หลวงปู่เทพโลกอุดร ทำไมต้องชื่อ "เทพโลกอุดร"

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 29 มกราคม 2012.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]



    ก่อนจะได้เขียนถึงเรื่องนี้ ผู้เขียนขอออกตัวสักเล็กน้อยว่า เรื่องที่จะเล่าต่อไปยังเป็นอีกเรื่องหนึ่งหาข้อยุติกันไม่ได้ กล่าวคือยังมีการถกเถียงกันถึงตัวตนอันแท้จริงของศิษย์หลวงปู่ เทพโลกอุดรท่านนี้ แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลที่พอจะสรุปร่วมกันได้ก็คือ ทุกฝ่ายต่างลงความเห็นร่วมกันว่าเป็นศิษย์หลวงปู่เทพโลกอุดร ผู้มีเชื้อสายพระมหากษัตริย์พระองค์นี้มีพระศักดิ์เป็น "กรมพระราชวังบวร" ทรงดำรงตำแหน่ง วังหน้า ในรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่สำหรับตัวตนจริงของกรมวังหน้า พระองค์นี้ยังเป็นการถกเถียงกัน ( แล้วก็ ฉอด ฉอด ฉอด ....ขอข้ามเลยนะครับ หุ หุ ) ตามประวัติเล่าว่า สมเด็จวังหน้าองค์นี้ทรงเป็นที่เกรงขามของบรรดาข้าราชบริพารยิ่งนึกและ พระองค์มีลักษณะที่แตกต่างไปจากบุคคลทั่วไปอย่างหนึ่ง คือ พระองค์มีพระชิวหาดำ ทั้งนี้ก็เพราะพระองค์โปรดการปลูกว่านสุมไพรต่างๆและทรงโปรดการชิมรสว่าน ต่าง ๆ ด้วยพระลักษณะเฉพาะตัวนั้น จึงได้มีการขนานพระนามพระองค์ว่า "องค์ลิ้นดำ"

    สมเด็จ วังหน้าพระองค์นี้ นอกจากจะสนใจในเรื่องการปลูกว่านสมุนไพรต่าง ๆ แล้วพระองค์ยังทรงสนพระทัยในเรื่องวิชา คาถา อาคม ไสยศาสตร์ ( สรุปเลยนะครับ พระองค์ท่านก็ได้เรียนกับครูต่าง ๆ ที่ว่าเก่งก็แล้ว เรียนไปหมด แต่ท่านก็ยังไม่พอใจ เพราะว่ามีแค่ เสกน้ำมนต์ แล้วก็ไล่ผี ท่านเลยได้ตั้งปณิธานว่า )

    ครั้นตัดสินพระทัยได้เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงจุดธูป 9 ดอก แล้วทรงตั้งจิตอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ถ้าไม่เจออาจารย์ที่จะสอนวิชาที่พระองค์ท่านต้องการได้จะไม่กลับมาวัง ขอให้เทพยาดาฟ้าดินได้โปรดเห็นพระทัยในความตั้งใจจริง ชี้ทางให้ไปพบกับอาจารย์ผู้มีความเชี่ยวชาญได้

    ครั้นทรงอธิษฐานเสร็จ แล้ว สมเด็จวังหน้าพระองค์นี้ ก็ทรงแต่งกายอย่างสามัญชน และได้เสด็จหายไปจากพระราชวัง จนกระทั่งมาถึงหมู่บ้านหนึ่ง (ไม่ปรากฏชื่อและวันเดือนปี ) สมเด็จวังหน้าก็ได้เข้าไปขอน้ำจากชาวบ้านมาดื่มและล้างพระพักตร์ ครั้นพอรู้สึกชุ่มชื่นดีแล้ว ก็ได้ถอยออกมานั่งพักอยู่ใต้ร่มเงาไม้ไหญ่ แห่งหนึ่ง

    ครานั้นตะวันเริ่มรอนแล้ว สมเด็จวังหน้าทอดพระเนตรไปข้างหน้าก็พลันเห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งปักกลดพัก อยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่ง ซึ่งห่างจากที่พระองค์นั่งพักอยู่ไม่เท่าไร

    ครั้นเห็นเช่นนั้นสมเด็จ วังหน้า ก็ทรงดำริว่า :ชะรอยเทวดาฟ้าดินคงจะเห็นใจเราแล้ว พระธุดงค์รูปนั้นอาจจะเป็นอาจารย์ที่เรากำลังตามหาอยู่ก็ได้

    ครั้นดำริเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงเสด็จเข้าไปใกล้ที่พระธุดงค์รูปนั้น นั่งทำสมาธิอยู่ไป ถึงใกล้ ๆ ก็สังเกตเห็นความแปลกประหลาดของพระธุดงค์รูปดังกล่าว คือ พระธุดงค์ที่ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าสมเด็จวังหน้าขณะนั้น ดูจากหน้าตาและรูปร่างเห็นว่าท่านยังเยาว์วัย ยังหนุ่มยังแน่นอยู่ ผิวพรรณผุดผ่องดี อย่างผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ แต่ว่าบนศีรษะกลับมีหงอกขาวโพลนเต็ม สมเด็จวังหน้าทรงเห็นดังนั้น ก็ให้นึกแปลกพระทัยและก็เริ่มศรัทธาในรูปลักษณ์ของพระธุดงค์รูปนั้น พระองค์จึงนั่งลงนมัสการ

