เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 17 มิถุนายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_5808.jpeg
      IMG_5808.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      252.4 KB
      เปิดดู:
      60
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ มีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ เป็นการกระทบกระทั่งกันในการทำงาน แต่ถ้าเราคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย อาจจะกลายเป็นสะเก็ดไฟนิดเดียว แล้วก็เผาผลาญป่าทั้งป่าได้..!

    กระผม/อาตมภาพเองจึงต้องเข้าไประงับเรื่อง โดยต้องยกตัวอย่างว่า "แม้แต่ตัวกระผม/อาตมภาพเองก็โดนมาเยอะแล้ว" ก็คือบุคคลในโลกจะมีอยู่ไม่กี่จำพวก แต่จำพวกที่น่ารังเกียจก็คือประเภท "ดีแต่พูด งานไม่ทำ" แล้วแถมยังอยู่ในประเภท "ลูกอีช่างติ" กูติคนอื่นได้ทุกเรื่อง แต่ไม่เคยดูตัวเอง ลูกตัวเองเป็นอย่างไรไม่ดู แต่ไปดูว่าทำไมเพื่อนไม่คุยกับลูก ไม่เล่นกับลูก เรื่องเดียวกันหรือเปล่า..!? ไม่น่าจะเกี่ยวกัน..ใช่ไหม ?

    ไม่ว่าจะในขณะที่เป็นฆราวาสหรือมาเป็นพระ ตอนเป็นฆราวาสพวกท่านไม่ได้เห็น แต่ตอนเป็นพระพวกท่านเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า กระผม/อาตมภาพคนเดียวแบกตำแหน่งไว้ ๓๐ กว่าตำแหน่ง ก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน ก็คือผู้บังคับบัญชาไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือพระก็ตาม ถ้าเห็นว่าใช้ใครแล้วได้อย่างใจ ก็อยากจะใช้แต่คนนั้น

    ตอนที่ยังอยู่ที่วัดท่าซุง ๔ พรรษาสุดท้ายก่อนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ จะมรณภาพ เรื่องภายในวัดท่านแทบจะใช้กระผม/อาตมภาพอยู่คนเดียว แล้วก็โดนเหมือนกับอาจารย์ที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์โดน ก็คือ "มันเป็นเด็กเส้น ทำอะไรก็ไม่ผิด" ซึ่งความจริงเราต้องดูด้วยว่าสิ่งที่เราทำกับสิ่งที่เขาทำนั้นต่างกันอย่างไร ?

    พอถึงเวลาเข้าเวรหน้าห้องพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพก็เปิดหาเพลงฟัง เปิดหามวยดู เปิดหาฟุตบอลดู สนุกสนานจนคนอื่นมาร่วมดูด้วย แต่ถ้าคนอื่นเปิดเมื่อไรก็หัวแตกเมื่อนั้น..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะจริง ๆ แล้วกระผม/อาตมภาพกำลังทดสอบกรรมฐานของตนเอง

    ในเรื่องของเสียงเพลงนั้น ในชีวิตนี้
    กระผม/อาตมภาพแพ้เสียงผู้หญิงอยู่ ๓ คน ก็คือ คุณวงจันทร์ ไพโรจน์ นั่นรุ่นแม่เลย คุณลัดดาวัลย์ ประวัติวงศ์ ท้ายสุดก็คุณสุนทรี เวชานนท์ ฟังแล้วเสียงติดหู สลัดทิ้งไม่ได้ง่าย ๆ จึงใช้วิธีเปิดหาเพลงของทั้งสามคนนี้ฟังแล้วภาวนาสู้ โดยที่พยายามดูว่า วันนี้เราสามารถยืนระยะได้มากกว่าเมื่อวานหรือเปล่า ? แต่เปลือกนอกสำหรับคนอื่นก็คือ "ไอ้ห่..นี่ดูแต่คาราโอเกะทั้งวัน..!"

    ถึงเวลามีมวยชกกัน
    กระผม/อาตมภาพก็พยายามซ้อมมโนมยิทธิ ดูว่ามวยคู่นี้ใครแพ้หรือชนะ ? ชนะน็อคหรือชนะคะแนน ? ถ้าชนะน็อคเขาชนะกันยกไหน ? แล้วก็เขียนผลการแพ้ชนะเอาไว้ก่อน จากนั้นก็เปิดโทรทัศน์ดูเพื่อพิสูจน์
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าโทรทัศน์วัดท่าซุงมีอยู่แค่ ๔ เครื่อง ก็คืออยู่ที่ห้องกรรมฐาน ตึกธัมมวิโมกข์ ๒ เครื่อง อยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อเพื่อให้ท่านติดตามข่าวสารบ้านเมือง ๑ เครื่อง อีกเครื่องหนึ่งก็อยู่กับกระผม/อาตมภาพที่เข้าเวร ก็ย่อมมีคนมาเปิดดูในสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ว่าเปิดเมื่อไร พอลงโบสถ์ทบทวนปาฏิโมกข์ หลวงพ่อท่านก็ด่าจมธรณีไปเลย..! "แต่ไอ้ท่านเล็กทำอะไรหลวงพ่อไม่เคยด่า..!"

