เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 เมษายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ตอนนี้สามเณรภาคฤดูร้อนของวัดท่าขนุนเริ่มจะอยู่ยาก เนื่องเพราะว่าทางมูลนิธิโพธิปัญญา เขาทำโครงการหน่อโพธิปัญญาสู่พุทธภูมิ มาเล็งเอาสามเณรวัดท่าขนุน อยากจะได้ไปเที่ยวอินเดีย เพราะว่าพวกเรา "ผักชีโรยหน้า" ได้สวยมาก

    เขาเห็นว่าสามเณรวัดท่าขนุน ไม่ว่าจะยืน จะนั่ง เป็นระเบียบเรียบร้อยไปหมด ก็เลยอยากได้สัก ๒๐ รูปไปร่วมโครงการ ก็คือช่วงปลายเดือนเมษายนกับต้นเดือนพฤษภาคม เขาจะมีการบวชอีกรอบหนึ่ง เพื่อร่วมปฏิบัติธรรมแล้วก็คัดตัว หลังจากนั้นเดือนตุลาคมก็จะส่งไปอินเดีย

    กระผม/อาตมภาพบอกกับผู้ติดต่อมาว่า "สามเณรวัดท่าขนุนมีไม้เรียวเป็นเครื่องกำกับ" เขาตกใจ ถามว่า "มีตีเด็กด้วยหรือ ?" บอกว่า "มี..ตีจริง ๆ ด้วย" วัดท่าขนุนยังเชื่อความศักดิ์สิทธิ์ของไม้เรียวอยู่..! ดังนั้น..สามเณรทุกรูป ก่อนที่จะมาบวชต้องรู้อยู่แล้วว่าทำผิดทำพลาดเมื่อไรก็โดน..! ไม่ถึงสามวันก็จะเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ แต่เสียดายที่เรียบร้อยได้ไม่ตลอด

    คราวนี้พวกเราจะยืน จะนั่ง จะเดินจงกรม พอถ่ายรูปออกไป เขาเห็นว่าสวย ก็เลยอยากได้ แปลว่ายังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของสามเณร..ใช่ไหม ? แต่
    กระผม/อาตมภาพได้บอกไปแล้วว่า "สามารถที่จะมาดูด้วยตนเองได้ แต่ถ้าต้องการสามเณร ให้ติดต่อกับพ่อแม่สามเณรโดยตรง" และโดยเฉพาะสามเณรของเราส่วนหนึ่งเป็นเด็กที่ไม่มีบัตรไทย ถ้าถึงขนาดจะพาไปอินเดีย น่าจะไปกันไม่ได้ หรือเขาอาจจะมีวิธีการอย่างไรก็ต้องแล้วแต่เขา ทางวัดแค่อนุญาตให้มาดู ชอบใจใครต้องไปขอกับพ่อแม่เอาเอง

    สมัยนี้เรื่องของสื่อโซเชียลเร็วแล้วก็แรงมาก เราเพิ่งจัดโครงการบวชนี่เป็นแค่วันที่สองเท่านั้น กลายเป็นที่จับตาดูของที่อื่นแล้ว เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเขาจะปล่อยสามเณรตามใจ ไม่มีการปฏิบัติธรรม ไม่มีการเรียนวิชาการ ไม่มีการทัศนศึกษา ก็เลยค่อนข้างที่จะเละเทะ ฟังดูแล้วของเราก็น่าภูมิใจนะ..!

    แต่หลวงพ่อกลัวอยู่อย่างเดียว ถ้าเขารับไปปีนี้ แล้วปีหน้าเข็ด..! ไม่เอาอีกเลย..ใช่ไหมเณร ? รับไปปีเดียวแล้วไม่รับอีกนี่เสียชื่อนะ ความจริงการไปประเทศอินเดียช่วงเดือนตุลาคมน่าจะลำบากหน่อย เพราะว่าอากาศเริ่มหนาว แต่ถ้าหากว่าพ่อแม่คนไหนเต็มใจให้ลูกไป เดี๋ยวก็คงจะไปติดต่อกันเอง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    คราวนี้มากล่าวถึงเรื่องที่ว่า ตอนนี้สื่อต่าง ๆ ทำให้เรื่องราวไปได้เร็วมาก แล้วหลายสื่อก็ไร้จรรยาบรรณสิ้นดี อย่างเช่นว่าเหตุเกิดที่วัดไหนก็ตาม จะใช้คำว่า "วัดดัง" กระผม/อาตมภาพอยู่ในวงการสงฆ์มาเกิน ๔๐ ปีแล้ว ยังไม่รู้จักวัดนั้นเลย แต่เขาก็บอกว่า "วัดดัง"

    เมื่อวานนี้มีพาดหัวข่าวว่า "ถูกพระข่มขืนเมียจนกระทั่งมีลูก แล้วสึกมาขอลูกคืน แถมยังข่มขู่จะทำร้ายสามีเดิมอีก..!" กระผม/อาตมภาพได้ยิน หรือได้เห็นพาดหัวแล้วอยากจะทุบให้สักที ก็เขาสึกออกมาแล้ว ดันใช้คำว่า "พระ" จะเรียกว่า "อดีตพระ" หรือจะเป็น "ไอ้ทิด" อะไรก็ได้ ซึ่งจะตรงกับความเป็นจริงมากกว่า แล้วบุคคลนั้นก็ทำงาน น่าจะเป็นมูลนิธิกู้ภัยอะไรสักอย่างหนึ่ง เมื่อไปขอลูกคืน แล้วก็ยังมีการข่มขู่สามีเก่าเขาอีก..!

