ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

พระยาพระคลังในศึกนันทบุเรง ไม่ต้องออกรบ แต่ให้เตรียมทหารรับจ้างและเรือรบสนับสนุนการรบ คาดว่าจะเป็นนายก่ายหรือท่านจาง

พระยาพระคลังในศึกยุทธหัตถี คาดว่าจะเป็นพี่ชายคนใดคนหนึ่งของพระนาง (เพราะท่านจางได้เสียชีวิตก่อนศึกยุทธหัตถี)

 

สีประจำพระราชวงศ์ สายราชตระกูลสุริยวงศ์ ใช้ "สีน้ำเงิน (Royal Blue)"

สีประจำราชวงค์หมิง เป็นสี Royal Green (ความจริงพระนางควรใช้ Royal Blue ตามสายสุริยวงศ์ของท่านจางผู้เป็นพระบิดาแต่พระนางอาจจะไม่เข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์น่านเจ้าจึงระลึกแค่ถึงราชวงศ์หมิง แต่เรื่องสีเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ทุกพระองค์ ทุกคนพร้อมที่จะตามพระทัยพระนาง)

เครื่องทอง เครื่องใช้ที่ประดับพลอยเพียงสองสี ได้แก่ สีน้ำเงินและสีเขียว มักจะทำมาเพื่อใช้ในตำหนักของทั้งสองพระองค์เป็นการเฉพาะ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เพื่อสื่อความหมายถึงกันและกัน ว่าทั้งสองพระองค์ท่านทรงรักซึ่งกันและกันมาก

ที่ราชวงศ์หมิงใช้สีเขียวเพราะว่าเป็นสีของศาสนาอิสลาม ตามพระทัยฮองเฮาพระองค์แรกของราชวงศ์หมิงซึ่งเป็นฮองเฮาของพระเจ้าจูหยวนจาง(จักรพรรดิหมิงองค์แรก) ที่ฮ่องเต้เกรงใจ เพราะก่อนขึ้นครองราชย์ฮ่องเต้เคยบาดเจ็บหนักและตกอยู่ในวงล้อมท่ามกลางศัตรู ฮองเฮาองค์นี้เคยแบกพระเจ้าจูหยวนจางหนีข้าศึกศัตรูเอาชีวิตรอดมาได้ พระเจ้าจูหยวนจางจึงเกรงใจพระนางมาก และพระนางนับถืออิสลาม (น่าจะเป็นองค์เดียวในราชสำนักที่นับถืออิสลาม และไม่มีใครนับถือตาม นอกจากฮ่องเต้จะไปรับชาวอุยกูร์มาเป็นพระสนมเท่านั้น ก็จะยอมให้พระสนมองค์นั้นถืออิสลามไป แต่ไม่ให้เผยแพร่)

 

อันนี้เป็นแค่ข้อสันนิษฐานที่พระนเรศทรงให้"พระนางมณีจันทร์" ใช้ชื่อ"พระนางมณีรัตนา" เมื่อสถาปนาให้เป็นอัครมเหสี เพื่อจะสื่อถึงการที่พระองค์ยกให้พระนางทรงเป็น "นางแก้ว" หนึ่งในแก้ว 7 ประการขององค์พระเจ้าจักรพรรดิ



อันสืบเนื่องมาจากคติการขึ้นเป็นพระเจ้าจักรพรรดินั้นจะต้องมีแก้ว 7 ประการ และเครื่องทองในกรุวัดราชบูรณะ ที่เคยศึกษาไว้นานแล้วว่าก่อนบูรณะพระปรางค์วัดราชบูรณะเป็นทรงระฆังคว่ำแบบวัดใหญ่ชัยมงคล แต่พอหลังรัชกาลพระเจ้าปราสาททองเจดีย์เป็นทรงปรางค์ สันนิษฐานว่าพระเจ้าปราสาททองได้นำทองของพระราชบิดาและพระราชมารดามาฝังไว้เป็นพุทธบูชาด้วย

​

ศิลปะอยุธยาตอนต้น พุทธศตวรรษที่ 20
ทองคำประดับอัญมณีและแก้วสี
พบในกรุประธานชั้นที่ 2 พระปรางค์ประธานวัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พระคชาธาร คือช้างทรงของพระมหากษัตริย์ นับถือเป็นสัตว์มงคลมีกำเนิดจากเทพเจ้า เป็นสิริแก่พระเจ้าแผ่นดิน โดยเฉพาะช้างตระกูลฉัททันต์ และช้างอุโบสถ ถือว่าควรเป็นพาหนะของพระจักรพรรดิเท่านั้น

