เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 4 กุมภาพันธ์ 2025 at 19:59.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,459
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,627
    ค่าพลัง:
    +26,486
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,459
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,627
    ค่าพลัง:
    +26,486
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ มาลาเรียมาตามนัด..! ด้วยความที่วันนี้ต้องประชุมคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ โดยเฉพาะวาระที่สำคัญที่สุดก็คือ การจัดงานประจำปีปิดทองรอยพระพุทธบาท และทำบุญอุทิศอดีต ๗ เจ้าเมืองหน้าด่าน ซึ่งต้องการความชัดเจนจากคณะกรรมการทุกฝ่ายว่า เรื่องของงานในหน้าที่รับผิดชอบของแต่ละฝ่ายไปถึงไหนกันบ้าง เพราะว่าเหลือเวลาแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ในเมื่อเจองานหนัก ไม่ได้พักผ่อน ช่วงนั้นมาลาเรียจึงลงกระเพาะ หลายท่านก็จะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพประชุมไปก็เดินเข้าส้วมไป..!

    ความจริงมาลาเรียลงกระเพาะจะอาเจียนเป็นหลัก พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านอาเจียนเวลา ๔ โมงเย็นทุกวัน อาเจียนทีเป็นกระโถน ๆ แล้วท่านก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นมาลาเรียลงกระเพาะ ท่านแค่คิดว่าเป็นไข้ธรรมดา เนื่องเพราะว่าท่านไม่ได้เข้าป่ามาเกิน ๓๐ ปีแล้ว แต่ด้วยความที่เชื้อมาลาเรียพอฝังอยู่ในตัวของเรา ถ้าพักผ่อนไม่พอ หรือว่าอากาศเปลี่ยนก็จะอาละวาด..!

    กว่าที่วาระกรรมของท่านจะหมดลง แล้ว "พระ" สามารถบอกได้ว่าต้องใช้ยาอะไรรักษา ก็ลากยาวมาถึงจนก่อนท่านมรณภาพแค่ปีเศษ ๆ เท่านั้น พอรักษาหายจากมาลาเรีย ร่างกายของท่านก็บวม ๆ ยุบ ๆ อยู่ ๓ - ๔ วาระ แล้วก็มรณภาพ พูดง่าย ๆ ก็คือหมดโรคก็หมดอายุไปด้วย..! ทำเอาบุคคลที่ประมาท ไปคิดว่าหลวงพ่อท่านจะอยู่ ๑๒๐ ปี "ร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า" ไปตาม ๆ กัน..!

    โดยเฉพาะบรรดาพระในวัด ๒๐ พรรษา ๑๐ กว่าพรรษา เสียเวลามานั่งร้องห่มร้องไห้ เพราะว่าไม่ยอมเร่งรัดกำลังใจตนเอง ปล่อยให้กระผม/อาตมภาพที่ตอนนั้นเพิ่งจะ ๗ พรรษาต้องกลายเป็นหลักของวัด..!

    กระผม/อาตมภาพเป็นมาลาเรียตั้งแต่ตอนอายุ ๒๒ ปี แต่ด้วยความที่เป็นคนหนุ่ม ร่างกายแข็งแรง ก็เลยฝืนไว้ ไม่อาเจียน เพราะรู้ว่าถ้าอาเจียนเมื่อไรจะหมดแรง แล้วโดยปกติพอคนเป็นมาลาเรียลงกระเพาะก็จะกินอะไรไม่ได้ เพราะว่าอาเจียนออกมาหมด กระผม/อาตมภาพก็ยัด ๆ ๆ ๆ เข้าไป แล้วก็กลั้นไว้ ไม่ให้อาเจียน..!