    ถึงเวลามีฟุตบอลก็จะทายผลไว้ก่อนว่าคู่นี้ใครแพ้ใครชนะ ? หรือว่าเสมอ ถ้าชนะก็ชนะกันกี่ลูก ? แล้วก็เขียนผลแพ้ชนะเอาไว้ เปิดฟุตบอลดู ในเมื่อกระผม/อาตมภาพเปิดดูเท่าไรหลวงพ่อไม่เคยว่า แต่พอคนอื่นเปิดดูแล้วโดนด่า ดีไม่ดีก็ไม้เท้าลงกบาลไปเลย..! เขาก็ไปว่ากล่าวกันว่ากระผม/อาตมภาพ "เป็นเด็กเส้น..ทำอะไรไม่เคยผิด..!"

    ขนาดลงไปไล่ตีชาวบ้านที่ลงมาหาปลาหน้าวัดก็ยังไม่ผิด..! ชาวบ้านยกขบวนมาเรียกร้องกับท่านเจ้าคุณอนันต์ ตอนนั้นก็คือพระอนันต์ พทฺธญาโณ ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นพระครูปลัดด้วย กระผม/อาตมภาพโดนกรรมการสงฆ์สอบสวน แจ้งข้อหาว่าทะเลาะเบาะแว้งกับชาวบ้าน ทำให้วัดเสียชื่อเสียง มีมติให้ขับออกจากวัด..! เมื่อยื่นเรื่องไปเพื่อให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อนุมัติ หลวงพ่อท่านพูดแค่ว่า "มันน่าจะมีคนทำอย่างนี้มานานแล้ว..!"

    กรรมการสงฆ์ทั้ง ๑๒ รูปแตกกระจายหายวับไปคนละทิศคนละทาง บางรูปก็ยังเกรงว่ากระผม/อาตมภาพจะอาฆาตพยาบาทมาเอาคืนหรือเปล่า ? อุตส่าห์ "ทำใจดีสู้เสือ" มาพูดมาคุยด้วย ประมาณว่า "ถ้าผมไม่แก่เกินไป ก็จะลงไปพายเรือกับคุณด้วย..!"

    ความจริงการจะไล่กระผม/อาตมภาพออกจากวัดง่ายจะตายชัก เพราะว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านให้อำนาจไว้เต็มที่สำหรับคณะกรรมการสงฆ์ ท่านบอกว่าถ้า ๒ ใน ๓ ของคณะกรรมการสงฆ์เห็นว่าท่านต้องออกจากวัด ท่านก็ยินดีที่จะไป..! นี่ดันไม่กล้าตัดสินใจ ไปยื่นเรื่องให้หลวงพ่อท่านตัดสินใจเป็นอันดับสุดท้าย ก็จะเจออย่างนั้นอยู่บ่อย ๆ..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    ดังนั้น..บางอย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกไปในกลุ่มไลน์ที่เขากระทบกระทั่งกันว่า "ผมเองโดนมาเยอะแล้ว" ไม่ได้หมายความว่าโดนที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์อย่างเดียว แต่ว่าโดนมาทุกทิศทุกทาง ประสบการณ์ ๑ รุม ๑๐ ก็เจอมาแล้ว..! เขาพยายามที่จะต้อนให้ตกหลุม แต่กลายเป็นว่ากระผม/อาตมภาพอาศัยวิชาที่หลวงพ่อท่านสอน คือมโนมยิทธิ "ในเมื่อรู้ว่ามึงคิดอย่างไร แล้วยังไปตามมึง กูก็โง่ตายห่..!"

    กลายเป็นว่าแทนที่ฝ่ายตรงข้ามจะต้อนกระผม/อาตมภาพให้ตกหลุมได้ กลายเป็นโดนปั่นหัวเสียจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่อย่าลืมว่านั่นคือคณะสงฆ์ เสร็จงานเมื่อไรกระผม/อาตมภาพกราบขอขมาทุกครั้ง การขอขมาก็คือ "เรื่องนี้กูจบ ส่วนใครจะแบกก็เรื่องของมึง..!" ตลอดระยะเวลาที่มีการกระทบกระทั่งกัน จะดูกำลังใจตัวเองเป็นหลักว่า มี รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นหรือไม่ ?

