เร่งรัดทำความดีให้มากที่สุด เพื่อเตรียมพร้อมออกเดินทาง

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 28 พฤษภาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,194
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,510
    ค่าพลัง:
    +26,343
    IMG_2077.jpeg

    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เมื่อวันที่ ๔ ก.ค. ๒๕๖๖

    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ มีข่าวที่น่าเสียใจของคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ก็คือหลวงพ่อจอน (พระอธิการพรพจน์ กิตฺติวณฺโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดดงโคร่ง มรณภาพด้วยโรคมะเร็ง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นท่านไปผ่าตัดและให้คีโม บอกว่าอาการดีขึ้นแล้ว

    กระผม/อาตมภาพก็ย้ำแล้วย้ำอีกกับญาติโยมหลายครั้งว่า เรื่องของมะเร็ง ถ้าหากว่าพูดกันตามแบบของเรา ไม่ใช่แบบของหมอ ก็คือ "มะเร็งนั้นมีตัว" ก็แปลว่าก้อนมะเร็งนั้นเป็นรัง เหมือนกับรังมดหรือว่ารังผึ้ง ถึงเวลาเราไปทำลายรังมดหรือว่ารังผึ้ง มดหรือผึ้งนั้นก็จะแตกฮือออกไป ก็แปลว่าถ้าไม่ได้ทำด้วยความระมัดระวัง จนสามารถกำจัดเชื้อได้หมดจริง ๆ โอกาสตายมีสูงมาก..! เพราะว่าเมื่อเชื้อแตกฮือออกไปทั่วตัว ก็กลายเป็นว่ามีการแพร่ระบาดหนักยิ่งขึ้น

    เรื่องพวกนี้พูดไปแล้วหมอสมัยใหม่มักจะไม่เชื่อ เนื่องเพราะว่าหมอสมัยใหม่ไม่มีความเข้าใจ แม้กระทั่งเรื่องปกติ อย่างเช่นธาตุภายในร่างกายของเรา การเจ็บไข้ได้ป่วยคือธาตุใดธาตุหนึ่งบกพร่อง หมอสมัยใหม่ไม่ได้ศึกษาเรื่องพวกนี้มา ก็จ่ายยาให้มาตามอาการ

    ดังนั้น..หลายเรื่องที่ทางโบราณรักษาได้ แต่ว่าช้าหน่อย เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วยาสมุนไพรให้ผลในการออกฤทธิ์ทีละน้อย เพื่อที่จะรักษาสภาพร่างกายของผู้ป่วยเอาไว้ ไม่ให้กลายเป็นจ่ายยาแรง อยู่ในลักษณะของ "ช้างสารชนกันแล้วหญ้าแพรกแหลกกระจาย" ก็ต้องค่อย ๆ กินยา เพิ่มฤทธิ์ยาขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนฤทธิ์ยามากกว่าก็รักษาโรคนั้นหาย แต่ว่าคนยุคนี้ใจร้อน ใจเร็ว จึงรับเอายาฝรั่ง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีสารเคมีตกค้าง ก่อให้เกิดโรคภัยหรือว่าผลข้างเคียงได้ง่าย

    ในเรื่องของโรคภัยพวกนี้คงไม่ต้องพูดถึง เนื่องเพราะว่าถ้าว่ากันตามตำราแพทย์จีน จะบอกว่า โรคภัยเข้าทางปาก ก็คือส่วนใหญ่เกิดจากเรากินดื่มเข้าไป ในเมื่อขาดความรู้ ขาดความเข้าใจ รักษาสุขภาพไม่เป็น กลายเป็นกินล้น กินเกิน แต่ขาดสารอาหาร..! โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ก็ถามหาได้ง่าย โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ พวกโรคต่าง ๆ ที่ไม่มีการติดเชื้อ อย่างเช่นว่า โรคอ้วน ความดัน ไขมัน เหล่านี้เป็นต้น