ช้าง เป็นมงคล 1 ใน สัปตรัตนะ (แก้ว 7 ประการ) อันเป็นเครื่องประกอบพระบารมีของพระจักรพรรดิ ผู้มีพระราชอำนาจแผ่ไพศาลยิ่งกว่าพระราชาทั้งปวง ประกอบด้วย จักรรัตนะ (จักรแก้ว) หัตถิรัตนะ (ช้างแก้ว) อัศวรัตนะ (ม้าแก้ว) มณีรัตนะ (มณีแก้ว) อัตถีรัตนะ (นางแก้ว) คหปติรัตนะ (ขุนคลังแก้ว) ปริณายกรัตนะ (ขุนพลแก้ว)

พระคชาธารทองคำที่พบในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะทำจากทองคำประดับอัญมณีและแก้วสี อยู่ในอิริยาบถหมอบบนแท่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า งวงชูช่อพฤกษา ลำตัวประดับด้วยเครื่องคชาภรณ์ ได้แก่ ผ้าปกกระพอง (ผ้าคลุมศีรษะ) สายรัดประคน สำอาง ซองหาง และวลัย ผูกสัปคับไว้ที่หลัง ส่วนหัวและลำตัวถอดแยกออกจากกันได้ ภายในกลวง ส่วนหางยึดด้วยลวดทองคำทำให้สามารถขยับได้

​

เจอตลับแป้งของใช้ส่วนพระองค์สื่อถึงประเทศจีน และเป็นสิงห์ศิลปะสิงห์ภาคเหนือ อาจจะหมายถึงปักกิ่ง (ศิลปะสิงห์ทางภาคเหนือของกรุงจีนแตกต่างจากสิงห์ทางภาคใต้ของกรุงจีน)

เทียบกับกิเลนในพระราชวังต้องห้าม ตลับแป้งเหมือนรูปกิเลนมากกว่ารูปสิงห์ค่ะ

​

ของใช้ที่ค้าขายกันส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากทางตอนใต้ พวกสิงห์อับเฉาเรือเป็นสินค้าจากภาคใต้ของกรุงจีน ศิลปะคนละแบบกัน

​

 

ถ้าข้อสันนิษฐานของดิฉันถูกต้องที่ว่า พระเจ้าปราสาททองทรงนำของใช้ส่วนพระองค์ของพระราชบิดาและพระราชมารดามาถวายเป็นพุทธบูชา ฉะนี้

สุวรรณภิงคาร ที่สมเด็จพระนเรศทรงใช้หลั่งทักษิโนทกในการประกาศอิสรภาพ ก็คือองค์นี้และองค์นี้คือองค์จริง (กษัตริย์จะดื่มน้ำจากสุวรรณภิงคาร เป็นของใช้ส่วนพระองค์) แสดงว่ากษัตริย์เดินทัพแต่ละครั้ง จะต้องมีเจ้าพนักงานเชิญเครื่องสูงและเครื่องราชูปโภคตามเสด็จด้วยทุกครั้ง

 

เรื่องพระแสงขรรค์ชัยศรีที่ด้ามเป็นหินแก้วหนุมาน เข้าใจว่าพระองค์ต้องการใช้คริสตัล(หินเขี้ยวหนุมาน) เป็นหินธรรมชาติที่สามารถสะท้อนพลังธรรมชาติบางอย่างสำหรับผู้ฝึกสมาธิสายกระแสจิต พลังจิต สายปรับจักระ ปรับคลื่นFrequencyของจักระ จะพอเข้าใจว่าทำไมถึงใช้หินคริสตัลเป็นด้าม และพระแสงขรรค์นี้ไว้ประดับเครื่องเกียติยศ มิได้ใช้ในการสงคราม คาดว่าน่าจะทรงใช้ในการพิธี

 

