เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 16 มิถุนายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ หลายท่านก็คงได้เห็นสป็อตโฆษณางานเทศกาลผลไม้ของดีอำเภอทองผาภูมิ ที่ท่านนายอำเภอชาคริต ตันพิรุฬห์ ลงทุนเล่นด้วยตนเอง

    ในเรื่องของการทำงานของนายอำเภอทองผาภูมิ ๓ - ๔ ท่านหลัง ๆ กระผม/อาตมภาพเห็นว่าท่านทุ่มเทให้กับงานในหน้าที่เกินร้อย เนื่องเพราะว่าไม่ค่อยจะกลับบ้านกัน อย่างท่านนายอำเภอนภเดช เกลียวศิริกุล นั้น ถึงขนาดคุณนายต้องอุ้มลูกมาหาเอง..!

    ท่านนายอำเภอชาคริต บ้านท่านอยู่แค่ห้วยกระเจานี่เอง แต่ก็ทำงานเหมือนกับไม่มีวันเสาร์อาทิตย์ ไม่มีวันหยุด คำตอบก็เหมือน ๆ กันก็คือ "ทางราชการจ่ายเงินเดือนให้ครบถ้วนทุกวัน"

    ในส่วนนี้ที่กล่าวถึง เพื่อที่ว่าพวกเราทั้งหลายอาจจะได้ดู และทำตามเป็นแบบอย่าง โดยเฉพาะเราท่านทั้งหลายที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น ส่วนหนึ่งที่ท่านจะลืมไม่ได้เลย ก็คือเรื่องของกิเลสนั้นกินเราอยู่ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที..!

    ถ้าเราไปทำตัวเป็นคนมีเวลาว่าง มีเวลาหยุด ถ้าพูดกันแบบแรง ๆ ก็คือ "หาที่ตายชัด ๆ..!" ในเมื่อกิเลสกินเราแบบไม่มีวันหยุด แต่เราปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นกิเลสแบบมีวันหยุด ก็เห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าสู้กันไม่ได้เลย..!

    มีญาติโยมบางท่านถามว่า "กำลังโดนมารเล่นงานอย่างหนัก ควรที่จะสู้อย่างไรดีครับ ?" จะสู้อย่างไรก็ได้ อันดับแรก พยายามทรงฌานให้ได้ เพราะว่าถ้าเราทรงฌานได้เมื่อไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "จะเป็นผู้ที่มารมองไม่เห็นชั่วคราว"

    เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าเสนามารคือกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง โดนอำนาจของฌานสมาบัติกดดับลงชั่วคราว เท่ากับพระยามารไม่มีสายลับ ในเมื่อไม่มีสายลับคอยแจ้งว่าเราทำอะไร เขาจะขัดขวางด้วยวิธีไหนก็ไม่สามารถที่จะทำได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    หลังจากนั้นมาเราก็มาค่อย ๆ ลด ค่อย ๆ ละกิเลสต่าง ๆ ลง กิเลสหยาบก็ลดด้วยศีล กิเลสอย่างกลางลดด้วยสมาธิ กิเลสอย่างละเอียดลดด้วยปัญญา

    ท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่า กิเลสเป็นสมบัติของร่างกายนี้ ก็คือ รัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างอยู่กับร่างกายนี้ ไม่ว่าเราจะหนีไปที่ไหนก็ไม่มีทางพ้นไปได้ เพียงแต่ว่าเราอย่าทำตัวเป็นผู้สนับสนุนกิเลสให้เจริญงอกงาม ต้องรู้จักต่อต้านกิเลสไว้บ้าง

    ไม่ใช่ตาอยากเห็นรูปแบบไหน เราก็ตะเกียกตะกายไปหามาดู หูอยากได้ยินเสียงแบบไหน เราก็ตะเกียกตะกายไปหามาฟัง จมูกอยากได้กลิ่น ลิ้นอยากได้รส กายอยากสัมผัสแบบไหน เราเอามาสนองกิเลสเสียหมด ถ้าอย่างนั้นเท่ากับเราทำตัวเป็นทาสกิเลส ย่อมไม่สามารถที่จะหลีกลี้หนีห่างไปได้