    วัดท่าขนุนของเรามีพระไปอบรมพระคิลานุปัฏฐากหลายรูปด้วยกัน มีอะไรพอที่จะถวายคำแนะนำ หรือว่าช่วยดูแลเพื่อนพระภิกษุของเราก็ช่วย ๆ กันหน่อย โดยเฉพาะพระชราอายุมากที่มีอยู่หลายราย

    อย่างที่กระผม/อาตมภาพได้ถามไปตอนกำลังฉันเช้าอยู่ว่า "ได้ข่าวพระมรณภาพแล้วคิดถึงตัวเองบ้างหรือไม่ ?" เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะคิดว่าความตายเป็นเรื่องไกลตัว ทั้ง ๆ ที่ความตายอยู่ใกล้เราแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายอีกเช่นกัน..!

    ควรที่เราจะไม่ประมาท เร่งรัดกระทำความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เมื่อถึงเวลา เราจะได้ไปให้ไกลที่สุด ก็คือไปสู่สุคติภูมิให้สูงที่สุด ถ้าสามารถพ้นตายพ้นเกิดไปได้ก็ถือว่าดีที่สุด ถ้าไม่ได้ ก็ให้การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารของเรา เหลือระยะสั้นที่สุด

    คราวนี้ด้วยความประมาท ขาดสติ ขาดปัญญา เราทั้งหลายก็มักจะเห็นว่าความตายเป็นเรื่องไกลตัว "คนอื่นตาย ไม่ใช่เราตาย" พอถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ ขึ้นมาทีหนึ่งก็ได้สติทีหนึ่ง ตั้งหน้าตั้งตาเร่งเกาะความดีเป็นการใหญ่ อยากจะบอกว่าไม่น่าจะทัน อยู่ในลักษณะที่ภาษิตจีนเขาบอกว่า เกิดอันตรายขึ้นแล้วค่อยกอดบาทพระ พูดง่าย ๆ ก็คือความตายมาถึงแล้วค่อยนึกถึงความดี

    แล้วที่สมควรด่ายิ่งกว่านั้นก็คือ พออาการเจ็บไข้ได้ป่วยดีขึ้นมาหน่อย ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ประมาท ขาดสติ ลืมไปแล้วว่าคราวที่ผ่านมาเราเกือบจะตาย แล้วทุกครั้งเราก็วนอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ก็คือครั้งนี้เป็น ได้สติขึ้นมา พอหายก็ลืม คราวหน้าเป็นใหม่ ค่อยนึกถึงใหม่ จะว่าไปแล้วถ้าใครอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ต้องบอกว่าสมควรตาย..! ประมาทจนเกินไป ไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไร ?

    พระพุทธเจ้าตรัสถามพระอานนท์ว่า "อานันทะ..ดูก่อน อานนท์ เธอระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง ?" พระอานนท์ทูลตอบว่า "ประมาณ ๗ ครั้งพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อานันทะ..ดูก่อนอานนท์ ๗ ครั้งยังน้อยเกินไป ตถาคตระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก"

    ตอนแรกกระผม/อาตมภาพก็นึกเหมือนกับพวกท่าน ว่าการนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกนั้น "เว่อร์" เกินไป แต่พอทำไปถึงตรงจุดนั้นจริง ๆ แล้วถึงได้รู้ว่า สติ สมาธิ ปัญญา แค่หางอึ่งของเรา การระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ยังไม่ใช่ของยากเลย แล้วระดับพระพุทธเจ้าท่านทำไมถึงจะทำไม่ได้..!?

    แต่ว่าการระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ต้องประกอบไปด้วย สติ สมาธิ และปัญญา อย่างพร้อมเพรียงกัน ถ้าเป็นภาษาสายวัดป่า เขาเรียกว่า "มัคคสมังคี" ก็คือทุกอย่างต้องรวมกันพอดีอย่างพร้อมเพรียง ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่สามารถที่จะระลึกได้ตลอดรอดฝั่ง