อีกด้านของพระสุวรรณภิงคารเป็นพระยานาค


ทางกรมศิลปบอกว่า เป็นพระพรหมถือวัชระและหอยสังข์ แต่ถ้าเป็นคติความเชื่อที่บอกว่ากษัตริย์อยุธยาเป็นพระวิษณะ รูปบนพระสุวรรณภิงคารนี้น่าจะถืออาวุธของพระวิษณุ นะคะ เป็นไปได้ไหมคะ

 

เดิมตำหนักบ้านเลนอยู่บนเกาะใหญ่ มีพื้นที่ให้สามารถใช้ประชุมพล หรือประชุมทัพเรือนหมื่น ได้



หัวเกาะเป็นสวนไม้ดัดบนกระถางกระเบื้อง สวนนี้รอพระนเรศทรงจัดเองทั้งหมด ไม่มีใครบนเกาะนี้ที่จะกล้าไปขยับเขยื้อนแม้แต่กระถางเดียว คนดูแลสวนได้แต่รดน้ำและ กำจัดวัชพืช เป็นสถานที่ให้ทรงผ่อนคลายพระอิริยาบท ทรงตั้งใจจัดสวนให้ได้บรรยากาศเหมือนที่พระนางเคยอยู่ที่กรุงปักกิ่ง แต่ดินที่นี่อ่อนดินยวบเละเกินไป จึงทรงจัดเป็นสวนไม้ดัดกระถางกระเบื้องเคลือบและจัดแบบเล่นระดับ มีแท่นวางกระถางเล่นระดับ ให้มีมิติน่ามองและสวยงาม

 

ตำนานเก่าแก่ของอีสาน เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าและสาวก เกี่ยวกับการเดินทางเผยแผ่ธรรม ที่กล่าวถึงกรุงราชคฤห์และพระมหากัสสปด้วย น่าสนใจมาก



คาดว่ากรุงราชคฤห์คงไม่ไกลจากสุวรรณภูมิมากนัก

 

เบญจคีรีนคร อยู่ในรัฐพิหาร หรืออยู่ในประเทศจีนกันแน่

พื้นที่ในอินเดียดูเล็กๆ ดูไม่ค่อยเหมาะสำหรับการทำปฐมสังคยนาพระไตรปิฎกโดยมีพระมหากัสสปะเป็นประธาน

https://th.wikipedia.org/wiki/ราชคฤห์

แต่บริเวณอู่ไท่ซาน มีพื้นที่กว้างขวางพอที่จะรองรับพระสงฆ์ 700 รูปในสมัยปฐมสังคยนาพระไตรปิฎก

https://th.wikipedia.org/wiki/เขาอู่ไถ

ถ้าดูที่เขาหยุนกัง มีการแกะสลักพระพุทธรูปด้วยศิลปะคันธาระ แสดงให้เห็นว่าสมัยก่อนเมืองจีนเป็นแดนพระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่มาก พระจักรพรรดิหลายๆราชวงศ์ธำรงพระพุทธศาสนาอย่างเข้มแข็ง

(395) The Great World | Yungang Grottoes - ยุหวินกัง 1 ใน 4 ถ้ำหินพุทธศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน - YouTube

หรือเข้าไปดูแคว้นจักรรามบนเส้นทางสายไหมโบราณตามบันทึกของพระเสวียนจ้าง(พระถังซัมจั๋ง) ก็อาจจะใช่กรุงราชคฤห์ก็ได้

 

https://www.silpa-mag.com/history/article_15085

จักรพรรดิมาเชิญพระภิกษุจากแคว้นของคนเยว่ ซึ่งแคว้นของคนเยว่ก็คือแคว้นน่านเจ้า มีความเป็นไปได้สูงที่ว่า แคว้นน่านเจ้าคือแคว้นที่ตั้งของกรุงราชคฤห์


พระกาศยปมาตังคะ คนจีนเขาบอกว่า คือพระมหากัสสปะที่คนไทยเรียก หรือคนละยุค พ.ศ. แต่เข้าเค้าว่า น่านเจ้ามีภิกษุอินเดียอาศัยอยู่ เป็นเรื่องน่าสนใจค่ะ

คนเยว่ แปลว่าคนเขา พวกอยู่ในที่สูงอยู่เขาเหมือนชาวเขา แต่หน้าตาออกอินเดียๆผสมทิเบตๆออกมาแนวแขกแต่ขาว

