เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 8 ตุลาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,563
    ค่าพลัง:
    +26,402
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,563
    ค่าพลัง:
    +26,402
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ก่อนอื่นก็ต้องขอแสดงความยินดีกับ ดร.ซ้วง (ดร.พระศิระ จิตฺตสุโภ) ที่จบปริญญาเอกแล้ว แต่ว่ากระผม/อาตมภาพดูวิทยานิพนธ์คร่าว ๆ มีหลายจุดที่จะต้องแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง เนื่องเพราะว่าบุคคลที่จบปริญญาเอก จะเป็นผู้เชี่ยวชาญ ชำนาญในหัวข้อนั้นหรือว่าในสาขาวิชานั้น เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครสนใจในเนื้อหาตามหัวข้อหรือสาขาวิชานั้น เขาก็จะมาศึกษา แล้วถ้าหนักกว่านั้นก็คือเอาไปอ้างอิง

    อย่างเช่นหน้า ๑๔๖ ที่แยกประเภทโอปปาติกะ ออกเป็น ๒ ประเภท ก็คือ สุคติภูมิ กับ ทุคติภูมิ แต่ว่าเอามารไปไว้ในทุคติภูมิไม่ได้ เพราะอย่าลืมว่ามารเป็นเทวดาประเภทหนึ่ง อยู่สวรรค์ชั้นที่ ๖ ต้องอยู่ในส่วนของสุคติภูมิ ถ้าหากว่าทำลักษณะอย่างนี้ เดี๋ยวคนเอาไปอ้างตาม แล้วจะซวยไม่รู้เรื่อง..!

    แล้วมาหน้า ๑๔๘ ผู้ที่ปฏิบัติชั้นจตุตถฌานได้จะบังเกิดเป็นโอปปาติกะในพรหมโลก ๗ ชั้น ได้แก่ ๑) เวหัปผลาพรหม ๒) อสัญญีสัตตาพรหม ๓) อวิหาสุทธาวาสพรหม ๔) อตัปปาสุทธาวาสพรหม ๕) สุทัสสาสุทธาวาสพรหม ๖) สุทัสสีสุทธาวาสพรหม และ ๗ อกนิฏฐสุทธาวาสพรหม

    ตรงนี้ต้องอธิบายเพิ่ม เพราะว่าสุทธาวาสพรหมตั้งแต่ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา นั้น ท่านจะมีมรรคผลทั้งส่วนของอนาคามิผลและอรหัตมรรคอยู่ด้วย ถ้าไปบอกว่าจบแค่จตุตถฌานแล้วได้สุทธาวาสพรหม ๕ ชั้นนี่เจ๊งเลย..! เพราะว่าฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ จริง ๆ ถ้าเป็นโลกียะนี่ไปไม่รอดสักราย กระทั่งโสดาบันยังเป็นไม่ได้เลย ต้องมีปัญญาเข้าไปช่วยอีกมาก

    แล้วก็มาตรงที่ว่า "อปริยาปันนภูมิ หรือ โลกุตรภูมิ คือ พระนิพพาน ผู้จักบังเกิดในชั้นนี้จะต้องละสังโยชน์ ๑๐ ประการ เป็นพระอริยบุคคลหรือพระอรหันต์" ตรงนี้อย่าใช้คำว่า "หรือ" เพราะว่าพระอริยบุคคลคือตั้งแต่โสดาปฏิมรรคขึ้นไป ถ้าหากว่าคุณใช้คำว่า โลกุตรภูมิคือพระนิพพาน ก็ต้องเป็น "พระอริยบุคคลระดับพระอรหันต์" ไม่ใช่ "พระอริยบุคคลหรือพระอรหันต์"
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,563
    ค่าพลัง:
    +26,402
    ข้อมูลพวกนี้เราต้องแก้ แล้วค่อยส่งเนื้อหาวิทยานิพนธ์ที่เป็น PDF ไฟล์ไปให้ทางมหาวิทยาลัย จึงต้องเอาให้ดีเลย เพราะฉะนั้น..คุณจะเห็นว่าผมเองแก้ให้ตั้งแต่บรรณานุกรมที่อ้างอิง หน้า ๑๖๐ ของคุณอ้างอิงเป็น เบญจวรรณ ชยางกูร วารสารพุทธมัคค์ และหน้าเดียวกันก็เป็น เบญจวรรณ ชยางกูร วารสารพุทธมัคค์ พอไปหน้า ๑๖๑ ก็เป็น เบญจวรรณ ชยางกูร วารสารพุทธมัคค์ หน้าเดียวกัน หัวข้อเดียวกัน เล่มเดียวกัน ปีเดียวกัน ไม่มีอะไรต่างกันเลย..!