    ด้วยความที่แข็งแรงมาก สามารถกลั้นอยู่ ไม่อาเจียน ก็เลยไปลงกระเพาะด้วยวิธีถ่ายแทน ตั้งแต่นั้นมา พอเป็นมาลาเรียลงกระเพาะ ก็จะต้องวิ่งเข้าส้วมเป็นปกติ ใครที่รับเชื้อมาลาเรียต่อจากกระผม/อาตมภาพ ก็จะเกิดอาการเดียวกัน เพราะว่าเชื้อพัฒนาไปแล้ว แล้วด้วยความที่โดนเชื้อมาลาเรียทั้ง ๒ ชนิด ก็คือขึ้นสมองและลงกระเพาะ ซึ่งผลัดกันทำงาน พอลงกระเพาะเสร็จก็ขึ้นสมอง ขึ้นสมองเสร็จก็ลงกระเพาะ แล้วพวกนี้มารยาทดีมาก ก็คือตอกบัตรทำงานตามเวลา นอกเวลาไม่ทำ..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,459
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,627
    ค่าพลัง:
    +26,486
    เพราะฉะนั้น..พวกท่านจะเห็นว่า ระยะหลัง ๆ ถ้าไม่ใช่งานสำคัญจริง ๆ กระผม/อาตมภาพแทบจะไม่ออกงานกลางคืนเลย เพราะว่าเป็นช่วงที่มาลาเรียกำเริบ ไม่อยากต้องไปนั่งทนลำบากอยู่ในงานของเขา เพราะว่าต้องฝืนกิริยาเอาไว้ อย่างเมื่อวานพวกท่านก็เห็นว่ากระผม/อาตมภาพนั่งไม่ติดเลย พอถึงเวลาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนเสร็จ ก็ต้องวิ่งกลับไปฉันยาแล้วรีบนอน นึกว่ารอดแล้ว..ที่ไหนได้..วันนี้โดนอีก..!

    ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า เรื่องของความเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นแค่เศษกรรมจากปาณาติบาตเท่านั้น เพราะว่าส่วนใหญ่ต้นทุนเราไปชดใช้ในอบายภูมิมาแล้ว ท่านลองคิดดูว่าถ้าลงนรกไป จากขุมใหญ่ขึ้นมา ไม่ว่าจะขึ้นทิศใดทิศหนึ่งก็ตาม ก็จะเจออุสสุทนรก ๔ ขุมรออยู่ จากอุสสุทนรก ๔ ขุมที่รออยู่ ไม่ว่าท่านจะขึ้นมุมใดมุมหนึ่งก็ตาม จะเจอยมโลกีย์นรกอีก ๑๐ ขุมรออยู่ เขาเก็บกันเป็นชั้น ๆ แบบนี้ยังไม่หมดเลย กรรมที่เหลือยังต้องมาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานตามจำนวนที่เราฆ่า แล้วพอมาเกิดเป็นมนุษย์ เศษกรรมก็ยังตามมาสนองอีก

    ถ้าเรื่องปาณาติบาตก็เจ็บไข้ได้ป่วย อายุสั้นพลันตายเป็นปกติ

    ถ้าหากว่าเป็นกรรม
    อทินนาทาน ก็จะสูญเสียทรัพย์สินด้วยน้ำท่วม ไฟไหม้ ลมพัด แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด จะต้องเอาสักอย่างหนึ่งจนได้..!

    ถ้าเป็นกรรมของ
    กาเมสุมิจฉาจาร เป็นคนหาความเชื่อถือไม่ได้ พูดอะไรไม่มีใครฟัง ถึงฟังก็ไม่สนใจ ดูท่ากระผม/อาตมภาพจะมีกรรมตรงนี้เยอะหน่อย พูดอะไรไปพวกท่านไม่ค่อยจะสนใจกัน..!