คิดว่าถ้ามองหาอาณาจักรน่านเจ้าโบราณบนเส้นทางสายไหมโบราณ ต้องเจอแน่นอน อาจจะไม่ทับกับแคว้น 12 ปันนาก็ได้ ขอบเขตแคว้นเคลื่อนย้ายตามคนที่อาศัย

อาจจะเป็นคนราชคฤห์ก็ได้ที่สร้างถ้ำตุนหวง (ขนลุก)

นางอัปสราร่ายรำด้วยวัฒนธรรมสไตล์ตุนหวง (กรุงราชคฤห์)

พระพุทธรูปใช้ศิลปะคันธาระ การร่ายรำเป็นแบบราชวงศ์ถัง คาดว่าเป็นพระราชศรัทธาของจักรพรรดิถังจึงให้คิดท่าร่ายรำมาสรรเสริญพระศาสดาในภายหลัง พระพุทธรูปกับภาพเขียนเป็นคนละยุคกันค่ะ

​

 

พระยาพระคลังผู้มีบทบาทจัดหาทหารอาสา จัดหาเรือสำเภา เรือโปรตุเกส จัดหาดินดำ ปืนใหญ่ แต่ไม่ต้องออกรบในสงครามรับศึกพม่าหลังประกาศอิสรภาพ เอารูปจากหนังตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาประกอบค่ะ

พระองค์ท่านให้เกียรติเสด็จมาประชุมด้วยกันที่หอราชคฤห์สำหรับทหารยศใหญ่ๆเท่านั้นจึงจะเข้ามาที่หอราชคฤห์ได้ เพราะท่านจางหรือนายก่ายเป็นตัวสำคัญที่ช่วยให้เกมส์ศึกระหว่างพม่ากับสยาม พลิกจากสยามเสียเปรียบกลายเป็นสยามได้เปรียบทั้งๆที่คนน้อยกว่า

ตึกหอราชคฤห์นี้จะปลูกต้นไม้หนาแน่นมากเพื่อพลางตาหากมีคนพายเรือผ่านมา ท่าน้ำคลองด้านตะวันออกจะมีศาลาท่าน้ำซึ่งจะต้องเดินผ่านดงต้นจำปีที่ยังปลูกได้ไม่กี่ปี ต้องเดินก้มๆนิดๆเพื่อรอดใต้กิ่งจำปีไปท่าน้ำส่วนตัว ท่าน้ำของหอราชคฤห์เป็นมุมสงบที่พระนางไปนั่งหลบร้อนแต่ก็ไม่นานนักไม่กี่เดือน พระนางก็ทรงแต่งงาน

 

ภาษาเดนมาร์ค
Groen = Green สีเขียว
Gewasaen = washed , carry ล้อมด้วยน้ำ อุ้ม
Plaataen = Plate พื้นที่
รวมแล้วเป็นเกาะที่มีสีเขียวชอุ่มปลูกต้นไม้เยอะ

ความเห็นส่วนตัวว่า ตรงนี้น่าจะใช่ หอราชคฤห์ ส่วนวัดสุวรรณดาราราม เป็นพื้นที่ใกล้ๆ ที่ภายหลังยกที่ดินของหอราชคฤห์บางส่วนไปเป็นที่วัดแล้วขุดคูรอบวัดสุวรรณดารารามขึ้นมาใหม่

สันนิษฐานว่าภายหลังครอบครัวใหญ่ขึ้นจนต้องถมคลองเล็กด้านตะวันออกของหอราชคฤห์เพื่อให้มีที่ดินมากขึ้นเพื่อปลูกเรือนอยู่กันในหมู่ลูกหลานของพี่ชายทั้งสองคนของพระนาง

 

สลับมาเรื่องตามหาแคว้นน่านเจ้าบนเส้นทางสายไหมโบราณสักนิดนึงนะคะ เพราะเจอข้อมูลที่น่าสนใจ

เมืองคุจี เขาเชื่อว่าตนเองเป็นลูกหลานพญานาค จะเทียบเท่ากับเมือง โยนกนาคพันธุ์ได้ไหม

พระเจ้าอโศกเรียกแคว้นคันธาระว่า แคว้นโยนก จนกระทั่งมีคนคันธาระบางส่วนที่อพยพเดินไปทางตะวันออกตามเส้นทางสายไหมแล้วไปตั้งถิ่นที่เมืองคุจี จึงแปลงเป็น เมืองโยนกนาคพันธุ์ เป็นไปได้หรือเปล่า เมืองนี้พูดกันด้วยภาษาอินเดียแปลง นับถือพุทธทั้งเมือง มีพระภิกษุชาวอินเดียถึง 2000 รูป

