91.เก็บเรื่องมาเล่า : เราเที่ยวด้วยกัน สามวันที่ภูเก็ต

91

เก็บเรื่องมาเล่า : เราเที่ยวด้วยกัน สามวันที่ภูเก็ต


​

แม้จะอยู่ในสถานการณ์โควิด 19 ระบาด แต่หมู่ผองเพื่อนก็มีความพยายามหาที่เที่ยว เมื่อมีโครงการเราเที่ยวด้วยกันออกมา สมาชิกแก๊งค์เที่ยวก็เสาะแสวงหามาชวนให้ไปจนได้ ทั้งหาที่พักโรงแรม โปรแกรมเที่ยว จองตั๋วเครื่องบินให้เสร็จสรรพตามสไตล์เพื่อนที่แสนดี สร้อยฟ้ามาลาก็แค่เตรียมสัมภาระเสื้อผ้า กล้องถ่ายรูปใส่กระเป๋าชั้งน้ำหนักสัมภาระห้ามเกิน 5 กิโล แล้วรอถึงวันเที่ยวแค่นั้น แต่มีปัญหาตรงที่เพื่อนไม่ซื้อน้ำหนักกระเป๋า แค่กล้องก็ร่วมๆ 3 กิโล แล้ว...

...พวกเราไม่ประมาทนะ ใส่แมส พก Lกฮ ล้างมือ ตลอดการเดินทาง...

 

วันที่ 19 พ.ย. นัดหมายเจอกันที่บ้านเพื่อนตอนสาย แล้วโทรเรียกแท็กซี่ไปส่งที่สนามบินดอนเมือง พวกเราใช้บริการของ AirAsia รู้สึกจะเป็นเครื่อง Airbus A320 เวลา Boarding Time 12.05 ซึ่งเวลายังเหลืออีกมาก ก็เลยไปหาอะไรลองท้องกันก่อนเล็กๆ น้อยๆ

​

 

พอใกล้เวลาเกทเปิดก็เดินกันไป




(ไม่ใช่ลำนี้นะ)​

 

สังเกตดูคนก็เกือบเต็มลำอยู่นะ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็ออกเดินทางโบยบินมุ่งสู่ภูเก็ต ก็กลัวเครื่องบินเหมือนเดิม แต่น้อยกว่าตอนไปต่างประเทศเพราะว่าใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว

​

 

ด้วยความไม่เคยนั่งเครื่องบินมาภูเก็ต ตอนใกล้จะแลนดิ้ง มองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเครื่องจะวิ่งลงทะเล เพราะเวลาแค่ล้อแตะพื้นกับภาพที่มองเห็นพื้นน้ำทะเลเป็นช่วงเวลาห่างกันแค่แป๊บเดียว

​

 

พวกเรามาถึงสนามบินนานาชาติภูเก็ตบ่ายสองกว่าๆ

​

 

เพื่อนผู้จัดการประจำทริปก็เดินหาเค้าเตอร์บริการรถเช่าที่เช่าไว้ เป็นโตโยต้า ยาริส เอทีฟ งานนี้สร้อยฟ้ามาลาไม่ได้เป็นคนขับนะ แต่เป็นเนวิเกเตอร์เหมือนเดิม เปิดกูเกิ้ลนำทาง เมื่อได้รถแล้ว ที่แรกที่พวกเราไปก็ต้องไปไหว้พระทำบุญกันก่อนนะ

​

 