    ในเรื่องที่บอกว่าพระไปข่มขืนผู้หญิงจนตั้งท้อง กระผม/อาตมภาพไม่ค่อยเชื่อหรอก เนื่องเพราะว่าการจะข่มขืนผู้หญิงเป็นเรื่องยากสุด ๆ ถ้าไม่ใช่ทุบกันจนหมดสภาพแล้วข่มขืนไม่ได้หรอก เหมือนอย่างกับที่เขามีตัวอย่าง ที่ทนายซักถามฝ่ายโจทก์ว่า "ผู้ชายที่คุณบอกว่าข่มขืน ตัวใหญ่ขนาดนั้น น้ำหนักร้อยกว่ากิโลกรัม
    ทับอยู่ข้างบนคุณไม่แบนเสียก่อนหรือ ?" แล้วผู้หญิงก็บอกว่า "หนูเป็นฝ่ายอยู่ข้างบน"..!

    ศาลตัดสินให้ผู้หญิงที่เป็นโจทก์แพ้ เพราะผู้ชายอยู่ข้างล่าง ไม่สามารถที่จะข่มขืนผู้หญิงที่อยู่ข้างบนได้ ดังนั้น..เรื่องนี้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในลักษณะไหนก็ตาม แต่ถ้าหากว่าสื่อออกไปในลักษณะนั้น ที่เสียหายก็คือพระศาสนา

    แล้วอีกเรื่องหนึ่ง ที่บรรดาเพื่อนฝูงส่งมาก็คือ ได้ยินว่าเป็นภาพยนตร์ซีรีส์ชุด "สาธุ" บอกว่าสร้างได้ดีมาก ปอกเปลือกวงการพุทธพาณิชย์อย่างถึงแก่น ดาราก็เล่นดีถึงบทบาททุกคน กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่นั่งเซ็ง เพราะเพื่อนฝูงเขาไม่รู้ว่ากระผม/อาตมภาพไม่ดูหนัง ไม่ดูละคร มาตั้งแต่ปี ๒๕๒๖ แล้ว มาถึงปีนี้ก็ ๔๑ - ๔๒ ปีเข้าไปแล้ว แล้วจะให้กูไปดูซีรีส์ มันน่า "โบก" ไหม..?!

    ที่ขำที่สุดก็คือก่อนหน้านั้นที่วัดเรายังมีสามเณรอยู่ ก็คือ "เจ้าหนูผี" "เจ้าชายเล็ก" ซึ่งไอ้ชื่อพวกนี้ ต้องบอกว่าพระเขาเรียกกันจนกระทั่งลืมชื่อจริงไปแล้ว ช่วงนั้นมีโยมที่ถวายจอแอลซีดี สำหรับคอมพิวเตอร์ขนาด ๒๒ นิ้วมาให้กระผม/อาตมภาพใช้งาน ไอ้เจ้าเณรสองรูปก็วนไปวนมาอยู่รอบข้าง ปกติไม่ได้เห็นหัวหรอก วันนั้นประมาณว่าหลวงพ่อจะเรียกใช้อะไรบ้าง พอไม่เรียกใช้ก็เล่นกันอยู่ใกล้ ๆ ไม่ไปไหน
    จนกระผม/อาตมภาพก็ยังแปลกใจ

    จนกระทั่งใกล้เพล ทั้งสองเณรก็ออกจากสำนักงานเจ้าอาวาสไป กระผม/อาตมภาพได้ยินไปคุยอยู่ด้านนอก บอกว่า "หลวงพ่อไม่ดูหนังจริง ๆ ว่ะ พวกเราอดดูกันเลย" ก็คือเขาเห็นจอคอมพิวเตอร์ใหญ่ ๆ น่าจะฉายหนังได้อย่างสะใจมาก ก็จะมาขอร่วมดูด้วย เฝ้าอยู่เกือบครึ่งวัน ไม่เห็นหลวงพ่อดูอะไรเลย นอกจากพิมพ์งาน..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    ท่านทั้งหลายที่อยู่กันเก่า ๆ ก็จะเห็นว่า ทันทีที่เป็นเจ้าอาวาส กระผม/อาตมภาพก็ประกาศกฎเหล็กเลยว่า "วัดท่าขนุนห้ามมีทีวี" เพราะว่าทั้งสามเณร แม่ชีและเด็กวัด ไม่ทำงานทำการอะไรทั้งนั้น นอนเฝ้าหน้าจอกันหมด แล้วจากวันนั้นจนบัดนี้ วัดเราก็ไม่มีทีวี แต่ว่าช่วงหลังโทรศัพท์มือถือมีมากขึ้น ก็มีคนดูหนังจากโทรศัพท์มือถือ อันนั้นต้องบอกว่าเขาทำตัวเขาเอง ก็คือเรารู้อยู่ว่า เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่พระเราควรจะทำ