 

แคว้นทางเหนือของเมืองคุจี ชื่อ แคว้นจักรราม นับถือพุทธศาสนา เมื่อถึงวันพระ ชาวเมืองจนถึงพระราชา พากันเข้าวัดฟังธรรม มีภาษาใช้เอง มีภาษาเขียนที่ดัดแปลงมาจากอินเดีย





แคว้นนี้จะใช่แคว้นน่านเจ้าไหม นับถือพุทธเข้มข้นขนาดนี้ คล้ายคนไทยมากค่ะ

เมืองนี้ถูกชาวเติร์กไล่เข่นฆ่าตายหมดทั้งหญิงชายเด็กชรา และเผาทุกอย่าง ทุกวัด ทุกวัง มอดไหม้ ล่มสลาย (อิสลามเข่นฆ่าชาวพุทธ แต่พวกเราไม่เคยรู้ประวัติศาสตร์โลกช่วงเวลานี้เลย เราจึงไม่มีบทเรียนจากอดีตมาสอนคนปัจจุบันให้ระมัดระวังเรื่องนี้ให้มาก อย่าได้ประมาท เห็นการรุกคืบเป็นเรื่องเล็กน้อย เห็นว่าต้องมีความเสมอภาคให้ทุกศาสนา โดยต้องยอมคนกลุ่มเล็กของประเทศให้ถืออภิสิทธิ์ได้ล้ำหน้าคนกลุ่มใหญ่ที่สุดนั่นคือชาวพุทธ กลายเป็นคนพุทธต้องทน จะย้ายจะรื้ออะไรของอิสลามเขาก็ไม่ได้ อ้างว่าศาสนาของเขาห้ามไว้) เช่น ใกล้ๆ เจดีย์วัดกระชาย วันดีคืนดี อิสลามก็ไปตั้งมัสยิดใหญ่โตมากกลางทุ่งนา เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่เกิน 15 ปีนี้ที่ไปทำบุญที่วัดวรเชษฐ์ นอกเกาะ แล้วได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ยึด คืบ คลาน เข้ามาทุกที่ ทุกภาค

พรบ.ฮัจท์ ที่กำลังพยายามดันให้ผ่านออกมา จะออกมาเอาเปรียบคนพุทธอีกกี่มากน้อย น้อ

 

หนึ่งในความงามแบบฉบับคนเผ่าเยว่

ไซซี สาวงามแคว้นเยว่ (เยว่อ๋องโกวเจี้ยน)

https://www.facebook.com/share/r/3iMGNZ9Um4JLvYkZ/?mibextid=pgkjEf

 

นนทบุรี เมืองหน้าด่านของกรุงศรี ในการสู้รบกับทัพเรือของ ละแวก จุดชุมพลทัพของฝ่ายกรุงศรี น่าจะเป็นแถวนี้ วัดปราสาท นนทบุรี ที่พระเจ้าปราสาททอง มาสร้างวัดที่มีโบสถ์มหาอุจจ์ไว้

ศึกพระยาละแวก ปี 2117 บริเวณนี้ ทหารกรุงศรีใช้เป็นป้อมรับศึก ศึกนั้นละแวกชนะจึงขี้นไปกรุงศรีจะไปปล้นบ้านนายก่าย ไปโดนปืนใหญ่ป้อมนายก่ายระดมยิงจนแตกพ่ายกลับละแวก

https://www.facebook.com/share/r/9D7NRqj8bAiFAAA3/?mibextid=pgkjEf

 