    ขณะนั้นพระธุดงค์ผุ้มีหน้าตาและร่างกายห นุ่ม แต่มีศีรษะขาวโพลนกำลังนั่งสมาธิ หลับตานิ่ง แต่ว่า ท่านรู้ว่ามีคนมาก้มอยู่เบื้องหน้าจึงได้ถามออกมาว่า " คุณโยมจะไปไหน" บัดนั้นสมเด็จวังหน้าจึงได้เล่าความเป็นมาของพระองค์ให้พระธุดงค์รูปนั้น ทราบอย่างละเอียด แล้วได้บอกถึงวัตถุประสงค์ในการเสด็จออกจากวังครั้งนี้ให้ท่านทราบด้วย พระธุดงค์นั้นไม่กล่าวกระไร แต่เมื่อสมเด็จวังหน้าได้เรียนถามปัญหาต่าง ๆ ท่านก็ตอบได้ถูกต้องทุกคำถาม และตอบอย่างมีเหตุผล ชัดเจนอย่างผู้รู้จริง ซ้ำยังได้แสดงอิทธิฤทธิ์ให้สมเด็จวังหน้าได้ประจักษ์เช่น ชี้กิ่งไม้กลายเป็นงูเป็นต้น

    สมเด็จวังหน้าได้เห็นเช่นนั้น ก็ประจักษ์พระทัยทันทีว่า พระธุดงค์รูปนี้ไม่ใช่ธรรมดา ท่านทรงความรู้เหนือกว่าบรรดาครูต่าง ๆ ที่พระองค์เคยเรียนมาเป็นแน่ จึงก้มกราบแทบเท้าพระธุดงค์แล้วกล่าวขอฝากตัวเป็นศิษย์ พระธุดงค์รูปนั้นก็ไม่ขัดศรัทธา สมเด็จวังหน้าจึงได้อยู่ศึกษาวิชาความรู้ตามที่พระองค์ต้องการกับพระธุดงค์ ผุ้มีความแปลกในตัวนั้นตั้งแต่บัดนั้น

    เล่ากันว่าวิชาแรกที่อาจารย์พระธุดงค์รูปนั้นสอนแก่สมเด็จวังหน้า ก็คือวิชานะหน้าทอง

    วิชา นะหน้าทองนี้ ก็คือการใช้แผ่นทองฝังลงในร่างกายของคน ส่วนใหญ่จะใช้บริเวณหน้าผาก การฝังนั้นก็จะฝั่งด้วยพลังจิต พระธุดงค์ผู้เป็นอาจารย์ก็ได้ถวายการสอนโดยการใช้ทองฝังเข้าไปในร่างกายโดย การใช้พลังจิตและพระอาจารย์รูปนี้ไม่ใช่เพียงแต่สอนให้ลงนะหน้าทองโดยการฝัง ทองเข้าไปในหน้าผากเท่านั้น ท่านยังปฏิบัติให้เป็นประจักษ์ถึงความสามารถที่พิสดารออกไป เช่น ส่งทองให้หายไปในอากาศ แล้วไปติดอยู่ตามต้นไม้หรือที่ต่าง ๆได้

    สมเด็จ วังหน้าทรงตั้งพระทัยศึกษาวิชานี้เป็นอย่างดี แต่วิชานี้ก็ไม่ใช่เรียนกันง่าย กว่าจะสำเร็จก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร อาจารย์พระธุดงค์สอนวิธีต่าง ๆ ให้แล้วก็สั่งสมเด็จวังหน้าตั้งใจฝึกฝน ส่วนตัวท่านถอดกลดท่องธุดงค์ต่อไป แต่ก่อนจากกัน ท่านได้นัดแนะสมเด็จวังหน้า ผู้เป็นศิษย์ไว้ว่าคราวต่อไปจะได้ไปพบกันที่ไหนอีก

    ครั้นอาจารย์พระ ธุดงค์จากไปแล้ว สมเด็จวังหน้าก็ตั้งพระทัยฝึกวิชาลงนะหน้าทองนั้นต่อไป จนชำนาญดีแล้วครั้นเมื่อถึงหมายกำหนดที่อาจารย์พระธุดงค์นัดให้ไปเจอ พระองค์ก็เดินทางไปตามที่นัดหมาย

    เล่ากันว่าเรียนการสอนของศิษย์ อาจารย์คู่นี้ ค่อนข้างจะแปลกพิสดารไปจาการสอนของครูอาจารย์คนอื่น ๆ คือ จะสอนจะเรียนกันเป็นระยะ ๆ และต่างวิชาต่างสถานที่กันไป บางทีก็ต้องเดินทางไปสอนไปเรียนกันไกล ๆ และส่วนใหญ่จะอยู่ตามป่าเขาลำเนาถ้ำ บางคราวถึงกับเดินทางไปสอนไปเรียนกันถึงต่างประเทศ เช่น ประเทศลาว พม่า เป็นต้น แต่สมเด็จวังหน้าพระองค์นั้น ก็ทรงทรหด ดั้นด้นติดตามไปหาไปพบพระอาจารย์ตามที่นัดหมายได้ทุกครั้ง