    ดังนั้น..เมื่อส่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อขึ้นมณฑปหลังร้อยวันแล้ว กระผม/อาตมภาพไม่สามารถที่จะอยู่วัดต่อได้ ถ้าอยู่ต่อจะมีปัญหา เพราะว่าเป็นผู้กุมเสียงข้างมากเอาไว้ในมือ เหมือนกับวิปรัฐบาล คนที่เขาต้องการตำแหน่งเขาก็พยายามที่จะแย่งตัว เพราะรู้ว่าเข้าข้างใคร คนนั้นก็ชนะ จึงได้โทรบอกครูบาอาจารย์ ก็คือท่านเจ้าคุณอนันต์ ซึ่งตอนนั้นก็คือพระครูปลัดอนันต์แล้วว่า "ผมอยู่ไม่ได้ ให้ตั้งข้อหาอะไรก็ได้ แล้วขับผมออกจากวัด เพราะว่าพรุ่งนี้ผมจะไปแล้ว"

    ท่านก็ออกปากว่า "ถ้าคุณไปแล้วใครจะช่วยผม" ก็เรียนท่านไปว่า "ประคับประคองกันมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าหากยังยืนเองไม่ได้ กระผมก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรเหมือนกัน ?" แล้วรุ่งขึ้นก็เก็บของออกจากวัดเลย ทั้ง ๆ ที่ท่านบอกว่า "ไปสักเดือนสองเดือนแล้วกลับมาก็ได้" แต่กระผม/อาตมภาพไม่เคยย้อนกลับไปอีกเลย..!

    ถ้าย้อนกลับไปก็จะอยู่ในลักษณะเดิม เนื่องเพราะว่าพอออกมาแล้ว หลวงพ่อพระครูปลัดอนันต์ต้องหาพระถึง ๕ รูปไปทำงานที่กระผม/อาตมภาพเคยทำอยู่คนเดียว..!

    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ถ้าเกิดขึ้น กระผม/อาตมภาพเข้าใจว่าบรรดาน้อง ๆ ที่วิทยาลัยสงฆ์นั้น กำลังใจยังไม่ได้ระดับที่จะวางลงได้ กลายเป็นเก็บกด เมื่อถึงเวลาเจอ "ฟางเส้นสุดท้าย" เข้าก็ระเบิด จึงต้องยกตัวอย่างตัวเองให้เขารู้ประมาณว่า "แม้แต่อาจารย์เล็กยังโดนมาเยอะ ของเอ็งยังจิ๊บ ๆ..!" แต่ก็พูดมากกว่านั้นไม่ได้ เพราะว่าเราเองลาออกมาแล้ว เขาไม่ดีดออกจากกลุ่มไลน์ ก็ถือว่าให้ความเกรงใจมากแล้ว..!

    ดังนั้น..ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็ตาม สิ่งแรกที่ต้องดูไว้ก่อนเลยก็คือกำลังใจของเรา ว่าผ่องใสหรือว่าขุ่นมัว ถ้าหากว่ายินดี เป็นการยินดีมากเกินไปหรือเปล่า ? ถ้าใครที่เคยศึกษาเรื่องสีของจิตก็จะรู้ว่า กำลังใจ รัก โลภ โกรธ หลง แต่ละอย่างนั้น สภาพจิตของเราจะมีสีสันที่ต่างกันไป

    ถ้าหากว่าเป็นเรื่องไม่ดีมากระทบ เราเก็บความขุ่นมัวไว้ยาวนานเท่าไร ? สามารถขับไล่ไปในระยะเวลามากน้อยเท่าไร ? ครั้งต่อไปที่เกิดขึ้นเราใช้ระยะเวลาที่น้อยลงหรือมากขึ้น ?

    ตราบใดท่านทั้งหลายที่ว่าตนเองเป็นนักปฏิบัติธรรม แต่ไม่รู้จักดูที่ตัวเอง ไม่รู้จักแก้ที่ตัวเอง โอกาสที่จะก้าวหน้ามีน้อยมาก กระผม/อาตมภาพบอกพระพี่พระน้องในวัดท่าซุงสมัยนั้นว่า "ใครวางก่อน สบายก่อน" ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นฟังเข้าใจหรือไม่ ?

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...