    ขาดสติไม่ต้องพูดถึง ขาดสติเมื่อไร ทุกอย่างก็พังหมด ดีไม่ดีก็เผลอไปทำความชั่วหนักเข้าไปอีก ขาดสมาธินี่เป็นตัวหลักเลย เพราะสมาธิช่วยให้สติมั่นคง ช่วยให้ปัญญาแหลมคม แต่ถ้าหากว่าขาดปัญญา ก็ไม่คิดที่จะระลึกถึง เพราะว่าประมาท ไม่ได้คิดว่าเราจะตายลงไปในเวลานี้

    เรื่องของมรณานุสติ พระพุทธเจ้าจึงจัดให้สำหรับบุคคลที่เป็นพุทธิจริต มีความฉลาดเป็นเจ้าเรือน เพราะว่าถ้าเป็นบุคคลทั่ว ๆ ไปก็ไม่สามารถที่จะระลึกได้ บุคคลที่เป็นพุทธิจริตนั้น เหมาะกับกรรมฐานประเภทมรณานุสติ กายคตานุสติ เหล่านี้เป็นต้น เพราะว่าต้องใช้ปัญญาประกอบไปด้วย อนุสติระดับอื่น ๆ มีสมาธิแค่เบื้องต้น ก็เพียงพอใช้งานแล้ว

    แต่ถ้าสำหรับพุทธิจริต กรรมฐานเหล่านี้เป็นของยาก อย่างเช่นว่า มรณานุสติ กายคตานุสติ หรือว่าพรหมวิหาร ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องใช้ปัญญาประกอบอย่างมาก
    พรหมวิหาร ๔ เราต้องเห็นว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นคุณเป็นประโยชน์อย่างไร ต้องใช้ปัญญาอย่างสูง อาหาเรปฏิกูลสัญญา ต้องมองไปถึงต้นกำเนิดว่าอาหารทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากความสกปรก แล้วเกิดความรังเกียจ กินเพื่ออยู่เท่านั้น

    ดังนั้น..ในเรื่องของการระลึกถึงความตาย แม้แต่พระอานนท์ที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ระลึกประมาณวันละ ๗ ครั้ง พระพุทธเจ้ายังตรัสว่าน้อยเกินไป แล้วพวกเราได้ถามตัวเองหรือไม่ว่า ได้นึกถึงกี่ครั้งต่อวัน ? ไม่ใช่ได้ข่าวใครตายมาก็สักแต่ว่ารับรู้ ยังไม่ถึงตัวกูก็แล้วไป ถ้าลักษณะอย่างนั้น ท่านทั้งหลายก็ดำเนินชีวิตแบบประมาทจนเกินไป ประมาณว่าเป็นบุคคลผู้เมามัว เมาในวัย เมาในความไม่มีโรค แล้วท้ายที่สุดก็เมาชีวิต ไม่เคยระลึกว่าตนเองจะต้องตาย..!

    การดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความประมาท ถ้าไม่ใช่บุญเก่าดีจริง ๆ โอกาสรอดจากอบายภูมินั้นยากมาก ขนาดบุคคลที่บุญเก่าดีจริง ๆ ยังลงไปนับไม่ถ้วนแล้ว เพราะว่าถึงเวลาก็มีอกุศลกรรมอื่นมาตัดรอน

    ดังนั้น..การที่เราได้ข่าวว่าหลวงพ่อจอนมรณภาพ ต้องคิดว่าตัวเราก็จะต้องเป็นเช่นนั้น

    สัพเพ สัตตา มะรันติ จะ มะริงสุ จะ มะริสสะเร สัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นเบื้องหน้า จักต้องถึงความตายเป็นแน่แท้ ตะเถวาหัง มะริสสามิ นัตถิ เม เอตถะ สังสะโย แม้กระทั่งตัวเราก็เช่นกัน ไม่อาจที่จะล่วงพ้นความตายไปได้

    ระลึกได้แล้วก็ไม่ใช่นึกถึงเฉย ๆ แต่เร่งปฏิบัติเพื่อสั่งสมความดี หนีความชั่ว ตั้งหน้าตั้งตาเอามรรคเอาผลกันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่ใช่ว่าทำด้วยความประมาท ถ้าลักษณะอย่างนั้น ตายแล้วลงอบายภูมิ ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่เราทำตัวเองแท้ ๆ เลย..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
    ....................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...