    ถ้าหากว่าเป็นกรรมของ
    มุสาวาท ก็จะโดนเขาหลอกลวง สูญเสียผลประโยชน์กันมาก ๆ อย่างประมาณโดน "คอลเซ็นเตอร์" เขาหลอก ทั้ง ๆ ที่บางคนจบแพทย์มาแท้ ๆ ไอคิวอยู่ในระดับสุดยอดของประเทศ แต่โดนหลอกไปที ๒๐๐ - ๓๐๐ ล้านบาท เหลือเชื่อว่าเศษกรรมจะทำให้เป็นไปขนาดนั้น

    ถ้าหากว่าเป็นเศษกรรมของ
    สุราเมรย ก็เป็นอันว่า มีโรคปวดหัวเป็นประจำ ถ้าหากว่าเมามากกว่านั้น ก็โรคประสาทรับประทาน คิดแล้วคิดเล่าไม่รู้จักเลิก คิดจนกระทั่งบางคนน้อยใจ ซึมเศร้า ฆ่าตัวตายไปเลยก็มี ถ้าหากว่าประเภทเมาเช้ากลางวันเย็น หัวไม่วางหางไม่เว้น เมาได้ตลอดวันก็บ้าไปเลย ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่านั่นเป็นแค่เศษกรรมเท่านั้น..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,459
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,627
    ค่าพลัง:
    +26,486
    คราวนี้การที่แต่ละชาติซึ่งเราเกิดมา เศษกรรมทั้งหลายเหล่านี้จะตามสนองอยู่ตลอดเวลา ยังโชคดีที่ว่าเราไม่ได้สร้างกรรมอย่างเดียว แต่ว่าสร้างบุญกุศลเอาไว้ด้วย เมื่อถึงเวลาก็มีผ่อนหนักเป็นเบาบ้าง ไปรับในส่วนที่ดีบ้าง กลายเป็น "ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน" แต่สำหรับกระผม/อาตมภาพแล้วน่าจะชั่วเป็นร้อยที ดีเป็นร้อยหน คือเผลอเมื่อไร โรคภัยไข้เจ็บก็รับประทาน เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางตั้งแต่ตี ๓ ครึ่ง

    โรคมาลาเรียนี่แสลงหนักอยู่ ๒ เรื่อง เรื่องแรกก็คือ
    อากาศที่เปลี่ยนแปลง เรื่องที่ ๒ ก็คือพักผ่อนไม่พอ คราวนี้จะพักก็ไม่ได้ อย่างเมื่อครู่นี้กว่าจะออกมาได้ ท่านทั้งหลายทำวัตรรอบแรกเกือบเสร็จแล้ว ก็เพราะว่ากระผม/อาตมภาพต้องไปทำหนังสือขอความอนุเคราะห์จากหน่วยงานต่าง ๆ มีการขอนักแสดง คือขอไปไม่มาก แค่ ๒๐ กว่าเกือบ ๓๐ หน่วยงาน ขอรถรับส่งนักแสดง

    คราวนี้การขอก็ต้องขอให้มีเทคนิค ก็คือขอความอนุเคราะห์รถรับส่งนักแสดง พร้อมด้วยพลขับและน้ำมันเชื้อเพลิง..! ทางด้านหน่วยงานเขาจะได้ "จำหน่าย" คำว่าจำหน่ายในภาษาของราชการก็หมายถึงจ่ายออกไป
    "จำหน่าย สป." คือ จำหน่ายสิ่งอุปกรณ์ ได้แก่ส่วนควบของรถยนต์คันนั้น อย่างเช่นว่าน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น เหล่านี้เป็นต้น

    ขอน้ำดื่ม เขื่อนวชิราลงกรณซึ่งปกติขอได้ไม่จำกัด ตอนนี้ขอได้เต็มที่งานละไม่เกิน ๗๐๐ ขวด..! น่าจะเกิดจากว่ามีคนขอมาก ๆ แล้วเอาไปจำหน่ายกระมัง ? ส่วนของเทศบาลตำบลทองผาภูมิของเราให้ ๒,๐๐๐ ขวด ส่วนที่เหลือก็ต้องไปขอจากหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ ๑๑ ตัวย่อคือน พค.๑๑ ถามว่าของเราเองก็มีเยอะแยะ ทำไมต้องไปขอเขาด้วย ? อะไรขอได้ให้ขอเอาไว้ก่อน ของเราเองเก็บสำรองเอาไว้ ยังไม่รู้ว่าแล้งปีนี้จะยาวนานแค่ไหน ถึงเวลาคนอื่นมาขอ เราจะได้มีให้เขาบ้าง