ขออภัยที่ไม่ตอบหลังไมล์ตลอด 13 ปีนะคะ

ตอนนั้นตั้งใจว่าจะไม่ตามเรื่องนี้ต่อค่ะ เพราะเรื่องนี้เหมือนเราเพ้อเจ้อไปเอง .. ตามหาหลักฐานเกี่ยวกับสัญญลักษณ์ของเด็กเล็กในพระกรุบ่อทองคำ ตอนนั้นปี 2557 (ค.ศ.2014) เมื่อหาไม่เจอก็ถอดใจ ไม่กล้าเล่าต่อ.. เพราะอาจจะเพ้อเจ้อ ไม่กล้าตอบใคร กลัวจะเป็นการต่อเรื่องเพ้อเจ้อให้ยาวไปกว่านี้ ณ ปีนั้น จึงหายหน้าไป... จนมีเหตุให้ไปไหว้พระวัดปราสาท นนทบุรี อีกครั้ง จึงกลับไปค้นภาพกรุพระวัดบ่อทองคำอีกครั้งใน พ.ย. ปี 2566 (ค.ศ.2023) พบหลักฐานทั้งปลาตะเพียน และอักษรขอมตัว มะ และตัว บะ และการกลับไปแปลหมิงสือลู่ด้วยตนเองในปีที่สนใจคือปีที่พระนเรศไปเมืองจีน พบหลักฐานร่องลอยจริงๆ จึงคิดว่าเราคงไม่ได้เพ้อเจ้อไปเอง ต้องมีความจริงอยู่บ้างในสิ่งที่เราพูดเราเขียนแต่รายละเอียดอาจจะไม่แม่นเป๊ะมากนัก ต้องค่อยๆดูไปเห็นไป ...



ขออภัยหลังไมล์ทุกท่าน ที่ดิฉันหายไปเฉยๆ 10 กว่าปีโดยไม่ตอบหลังไมล์ใครแม้แต่คนเดียวค่ะ

สำหรับคำถามน้องอ๊อบ ถามว่าพระนางมณีจันทร์อายุน้อยกว่าพระนเรศสักเท่าใด ขอตอบตรงนี้นะคะ พระนางอายุน้อยกว่าพระนเรศประมาณ 10 พรรษา ค่ะ

และมีอีกคนหนึ่งชื่อคุณฟอร์เร้นท์ ได้บอกมาทางหลังไมล์ว่า พระนเรศทรงสบายพระทัยที่สุดที่ได้อยู่กับพระนาง และทรงบรรทมได้เต็มอิ่มไม่ต้องทรงระแวงใด ๆ หรือไม่ต้องทรงกังวลใด ๆ เมื่ออยู่ร่วมกับพระนางมณีจันทร์ พระนางเป็นความสบายใจ ความไว้วางใจ ความเบิกบานใจ เป็นคู่ทุกข์คู่ยาก และกำลังพระทัย แห่งองค์เหนือหัวสมเด็จพระนเรศ

 

คิดจะเล่าเรื่องการตรวจพลสวนสนามด้วยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารถต่อสักเล็กน้อย

พิธีเริ่มตั้งแต่ฟ้าสาง กระบวนเรือมี 5 สาย

สายกลางเรือหลัก แล่นสายกลาง เป็นเรือพระราชพาหนะทั้งหมด จำนวนเยอะอยู่ ในการนี้ใช้แต่เรือหลวง พวกเรือต่างชาติไม่ได้ร่วมกระบวนนี้

สายรองถัดจากสายหลัก เป็นเรือหน้าสัตว์ เรือสวยหน่อย ข้าราชการ ทหารกองต่าง ๆ ขนาบเรือหลวง ทั้งสองข้าง

สายนอกสุดเป็นเรือเล็กมากทาสีดำ พายกันมาลำละ 20 คน ฝีพายแต่งชุดทหารทุกคน ให้พ่ายต่อๆกันเป็นแถวไป ทิ้งระยะห่างกันสักช่วงลำเรือเดียว สายยาวต่อเนื่องไปไกลลิบๆ เป็นสายนอกสุด ทั้งสองข้างขนาบกระบวนเรืออยู่สายนอกสุดโดยขนานตลิ่งน้ำทั้งสองฝั่ง

กระบวนเรือล่องตามเข็มนาฬิกา รอบเกาะเมืองค่ะ

พระนเรศยืนบนพลับพลาที่ประทับชั่วคราวทำด้วยไม้ไม่มีหลังคา (ในวงกลมสีแดงคือบริเวณที่ตั้งพลับพลา) ทรงชุดสีดำขลิบลวดลายสีทอง (ไม่ทรงโปรดภูษาสีฉูดฉาดทั้งปวง) ไม่ทรงพระมาลา และไม่กางฉัตร เพื่อให้เหล่าทหารมีกำลังใจว่า นายเหนือหัวร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเหล่าข้าราชการทหารทุกนาย