​

วัดทอง หรือวัดพระผุด เป็นวัดที่อยู่ไม่ไกลจากสนามบิน

วัดแห่งนี้มีความ UNSEEN อยู่คือ เป็นวัดเก่าแก่ที่มีตำนานอัศจรรย์ของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ซึ่งโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินเพียงพระเกตุมาลา และผุดขึ้นมาจากพื้นดินเดียวครึ่งองค์ เป็นที่มาของชื่อ "วัดพระผุด" นั่นเอง มีเรื่องเล่าว่า บริเวณที่ตั้งของวัดเคยเป็นทุ่งกว้าง มีนา มีคลอง มีหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์ วันหนึ่งมีเด็กชายนำกระบือไปเลี้ยงที่ทุ่ง และได้นำเชือกล่ามกระบือไปผูกไว้กับตอไม้ริมคลองที่มีโคลนตมติดอยู่ ครั้นพอกลับบ้าน เด็กคนนี้ก็เกิดอาการเป็นลมตายและกระบือที่ล่ามไว้กับตอไม้ก็ตายไปด้วยกัน ต่อมาพ่อของเด็กชายฝันว่า การที่เด็กและกระบือตายเพราะนำเชือกล่ามกระบือไปผูกไว้กับเกศพระพุทธรูป เขาจึงชวนเพื่อนบ้านไปขัดล้างตอไม้ริมคลองแห่งนั้น แล้วสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาให้เห็นนั้นกลับมีลักษณะเหมือนเกศพระพุทธรูปและเป็นทองคำ จนชาวบ้านต่างพากันมาบูชาสักการะกันมากมาย เมื่อเจ้าเมืองทราบ ก็สั่งให้ทำการขุดพระพุทธรูปขึ้นมา ประดิษฐานไว้บูชา แต่ไม่สามารถขุดขึ้นมาได้ บางคนถูกตัวต่อ ตัวแตนอาละวาด เป็นพิษจนถึงแก่ความตาย เจ้าเมืองจึงสั่งให้สร้างสถานที่ขึ้นมาคลุมเอาไว้ และชาวบ้านก็กราบไหว้กันเรื่อยมา พร้อมเรียกพระพุทธรูปองค์นี้เรียกว่าพระผุด เนื่องจากเป็นพระพุทธรูปที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน เพียงพระเกศมาลา สูงประมาณ 1 ศอก ส่วนคนจีนจะเรียกพระผุดว่า ภูปุ๊ค (พู่ฮุก) เพราะเชื่อว่าเป็นพระผุดมาจากเมืองจีน ครั้นเมื่อถึงเทศกาลตรุษจีน คนจีนในภูเก็ต พังงา ตะกั่วป่า ท้ายเหมือง และกระบี่ จะพากันมานมัสการพระผุด เป็นประจำจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวในเหตุการณ์ศึกพระเจ้าปะดุง ที่ยกพลมาตีเมืองถลาง พ.ศ.2328 ทหารพม่าพยายามขุดพระผุดเพื่อนำกลับไปพม่า แต่ขุดลงไปคราวใดก็มีฝูงแตนไล่ต่อยจนต้องละความพยายาม ต่อมาชาวบ้านได้นำทองมาหุ้มพระพุทธรูปที่ผุดจากพื้นดินเพียงครึ่งองค์ดังที่เห็นในปัจจุบัน

 

​

 

​

 

ทำบุญไหว้พระเพื่อเป็นศิริมงคลแล้ว ก็มุงหน้าไปหาอาหารทะเลกันที่แพครูวิทย์ ต้องไปจอดรถที่แหลมหินซีฟู้ด เสียค่าที่จอดรถแล้วก็ไปลงเรือข้ามไปที่แพอยู่ระหว่างเกาะมะพร้าว ไม่เสียตังก์ค่าลงเรือนะ

ระหว่างจอดรถ มีเจ้าถิ่นเดินปรี่เข้ามาหา​

 

​

 

ระหว่างทางเดินไปท่าเรือ​

 

ท่าเรือ​

 

​

 

​

 

​

 

มาถึงแพครูวิทย์ พวกเราเลือกหาที่นั่งตามใจชอบ พอได้แล้วก็ให้เพื่อนเป็นคนสั่งอาหาร สร้อยฟ้าฯก็ถ่ายรูปเรือข้างๆ แพไปเรื่อยๆ

​

 

​

 

สักครู่ก็เริ่มมาเสริฟที่ละอย่างสองอย่าง ตอนนี้หิวมาก ก็ทานไปแบบม้วนเดียวจบ อร่อย

​