    เรื่องพวกนี้เป็นที่น่าหนักใจว่านอกจาก
    สภาพเศรษฐกิจตกสะเก็ด เงินทองหายาก ข้าวของแพงแล้ว ถึงเวลาหน้าแล้งก็แล้งหนัก ถึงเวลาหน้าฝนก็ท่วมหนัก สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลควรจะแก้ไขเป็นอย่างยิ่งเลยก็คือบริหารจัดการน้ำให้ดี ท่านทั้งหลายเชื่อไหมว่า ตั้งแต่ปี ๒๕๕๔ มาถึงตอนนี้ ๑๔ ปีผ่านไป การบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด ด้วยการเปิดเขื่อนภูมิพลระบายน้ำออก เพื่อที่จะได้รับน้ำใหม่ เนื่องจากว่าน้ำท่วมตลอดทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่ภาคเหนือ จนป่านนี้เขื่อนภูมิพลยังสำรองน้ำได้ไม่เท่าเดิมเลย ทั้งที่ผ่านไปแล้ว ๑๐ กว่าปี..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,459
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,627
    ค่าพลัง:
    +26,486
    ถ้าท่านทั้งหลายสงสัยว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ? ลองไปถามเจ้าหน้าที่เขื่อนดูว่า ท่านจะได้รับคำตอบเดียวกับที่กระผม/อาตมภาพบอกหรือเปล่า เขื่อนภูมิพลความจริงถ้าไม่ใช่ที่ตรงนั้นเหมาะสมที่สุด ก็ไม่น่าสร้างเลย เพราะว่าบริเวณนั้นเป็นบริเวณที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า rain shadow อยู่ใต้เงาฝน พอความชื้นโดนพัดพามา เมฆโดนพัดพามา จะเหินข้ามภูเขาตรงบริเวณนั้นไปหมด ฝนตกก็ติดอยู่อีกฟากเขาหนึ่ง มาไม่ถึงฝั่งนี้ ก็แปลว่าถ้าน้ำจากที่สูงกว่าจังหวัดตากไม่ไหลลงมาให้ เขื่อนภูมิพลก็ไม่มีน้ำ..!

    แต่ด้วยความที่เป็นเขื่อนแรกของประเทศไทย การชลประทานของเราให้สุดยอดขนาดไหนก็ตาม จากความที่ไม่มีประสบการณ์ ดูแต่สถานที่เหมาะสมในการสร้าง ทำให้เขื่อนแข็งแรงพอที่จะรับปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลได้ เขาก็ตกลงใจว่าสร้างตรงนี้แหละ กว่าจะรู้ก็ผ่านไปหลายปี ฝนมาทีไรเลยหัวไปทุกที ดังนั้น..
    การบริหารจัดการน้ำเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งทุกรัฐบาลควรที่จะให้ความสนใจ เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าหน้าแล้ง สามารถที่จะผันน้ำแจกจ่ายให้ทุกคนได้ หน้าฝนสามารถระบายน้ำได้ทัน แค่สองอย่างนี้ชาวบ้านก็อยู่เย็นเป็นสุข ไพร่ฟ้าหน้าใสกันแล้ว

    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ โครงการส่วนใหญ่ของท่านก็คือเรื่องน้ำ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรง
    "ทันฟืนทันไฟ" ทันเหตุการณ์มาก พระองค์ท่านบอกว่า "พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันต้องเป็นป่า" เนื่องเพราะว่าจะมีน้ำได้ ต้องมีป่า พระองค์ท่านจึงมีสารพัด โครงการป่ารักน้ำ โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ฯลฯ