    ต่อให้เป็นหนังทั่วไป หรือว่าหนังสารคดีก็ตาม ก็เป็นความบันเทิงประเภทหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับยาพิษ พอเรารับเข้าไปแล้ว ก็อยากจะรับอีก สิ่งที่เราพยายามสร้างสมมา จะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ก็พังบรรลัยหมด..! แล้วพอท้ายสุดก็จะฟุ้งซ่านอยู่ไม่ได้ หรือไม่ก็อย่างหลายวัด คือดูหนังโป๊กันครึกครื้นไปเลย..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การที่กระผม/อาตมภาพตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ก็คือไม่ให้มีโทรทัศน์ไปเลย เรื่องนี้ถ้าหากว่าไปบอกกล่าวข้างนอก ทุกวัดก็จะงงกันหมด เพราะว่าหลายวัดมีโฮมเธียเตอร์ด้วย..! มีอยู่วัดหนึ่งมีสามเณรเรียนบาลีนักธรรมอยู่ ๒๐ กว่ารูป มีจอคอมพิวเตอร์ให้สามเณรเล่นเกมส์กันทุกรูป ครบถ้วนเลย เปิดเป็นห้องเกมส์โดยเฉพาะ กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้คัดค้าน อยากจะทำอะไรก็ทำไป นั่นวัดของคุณ คุณมีอำนาจ แต่ถ้าเป็นวัดผมไม่มีอย่างนี้..!

    เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า เรื่องของพระธรรมวินัย ถ้าเราตึงไว้ก่อน ถึงเวลาหย่อนก็จะพอดี แต่ถ้าหากว่าไปหย่อนแต่แรก พอเราผ่อนก็จะยาน ความเป็นระเบียบวินัยก็จะไม่มีเหลือ..!

    ท่านจะเห็นว่าหลายต่อหลายแห่งที่เป็นสำนักเรียน พระภิกษุสามเณรเขากินอาหารเย็นกันเป็นปกติ ครูบาอาจารย์ใช้คำว่า "พระเรากินอาหารเย็น แค่ต้องอาบัติปาจิตตีย์เท่านั้น กินให้อิ่มแล้วไปปลงอาบัติ ก็จบแล้ว..!"
    ลักษณะนี้คือการสอนลูกศิษย์ให้เป็นมิจฉาทิฏฐิ..!

    การที่เราละเมิดในสิ่งที่พระพุทธเจ้าห้าม ไม่ผิดนั้นไม่มี และโดยเฉพาะความผิดที่หนักที่สุดก็คือ รู้แล้วขืนทำ พูดง่าย ๆ ว่าใจด้านหน้าด้าน รู้ว่าผิดก็ยังจะทำ ลักษณะอย่างนั้น คุณอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าเดี๋ยวก็ไปละเมิดอาบัติที่หนักกว่านั้นได้

    ดังนั้น..ในเรื่องของการขัดเกลาตนเอง อย่าได้ผ่อนเป็นอันขาด จะผ่อนปรนก็ผ่อนปรนกับคนอื่น แต่ให้เข้มงวดกับตนเอง อยู่คนเดียว ทำตัวเหมือนอย่างกับอยู่ต่อหน้าเพื่อนฝูงทั้งวัด คือต้องระมัดระวังไว้เอาไว้ อย่าละเมิดศีล อยู่กับเพื่อนฝูงทั้งวัด ต้องทำตัวเหมือนกับอยู่คนเดียว คือทรงสมาธิอยู่กับความสงบให้ได้ ถ้าใครทำไม่ถึงตรงนี้ ขอบอกว่าอยู่ยาก..!

    ส่วนสามเณร
    กระผม/อาตมภาพไม่ได้หวังอะไรหรอก แค่บุญกุศลที่ตัวเองได้เดินจงกรม ได้ภาวนา ได้สวดมนต์ทำวัตร ได้บิณฑบาต ได้ช่วยทำความสะอาดวัด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นการขัดเกลาในเบื้องต้น และเป็นบุญกุศล ต่อไปถ้าหากว่าสึกหาลาเพศไป อย่างน้อยผลบุญนี้ก็ช่วยให้ทางชีวิตของตนเองสะดวกกว่าคนอื่น

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...