    ก็แปลว่า อันดับแรกเลย ท่านทั้งหลายต้องมีการสำรวมอินทรีย์ ก็คือระมัดระวัง เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส อย่าให้ใจคิด ถ้าเราคิดเมื่อไรก็จะปรุงแต่งไปทาง รัก โลภ โกรธ หลง ทันที เห็นแล้วชอบใจก็เป็นราคะ เห็นแล้วไม่ชอบใจก็เป็นโทสะ เจ๊งทั้งขึ้นทั้งล่อง..!

    คราวนี้การที่เราจะหยุดคิดให้ทันก็คือ สติสมาธิอยู่กับการภาวนา เมื่อทรงฌานได้แล้วก็เอาสติคอยประคับประคอง อย่าให้หลุดออกจากฌานนั้น ถ้าหลุดเมื่อไรกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ก็จะมาทันที และมาหนักด้วย เพราะเขารู้แล้วว่าถ้าเราทำแบบนี้ เราจะรอดมือเขาไปได้ เขาก็ต้องพยายามขัดขวางทุกวิถีทาง

    เพียงแต่ว่าพวกเราส่วนหนึ่งนั้นมักจะไม่เข็ด ก็คือโดนกิเลสตีคว่ำเท่าไรก็ไม่รู้จักเข็ด ไม่รู้จักเบื่อเสียที ถ้าวันไหน ศีล สมาธิ ปัญญา ดี ก็รู้สึกว่าเราควรที่จะละทิ้งจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้ว แต่พอกำลังใจถอยหน่อยก็วิ่งไปหา รัก โลภ โกรธ หลง อีกเหมือนเดิม ประมาณว่า "เบื่อ ๆ อยาก ๆ"

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าเราเองอยู่ในสถานะของ "ลูกไล่" คำว่า "ลูกไล่" นี่มาจากวงการปลากัด ก็คือเอาปลาที่เฮงซวยห่วยแตกไร้ฝีมือ ใส่ลงไปในขวดให้ปลาตัวที่เราฟูมฟักอยู่ไล่กัด เพื่อให้เกิดความมั่นใจ พอถึงเวลาเจอปลากัดตัวอื่นจะได้กล้าสู้ แต่เจ้าลูกไล่นั่นไม่สู้ใคร หนีอย่างเดียว เราก็กลายเป็น "ลูกไล่" ของพระยามาร โดนต้อนซ้ายต้อนขวาเป็นของสนุก..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    ขณะเดียวกันพวกเราเองก็ยังไปสนับสนุนเสียอีก อย่างที่บอกว่า ขาดการสำรวมอินทรีย์ ขาดการระมัดระวัง ตาอยากเห็นรูปก็รีบไปดู หูอยากได้ยินเสียงก็รีบไปฟัง เท่ากับว่าเลี้ยงโจรเอาไว้ปล้นตัวเอง..!

    ดังนั้น..นักปฏิบัติที่หวังดีอย่างแท้จริง ต้องทุ่มเทสรรพกำลังทั้งหมดใน ศีล สมาธิ ปัญญา ลงไปต่อต้านอำนาจของกิเลส ชนิดที่ตายกันไปข้างหนึ่ง ก็คือถ้าหากชนะไม่ได้ก็ยอมตายไปเลย..! ใช้กำลังใจแบบท่านพระพาหิยทารุจีริยะก่อนที่จะมาเกิดในชาตินี้ ท่านกับเพื่อน ๆ ทำบันไดปีนขึ้นไปอยู่กลางยอดเขา อาศัยถ้ำตรงนั้นอยู่ แล้วถีบบันไดทิ้งไปเลย..!