    เรื่องดี ๆ เหล่านี้รัฐบาลของเราทำไม่เป็น เป็นแต่แจกเงิน..! น่าสงสารมาก เงินที่แจกลงไปต่อให้กี่แสนล้านบาทก็ตาม เหมือนกับโยนก้อนกรวดก้อนเดียวลงทะเล กระเพื่อมนิดหนึ่งก็หายไปแล้ว แต่ก็ยังดีสำหรับผู้ที่ติดหนี้นอกระบบ อย่างน้อย ๆ ก็มีให้เจ้าหนี้ได้ทวงสักหน่อยหนึ่ง ส่วนไอ้ที่เหลือไม่ต้องไปหวัง..!

    ภาษิตจีนเขาบอกว่า "น้ำจอกเดียวไม่สามารถดับไฟทั้งคันรถได้" สมัยก่อนเขาทำสงคราม เอาฟืนเอาฟางสุมไปบนเกวียน เสร็จแล้วก็จุดไฟ เข็นเข้าไปเผาเมืองกัน เพราะฉะนั้น..ถ้ามีน้ำถ้วยเดียวย่อมดับไฟไม่ได้อยู่แล้ว..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,459
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,627
    ค่าพลัง:
    +26,486
    ในส่วนที่สำคัญของบ้านเราเมืองเรา ถ้ากระผม/อาตมภาพเป็นรัฐบาลเอง ก็จะแก้ไขเรื่องปัญหาปากท้องประชาชนเป็นอันดับ ๑ เรื่องการศึกษาเด็กเป็นอันดับ ๒ ส่วนอื่นช้ากว่านั้นได้ เพราะว่าทุกวันนี้เด็กไทยของเราเรียนภาษาไทย แต่เขียนภาษาไทยไม่ถูก พูดภาษาไทยไม่ชัด ตกกระทั่งภาษาไทย..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าระบบการศึกษาบ้านเรา เหมือนอย่างกับเป็นระบบทดลอง ใครมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ "กูจะต้องของขึ้น" หาหลักสูตรใหม่ ๆ หาวิธีการใหม่ ๆ มาให้เด็กเรียนกัน แล้วเขายังลดการเรียนการศึกษาลงไปเรื่อย..!

    ในเรื่องของการศึกษา คุณจะไปหวังว่าเขาจะไปศึกษานอกห้องเรียน ไม่ต้องหวัง ในเมื่อลดเวลาการศึกษาในห้องเรียนไปเรื่อย คุณภาพการเรียนของเด็กเราก็ด้อยลงไปเรื่อย เนื่องเพราะว่าล่าสุด ไอ้ที่เขาว่าใช้ระบบ
    "ควายเซ็นเตอร์" เอาเด็กเป็นศูนย์กลาง แล้วเด็กที่ไหนไม่อยากสบายบ้าง ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ถ้าเป็นโรงเรียนที่เข้มงวด เก็บค่าเล่าเรียนแพง ๆ พ่อแม่ก็ยอมสู้ หวังให้ลูกตัวเองเก่ง ส่วนที่เหลือทั่ว ๆ ไปก็แล้วแต่เวรแล้วแต่กรรม..!

    รู้สึกวันนี้กระผม/อาตมภาพป่วยจนเพ้อแล้ว..! เพราะว่าไปยุ่งไอ้เรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่ว่าโยมที่เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการท่านหนึ่ง ถึงเวลาก็มากราบ มาไหว้ มาขอความคิดเห็น กระผม/อาตมภาพก็บ่นไปทุกครั้ง ไม่รู้เอาไปกรอกหูท่านรัฐมนตรีได้สักเท่าไร เพราะฉะนั้น..วันนี้ก็อาศัยบ่นผ่านบันทึกเสียงธรรมนี่แหละ เผื่อที่จะไปเข้าหูท่าน จะได้ทำงานกันเป็นบ้าง..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...