เปิดตำนานเจดีย์ศรีแสนเมือง ประดิษฐานพระ 4 ทิศ คู่บ้านคู่เมืองอำนาจเจริญ

วันเสาร์ ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2564, 14.27 น.


วัดขนาดเล็กในตัวเมืองอำนาจเจริญ มีหลายวัด ที่พุทธศาสนิกชน เข้าไปทำบุญ ทำทาน เป็นประจำ โดยเฉพาะ วัดแสนสวาสดิ์ทัศนาราม ตั้งอยู่ชุมชนแสนสวาสดิ์ ต.บุ่ง อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ เป็นวัดสังกัดธรรมยุติ เจ้าอาวาสวัดแสนสวาสดิ์ทัศนาราม ปกครองพระสงห์และจำพรรษาอยู่ 7 รูป ไม่มีสามเณรและ แม่ชี มัคนายก 1 คน บนเนื้อที่ 11 ไร่ มีทั้ง ศาลาการเปรียญ อุโบสถ กุฎิ ฯลฯ ทั้งนี้ การเดินทางเข้าวัดปฏิบัติธรรมทุกครั้ง จะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด – 19 อย่างเคร่งครัด

วัดแสนสวาสดิ์ทัศนาราม ถึงแม้จะเป็นวัดขนาดเล็ก แต่ว่ายังมีสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจของพุทธศาสนิกชน ทั้งชาวอำนาจเจริญและจังหวัดใกล้เคียง เดินทางเข้ามากราบไหว้ขอพร เจดีย์ศรีแสนเมือง เป็นประจำ ซึ่งบนยอดเจดีย์ประดิษฐานพระคู่บ้านคู่เมืองอำนาจเจริญทั้ง 4 ทิศ โดยเฉพาะศาลภูมิเจ้าที่ ว่ากันว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 บริเวณวัดแสนสวาสดิ์ทัศนาราม เป็นที่พักของทหาร และทหารล้มตาย จึงมีการสร้างศาลขึ้น เพื่อให้ดวงวิญญาณของเหล่าทหารกล้าสิงห์สถิต เพื่อปกป้อง รักษาป่า ซึ่งยังคงอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็น ไม้พะยูง ประดู่ ชิงชัง ฯลฯ ยังคงมีให้เห็นจนถึงทุกวันนี้

สำหรับ “เจดีย์ศรีแสนเมือง” ก่อสร้างเมื่อปี 2537 โดยคณะผู้ใจบุญ ได้เลือกเอาสถานที่ก่อสร้างเจดีย์ประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงได้ร่วมกับชาวบ้านชุมชนแสนสวาสดิ์สร้างขึ้นและตั้งชื่อว่า เจดีย์ศรีแสนเมือง มีความหมายว่า ศรี หมายถึง ความเป็นศักดิ์ เป็นศรี เป็นสิริมงคล เมือง หมายถึง เมืองอำนาจเจริญ ซึ่งได้รับการยกฐานะจากบ้านค้อใหญ่ เป็นเมืองอำนาจเจริญ แสนหมายถึง 2 นัยยะ ซึ่งนัยยะที่ 1.หมายถึง ชุมชนแสนสวาสดิ์ 1. แสนสวาสดิ์ 2.และแสนสวาสดิ์พัฒนา ตลอดจนชุมชนใกล้เคียง แสนนัยยะที่ 2. หมายถึง อุบาสก อุบาสิกา นับหมื่น นับแสน ได้นมัสการ เพื่อให้เป็นความสวัสดี เป็นศรีสวัสดิ์ พิพัฒมงคล ต่อตนเองและครอบครัวและเพื่อให้เป็นศูนย์รวมแห่งการรวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวอำนาจเจริญ

จึงได้มีการอัญเชิญ พระคู่เมืองจำลองจากทั้ง 4 ทิศ มาประดิษฐานรวมกัน ณ.ส่วนบนของเจดีย์ศรีแสนเมือง รวมทั้งได้อัญเชิญพระอรหันต์ธาตุ โดยสมมุติชื่อ พระสิวลี ตามประวัติ ท่านเป็นเจ้าชายออกบวชในสำนักพระสารีบุตร บรรลุพระอรหันต์ในขณะที่ปลงเกศา หลังจากออกผนวช ท่านเป็นพระผู้มีลาภสักการะมากด้วยกุศลกรรม ที่ทำมาแต่อดีต ซึ่งจะช่วยบันดาลให้มีโชคมีลาภ ชื่อเสียงขจรไกล นำไปสู่การรู้จักแพร่หลาย

สำหรับพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้าน คู่เมืองทั้ง 4 ทิศ ได้แก่ พระเหลาเทพนิมิต จากตะวันออก เป็นพระคู่เมืองของอำเภอพนา,พระเจ้าใหญ่ลือชัย จากทิศใต้ เป็นพระคู่เมืองของอำเภอลืออำนาจ,พระเจ้าใหญ่ศรีเจริญ จากทิศตะวันตก เป็นพระคู่เมืองของอำเภอหัวตะพานและพระมงคลมิ่งเมือง เป็นพระคู่เมืองของชาวเมืองอำนาจเจริญและจังหวัดอำนาจเจริญ การอัญเชิญพระคู่เมืองทั้ง 4 เป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือ ร่วมใจ ความปรองดอง สมานฉันท์ของชาวอำนาจเจริญ ไม่ว่าจะอยู่ทิศใด ก็มารวมกัน สร้างเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชาวอำนาจเจริญ และนัยยะแห่งอำนาจ ทั้ง 4 คือ อำนาจหัวใจ แห่งความเป็นมนุษย์ อำนาจแห่งความบริสุทธิ์ ความจริงใจต่อกันและกัน อำนาจแห่งการร่วมมือ ร่วมใจกันคิดร่วมกันทำด้วยธรรมาธิปไตย และอำนาจแห่งความสำเร็จ แห่งอิทธิบาตร 4 ประกอบด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะและวิมังสา

เจ้าอาวาสวัดแสนสวาสดิ์ทัศนาราม เทศนาสั่งสอนญาติโยมตอนหนึ่งว่า ทุกวันนี้ ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก เนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บมันเยอะเหลือเกิน โรคมันก็พัฒนาไปเรื่อยๆ เพื่อความอยู่รอด ช่วงที่เรากำลังมีชีวิตอยู่ ควรสร้างคุณงาม ความดีไว้มากๆ เมื่อตายไปแล้ว คนที่อยู่ข้างหลังจะได้จดจำและระลึกถึง บางคนถือเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เอาประโยชน์ตัวเองเป็นใหญ่ และเอาเปรียบคนอื่น เพื่อให้ได้มาเป็นของตัวเอง ถึงแม้จะมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย เมื่อตายไปแล้ว จะเอาไปไม่ได้สักอย่าง แม้แต่เงินใส่ปาก เมื่อร่างกายถูกเผาไหม้แล้ว ยังมีคนไปเขี่ยเอาเงินเก็บไว้เลย

เจ้าอาวาสวัดแสนสวาสดิ์ทัศนาราม เทศนาทิ้งท้ายว่า จึงอยากให้ญาติโยมทั้งหลาย หมั่นทำความดี สร้างบุญ สร้างกุศล ช่วยเหลือผู้ต่ำต้อยกว่าเรา การทำบุญ ทำทาน ไม่ใช่ว่า ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย มันเข้าใจผิดกันไปหมด การทำบุญ หากสิ่งของที่ให้กับคนที่มีจิตใจดีงาม ผลบุญก็จะมีมาก ที่สำคัญอย่าทำบุญเพื่อหวังผลตอบแทน นั่นมันจะไม่ได้บุญ การทำบุญ จะต้องทำตามกำลังศรัทธา ไม่เดือดร้อนตังเองและผู้อื่น แม้จะเป็นสิ่งของ หรือทรัพย์สินเงินทองเพียงน้อยนิด ซึ่งได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ก็ถือว่า ได้บุญ แต่ถ้าสิ่งของ เงินทอง ได้มาโดยไม่ถูกต้องหรือโกงเขามา แม้จะให้ทานเป็นเงินจำนวนมาก ก็จะไม่ได้รับผลบุญใดๆเลย …

สนธยา ทิพย์อุตร /รายงาน


ขอขอบคุณที่มา
https://www.banmuang.co.th/news/region/247252