พวกทูตถูกเชิญมาด้วย ต่างหนีแดดไปยืนใต้ร่มไม้กันหมดอยู่ใกล้ๆพลับพลาขององค์พระนเรศท่าน

 

สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา เป็นต้นมา ราชสำนักสยาม ใช้องค์ความรู้จากราชสำนักจีน ในการถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นคนไทยมาจากไหนโดยท่านจางจวีเจิ้งนำเข้ามาในฐานะที่คนไทยรู้จักท่านว่า นายก่าย (เน่ยเก๋อ)

และทางราชสำนักไทยยอมรับว่านายก่ายเป็นเจ้าจากกรุงราชคฤห์ จึงสร้างบ้านให้และพระมหาธรรมราชาจึงตั้งชื่อบ้านให้ว่า "หอราชคฤห์" สิ่งที่ต้องตามให้ได้คือองค์ความรู้ของนายก่าย(ท่านจาง) เป็นอย่างไร เพื่ออธิบายคำว่า ราชคฤห์ คิดว่าองค์ความรู้นี้ยังมีอยู่ในหนังสือเรียนของจีนที่เอาบทความงานเขียนของจางจวีเจิ้งมาศึกษาต่อในชั้นเรียนระดับมหาวิทยาลัย

 

เจ้าสัว (เจ้าขรัว) สมัยอยุธยา ใส่ผ้าแพรปังลิ้น ทั้งกางเกงและเสื้อ โดยถักหางเปียไว้แต่ไม่โกนผมครึ่งหัวเพราะเป็นคนในราชวงศ์หมิง คนราชวงศ์ชิงไม่ค่อยมาสยามหรือไม่มาเลยในสมัยอยุธยาเพราะรากเหง้าของคนราชวงศ์ชิงอยู่ในแมนจูเลีย พวกราชวงศ์ชิงจะหนีกลับแมนจูเลียเป็นส่วนมากเมื่อราชวงศ์ล่มสลายแล้ว

​

รูปข้างบนเป็นเจ้าสัวสองคนในสมัยพระนารายณ์ ที่ขอพระราชทานพระพุทธรูปศิลปละโว้จากพระนารายณ์เพื่อไปถวายวัดอัมพวัน สิงห์บุรี สองเจ้าสัวเดินทางไปพร้อมเพื่อนชาวฮอลันดา (คาดว่าสองเจ้าสัวน่าจะเป็นพระญาติห่าง ๆกับพระนารายณ์ ทางสายสมเด็จย่าของพระนารายณ์.

แต่ว่างานสำรวจทางราชการในสมัยรัตนโกสินทร์ บ่งบอกว่า วัดนี้ตั้งตั้งแต่สมัย พระเจ้าปราสาททอง 2175 การสร้างโบสถ์ก็คงตั้งแต่สมัยสร้างวัดและวาดภาพคนสร้างเก็บไว้ที่ฐานโบสถ์เก่า ดังนั้น ในปี 2175 นั้น ถ้าพี่ชายทั้งสองของพระนางยังมีชีวิตอยู่ อาจจะเป็นผู้ร่วมสร้างโบสถ์วัดอัมพวัน สิงห์บุรี กับพระเจ้าปราสาททอง เพราะรูปนี้เจอที่ฐานโบสถ์เก่าที่ถล่มไปเมื่อปี พ.ศ. 2511 จึงขอเปลี่ยนจากขอพระราชทานพระพุทธรูปจากพระนารายณ์ เป็นขอพระราชทานพระพุทธรูปจากพระเจ้าปราสาททอง และคนในรูปเล็กที่สองเจ้าสัวระลึกถึง(รูปในรูป) อาจจะหมายถึงท่านจาง

ชื่อแซ่อาจจะมาใช้ชื่อง่ายๆกันแต่ชื่อจริงเป็นชื่อยาก ใช้อักษรแบบผู้มีความรู้ตั้งชื่อให้คือท่านจางตั้งชื่อเอง คงกลัวทางกรุงจีนตามล่าเพราะพระเจ้าว่านลี่ทรงแค้นที่ถูกท่านจางหลอกว่าตายแล้ว(ไปรื้อสุสานแล้ว พระเจ้าว่านลี่ไม่พบกระดูก)