    นี่คือลักษณะของการที่เราก็อปปี้แล้ววาง เมื่อวางเสร็จก็ลืมลบของเก่า ก็คือถึงเวลาแล้วเรามาจัดเรียงบรรณานุกรมตามตัวอักษร แต่ของเก่าเราไม่ได้ลบทิ้ง ก็เลยกลายเป็นซ้ำ ๓ แห่ง ๔ แห่งอย่างที่เห็น ต้องระมัดระวังให้ดี เดี๋ยวต้องมีเวลาให้ผมอ่านละเอียดมากกว่านี้ก่อน

    สมัยก่อนกระผม/อาตมภาพบอกกับบรรดาลูกศิษย์ว่า "วิทยานิพนธ์ของคุณ ผมอ่านทุกตัวอักษร" ไม่มีใครเชื่อ จนกระทั่งแก้ให้แดงไปทั้งเล่ม เขาถึงรู้ว่าหลวงพ่ออ่านทุกตัวอักษรจริง ๆ..! เพราะว่าวิทยานิพนธ์จะต้องเป็นข้อมูลทางวิชาการที่ถูกต้องที่สุด ที่เขาจะเอาไปอ้างอิงต่อได้

    แม้กระทั่งตัวหนังสืออักขระอะไรก็ตามที่ผิดไวยากรณ์ก็ต้องแก้ หลายต่อหลายจุด อย่างเช่นว่าเวหัปผลาภูมิ "เวหัป" อยู่บรรทัดบน แล้ว "ผลาภูมิ" ไปอยู่บรรทัดล่าง แบบนี้ใช้ไม่ได้ เพราะว่าเป็นศัพท์คำเดียวกัน พวกคุณโชคดีที่ผมไม่ได้รับตรวจวิทยานิพนธ์อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นได้นั่งร้องไห้กันหมด..!

    เรื่องพวกนี้เราเองไม่ชำนาญ โอกาสที่จะผิดต้องมี แต่ถ้าครูบาอาจารย์ไม่ชำนาญด้วยนี่พังเลย..! ไม่อย่างนั้นแล้วในเรื่องของการไปยืนยันภพภูมิว่าส่วนของมารเป็นทุคติภูมิ เท่ากับเราไปค้านพระพุทธเจ้านะ เดี๋ยวก็จะ "ตื่นธรรม" ไม่ทัน..!

    ในเรื่องปัจจุบันนี้เกี่ยวกับ "หมอดู" และ "คนตื่นธรรม" จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องของการเอากิเลสไปชนกัน..! ในส่วนของหมอดู กระผม/อาตมภาพตำหนิเขาน้อย ตำหนิเขาน้อยตรงที่ว่าเขาแค่ปากไว แล้วก็ไปพูดกระทบกระเทือนในลักษณะปรามาสพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่แน่ว่าจะรู้จริงทั้งหมด ซึ่งตรงนี้ไปสวนกับความเชื่อของพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ เลยเจอ "ทัวร์ลง" เยอะหน่อย..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,563
    ค่าพลัง:
    +26,402
    ในเรื่องของหมอดูนั้น ถ้าหากว่ามีจรรยาบรรณและมีความคล่องตัวจริง ๆ สามารถอาศัยได้ในระดับหนึ่ง ที่กระผม/อาตมภาพบอกไปวันก่อนก็คือได้ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ใช่ไปฝากชีวิตไว้กับหมอดู อย่าลืมว่า ๔๐ เปอร์เซ็นต์ที่นอกเหตุเหนือผล นั่นก็คือคนที่ไม่ยอมจำนนต่อชะตากรรม ดิ้นรนฝ่าฟันจนกระทั่งผ่านพ้นไปได้

    นั่นคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเชื่อว่าพวกเรามีศักยภาพเพียงพอ พระองค์ท่านถึงได้เสียเวลามาสอนพวกเราอยู่ถึง ๔๕ ปี ไม่อย่างนั้นถ้าหากว่าเชื่อหมอดูอย่างเดียว ก็ไม่ต้องทำมาหากินอะไรแล้ว เขาบอกว่าไม่ดีก็ไม่ดีไปตลอดชีวิต เขาบอกว่าดีแล้วจะดีไปตลอดชีวิตได้อย่างไร ? เพราะว่าเราเองก็ทำดีไม่ทั่ว ทำชั่วไม่หมด ก็ต้องมีขึ้น ๆ ลง ๆ ดีบ้าง ชั่วบ้าง

    แต่ว่าในส่วนของบุคคลที่อ้างว่าเป็นผู้ตื่นธรรมหรือผู้รู้ธรรมนั้น การสอนธรรมของท่านปราศจากสาราณียธรรม ตรงนี้อันตราย ท่านที่เรียนนักธรรมชั้นตรีมาก็รู้อยู่แล้ว สาราณียธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องยังให้ทุกคนระลึกถึงกัน เมื่อจะคิดก็คิดถึงผู้อื่นด้วยเมตตา เมื่อจะพูดก็พูดถึงผู้อื่นด้วยเมตตา เมื่อจะกระทำก็กระทำต่อผู้อื่นด้วยเมตตา ไม่ใช่อยู่ในลักษณะของด่าสาดเสียเทเสีย ไป "บูลลี่" หรือว่า "ด้อยค่า" ความรู้ของคนอื่น