    กะว่าถ้าปฏิบัติไปแล้วเหาะไม่ได้ ก็จะไม่หาอะไรกิน ยอมอดตายอยู่ที่นี่ วันที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ เพื่อนสำเร็จฌานสมาบัติ สามารถเหาะได้ ท่านพาหิยะทำเท่าไรไม่สำเร็จ ท้ายที่สุดทุกท่านเหาะจากไป เหลือท่านอดตายอยู่คนเดียว..! แต่ด้วยความที่ท่านต่อสู้อย่างเต็มที่ จนอินทรีย์แก่กล้าแล้ว พอมาชาตินี้แค่ฟังธรรมสั้น ๆ ประโยคเดียวจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็บรรลุมรรคผลเลย

    ถ้าเราดูตัวอย่างจากหลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่า ท่านใช้วิธีผ่อนอาหารลง บางท่านก็ใช้วิธีฉันอาหารน้อยลงไปเรื่อย ๆ วันละคำ บางท่านก็อดไปเลย ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน ครึ่งเดือน พูดง่าย ๆ ว่าถ้ากิเลสเอ็งแน่จริง อดจนไม่มีแรงแล้วก็ลองกำเริบดู แต่อย่าลืมว่ากิเลสนั้นมีมายามาก เพราะว่าอาศัยอยู่กับตัวเรา

    ดังนั้น..ถ้าหากเราตั้งใจปฏิบัติธรรมไปจนถึงระดับหนึ่ง กิเลสรู้ว่าถ้าเราทำต่อมันตายแน่ ก็พยายามดิ้นรนให้เราเข้าใจผิด ว่าถ้าทำต่อผู้ที่จะตายคือเรา แล้วด้วยความที่ยังกลัวตายอยู่ เราก็ไปเลิกการปฏิบัติธรรม ปล่อยให้กิเลสมีกำลังใจขึ้นมาใหม่ แล้วก็มาฟัดเราอีก..!

    ในเรื่องของการสู้กับกิเลสจึงจำเป็นต้องเอาชีวิตเข้าแลก ไม่ใช่ทำแบบแก้บน ต้องทำแบบคนที่พร้อมจะตายอยู่เสมอ ตั้งเป้าหมายไว้ให้ชัดเจน แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาตะลุยไปเลย ถ้าใครสามารถทำในลักษณะเอาชีวิตเข้าแลกได้ โอกาสที่จะได้ดีก็มีสูง แต่ถ้าหากยังทำตัวแบบกลัว ๆ กล้า ๆ โอกาสที่จะรอดนั้นยากมาก

    โดยเฉพาะบางคนบวชแล้วบวชอีก ๓ วัน ๗ วันกูก็สึก ดันไปคิดว่าเป็นการสะสมบุญให้ตัวเอง ลืมคิดไปว่าเป็นกำลังใจที่ห่วยมาก..! เพราะว่าเปิดกว้าง ๓๖๐ องศา พร้อมที่จะหนีได้ทุกเวลา ถ้าแบบนั้นจะไปสู้ข้าศึกได้อย่างไร ? ยังไม่ทันจะเห็นหน้าข้าศึกเลย ตัวเราพร้อมที่จะยกทัพหนีแล้ว โอกาสที่จะชนะก็เป็นศูนย์..! ถ้าหากว่าตายลงอบายภูมิก็ขาดทุนอย่างหนัก ถ้าตายแล้วได้เกิดเป็นมนุษย์ใหม่ก็ไม่รู้ว่าจะได้พบพระพุทธศาสนาอีกหรือเปล่า..!?

    แต่ว่าเรื่องพวกนี้กระผม/อาตมภาพถือว่าเป็นกำลังใจของใครของมัน เราเองนิยมแบบสู้กันตายไปข้างหนึ่ง ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะนิยมแบบนี้ แต่ถ้าจะค่อย ๆ เก็บคะแนนทีละเล็กทีละน้อย ก็อาจจะมีเวลาอีกหลายแสนกัปในการค่อย ๆ เก็บคะแนนไป เพียงแต่ละกัปนั้นต้องเกิดกันนับชาติไม่ถ้วน เกิดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น โอกาสที่จะสุขนั้นไม่มี จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องตัดสินใจกันเอาเอง ว่ายังจะทำกันแบบแก้บน หรือจะทำกันจริง ๆ จัง ๆ เสียที

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...