได้ผลเป็นความพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง

    เพราะว่า ถ้าหมอเขาดูว่าชะตาไม่ดี เราก็เสียใจ เป็นห่วงเป็นใยตัวเอง ดีไม่ดีก็ต้องเชื่อหมอว่า ต้องสะเดาะเคราะห์อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ถ้าหมอว่าดี จะดี ก็ลิงโลดดีอกดีใจ ประมาทต่อไปอีก

    ที่แท้ คนจะดีหรือไม่ดี ไม่ต้องดูหมอ ถ้าทำไม่ดี ดูหมอ เอาหมอมาเรียงตั้งแต่นี้ไปถึงกรุงเทพ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้าทำดีไม่ต้องมีหมอเลยสักหมอเดียวก็ดี

    แต่บางครั้ง บางท่านอาจจะนึกว่า เอ้ะ! เดี๋ยวนี้ก็ทำดีแล้ว แต่ยังไม่ได้ผลดี หรือว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ กรรมเก่ายังไงล่ะ กำลังให้ผล หมอก็ช่วยไม่ได้ ถ้าหมอช่วยได้ พระพุทธเจ้าไม่ต้องมาสอนให้เรามาปฏิบัติธรรมกันหรอก

    เพราะฉะนั้น เรื่องดูหมอนี่ เกือบไม่มีผลเลยในชีวิต ถ้าคนที่มีปัญญา เพราะจะดีหรือชั่วอยู่ที่เราทำ เราทำดี ทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล หมอดูทำอะไรไม่ได้ ดูก็ไม่เห็นมีอะไรที่จะต้องไปศักดิ์สิทธิ์อะไร

    เพราะฉะนั้น พูดเรื่องนี้มา ก็วกมาถึงเรื่องที่เรามาศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ เพื่อกระทำคุณความดี ให้เกิดความเจริญและสันติสุข และพ้นทุกข์ เราถามตัวเองก่อนว่า ดูหมอช่วยให้พ้นทุกข์ไหม ทั้งผู้ดูหมายถึงผู้ที่เป็นหมอ และผู้มาขอให้ดูนั่นแหละ ใช่ไหมทางพ้นทุกข์ เพราะคนเราจะทุกข์หรือจะสุข จะดีหรือจะชั่ว ก็อยู่ที่กรรม คือการกระทำของเราเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรอื่น มีเท่านี้แหละ ไม่ต้องไปหาอะไร ทําดีก็สบาย ทำไม่ดีก็ไม่สบาย มีเท่านี้ ให้เรามารู้ตรงนี้ มีหลักตรงนี้แล้วสบาย นี้ ในเรื่องของที่กล่าวว่าการดูหมอ

    แม้กระทั่งไปถึงการใบ้หวย การพนัน เวลาเล่นไปแล้วผีสิงนะ เหมือนผีสิง เล่นอะไรก็ติดไอ้นั่นแหละ เล่นไพ่ติดไพ่ เล่นหวยติดหวย ซื้อลอตเตอรี่ติดลอตเตอรี่ ขณะรู้ๆยังแกะไม่ออกนะ เพราะฉะนั้น เป็นประเภทผีสิงนะ อบายมุขนะ หนักพอๆกันกับยาเสพติด เพราะฉะนั้น ตัดได้เลิกได้..ดี

    แล้วนอกจากนั้น ผู้ใบ้หวยอย่านึกว่าดี ทำให้ผู้อื่นติดอบายมุข ตนเองเป็นเปรตด้วย ไม่ว่าเป็นพระเป็นเณรเป็นเถรเป็นชี ไม่เจริญหรอกชีวิตน่ะ ไม่ว่าใคร กายในกายเป็นเปรต ตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม

    _____________
    เทศนาธรรมจาก

    พระเทพญาณมงคล
    หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก
    จ.ราชบุรี
    _____________
    ที่มา
    "ตอบปัญหาธรรมปฏิบัติ"
    _____________
    เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า.

    HG0beC2VSgWgJz-bJ5VmHTXp8RvrTPOCPgwdK8WnNBF9X87FEUFM6IzIZfLty_60esxQ5lx7&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...