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไปนึกถึงปิรามิดพระพุทธศาสนาที่กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบไปแล้ว ส่วนของพิธีกรรมพิธีการก็คือฐานใหญ่ที่สุด นี่คือพุทธศาสนิกชน ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์เลยนะ..! ขึ้นมาถึงระดับกลาง ก็คือ ศีล สมาธิเบื้องต้น พวกที่จะใช้ปัญญาได้จริง ๆ ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญาครบถ้วน ไปอยู่ที่ยอดปิรามิดนิดเดียว

    ถ้าหากว่าเราไป "ด้อยค่า" คนอื่น หรือไป "บูลลี่" คนอื่น ถือว่าคนอื่นตื่นไม่เท่ากูก็แปลว่าชั่วหมด..! อย่างนั้นใช้ไม่ได้ เราจะไปอ้างว่าเรื่องของธรรมะไม่ต้องเอาใจใคร..ก็ถูก
    แต่ลักษณะของการสอนธรรม เราสอนด้วยกิเลส หรือว่าเราสอนเพราะเจตนาให้ผู้อื่นรู้ตาม ? ถ้าท่านทั้งหลายลองไปฟังดูแล้วก็จะรู้

    ถ้าหากว่าท่านตั้งใจสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหาคอนเท็นต์หรือว่าแนวทางที่โลดโผน เพื่อที่จะเป็นติ๊กต็อกเกอร์ หรือเป็นยูทูบเบอร์ เพราะลักษณะอย่างนั้นก็คือการดึงคนเข้ามา ดึงคนเข้ามาเพื่ออะไร ? ก็ต้องหวังยอดวิว หวังยอดไลค์..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,789
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,563
    ค่าพลัง:
    +26,402
    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้เราอย่าไปกล่าววาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกัน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดแล้วว่า วาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกันทำให้ต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมาก จิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายก็ต้องเข้าใจว่าคนเราสร้างบุญสร้างกรรมมาไม่เท่ากัน เหมือนอย่างกับวิทยานิพนธ์วิเคราะห์ภพภูมิที่ ดร.ซ้วงท่านทำมา ในเมื่อสร้างบุญสร้างกรรมมาไม่เท่ากัน บุคคลที่สร้างบุญมาดีก็ได้ครูบาอาจารย์ดี สิ่งใดผิดพลาดก็แก้ไขให้ บอกกล่าวแต่ในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าหากว่าเราสร้างบุญสร้างกรรมมาไม่เท่ากัน แล้วเราดันไปสร้างด้านที่ไม่ดี ถ้าไม่โดนพวกบรรดา "คอลเซ็นเตอร์" หลอกจนหมดเนื้อหมดตัว ก็โดนหมอดูหลอกให้ไปสะเดาะเคราะห์บ้าง ไปเปลี่ยนชื่อบ้าง สารพัด แล้วแต่ละวิธีก็ล้วนแล้วแต่เสียเงินทั้งนั้น..!

    ทั้ง ๆ ที่ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา โดยไม่ต้องเสียสตางค์ และเป็นการแก้ดวงที่ดีที่สุด แต่พวกเรากลับขี้เกียจ มักง่าย อะไรยากไม่ทำ สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นแทนที่จะรีบแก้ไขด้วยการพัฒนา กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีขึ้น เรากลับไปเปลี่ยนชื่อ ฟังดูแล้วว่ามันใช่หรือไม่ ? เปลี่ยนชื่อให้ตาย ถ้าความประพฤติไม่เปลี่ยน แล้วสิ่งดี ๆ จะเข้ามาได้อย่างไร ?

    จึงเป็นเรื่องพวกเราทั้งหลาย โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรต้องตระหนักให้มากไว้ว่า เรื่องของพระพุทธศาสนา ต่อให้ปฏิบัติไปไม่ถึงพระอริยเจ้า ก็ต้องรักษาพระไตรปิฎกเอาไว้ พูดง่าย ๆ ก็คืออย่านอกคอก เพราะว่าถ้าความนอกคอกของเรา แล้วมีคนเดินตาม..พังแน่ ๆ..! คือถ้านอกคอกเมื่อไร โอกาสที่จะไปได้ดีนั้นก็ยากแล้ว เพราะว่าไม่ว่าโลกไหน ๆ ก็ไม่มีใครที่จะมีความสามารถเสมอกับพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านวางแนวทางเอาไว้แล้ว ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ สรุปลงมาเหลือหนทาง ๘ ประการ ย่อลงมาก็คือแนวปฏิบัติ ๓ อย่าง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครคิดว่าจะหาทางใหม่ที่จะเก่งกว่าพระพุทธเจ้าได้ เราก็ปล่อยท่านไปเถอะ เอาที่ท่านสบายใจก็แล้วกัน เดี๋ยวตอนตายก็รู้เองว่าจะไปพบกันข้างบนหรือข้างล่าง..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...