    เสด็จวัง หน้าพระองค์ทรงศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ จากอาจารย์พระธุดงค์รูปนี้อยู่นาน จนชำนาญในหลายแขนงวิชา เพราะว่าพระอาจารย์ธุดงค์รูปนี้ ไม่ใช่เพียงสอนวิชาคาถาอาคมเท่านั้น ท่านยังสอนวิชาอื่น ๆ อีกด้วย โดยเฉพาะวิชาในพระพุทธศาสนา เช่นการนั่งสมาธิทำวิปัสสนากรรมฐาน เพราะท่านพูดกับศิษย์ว่า การนั่งสมาธินั้นจะช่วยให้จำวิชาต่าง ๆได้ดีขึ้น และสามารถนำมาประกอบใช้กับวิชาคาถาอาคมต่าง ๆ ได้ดี สมเด็จวังหน้าทรงปฏิบัติตามทุกอย่าง

    ครั้นศึกษาวิชาคาถาอาคม และการทำสมาธิ ทำกรรมฐานเพียงพอแล้ว วันหนึ่งอาจารย์ธุดงค์ก็ได้บอกกับสมเด็จวังหน้าผู้เป็นศิษย์ว่า

    " ถึงเวลาที่เราควรจากกันแล้ว ตอนนี้วังหน้าก็เรียนวิชาสำเร็จทุกอย่างแล้ว และอาตมาภาพขอยืนยันว่า บัดนี้ถือได้ว่า วังหน้าได้เป็นหนึ่งในแผ่นดินสมความปรารถนาแล้ว" (ที่พิมพ์ย่อ ๆ มาไม่รู้ผมได้พิมพ์ไปเปล่า แต่ที่ท่านวังหน้าท่านออกมาหาอาจารย์ที่จะสอนท่านให้เก่งเป็นหนึ่งในแผ่นดิน ได้นี้คือเป้าหมายของท่านครับ และได้เจอหลวงพ่อเทพโลกอุดรล่ะครับ )

    ก่อน จากกันครั้งหนึ่งสมเด็จวังหน้าได้ถามอาจารย์พระธุดงค์ว่า "หลวงพ่อชื่ออะไร" ทั้งนี้ก็เพราะว่า ถึงแม้จะได้เป็นศิษย์อาจารย์กันมาหลายปีแล้ว สมเด็จวังหน้าไม่เคยได้ทราบชื่อของอาจารย์พระธุดงค์รูปนั้นเลย พระองค์ได้แต่เรียกพระอาจารย์ว่า "หลวงพ่อ ๆ " ส่วนอาจารย์พระธุดงค์รูปนั้นก็เรียกสมเด็จวังหน้าว่า " วังหน้าเฉย ๆ "

    เมื่อ สมเด็จวังหน้าได้ทรงถามเช่นนั้น อาจารย์พระธุดงค์รูปนั้น ก็ยังไม่ยอมบอกชื่อเสียงเรียงนาม ได้แต่อธิบายสมเด็จวังหน้า ให้เห็นถึงความไม่จำเป็นของชื่อเสียงเรียงนาม และยังได้บอกกับสมเด็จวังหน้าผู้เป็นศิษย์ว่า "วังหน้าจะเรียกหลวงพ่อว่าอย่างไร หลวงพ่อก็ชื่ออย่างนั้นล่ะ"

    เมื่อ ถามถึงอายุ อาจารย์พระธุดงค์ก็ตอบว่า "อายุเท่าไรจำไม่ได้แล้ว เพราะมันนานเหลือเกินแล้ว ปู่ของวังหน้า ถ้ายังมีชีวิตอยู่อายุสักประมาณเท่าไรได้แล้วล่ะ"

    สมเด็จวังหน้าตอบ ว่า "ร้อยกว่าปีแล้ว" อาจารย์พระธุดงค์ตอบว่า "ถ้าอย่างนั้น วังหน้าก็เอาอายุของปู่สักร้อยพระองค์มาบวกกันก็ยังไม่ได้เท่าอายุของหลวง พ่อ"

    ด้วยเหตุนี้ สมเด็จวังหน้าจึงไม่สามารถจะทราบได้ว่าพระอาจารย์ของพระองค์ชื่ออะไร พระองค์จึงทรงดำริจะตั้งชื่อพระอาจารย์ลึกลับมหัศจรรย์รูปนั้นขึ้นมาเอง พระองค์ทรงใคร่ครวญหาชื่อ เพื่อจะตึ้งให้เหมาะกับพฤติกรรมของพระอาจารย์รูปนี้

    ในที่สุดก็ ตัดสินพระทัยขออนุญาตเรียกชื่อ พระอาจารย์รูปนั้นว่า "เทพโลกอุดร " เพราะพระองค์ทรงเห็นว่า พระองค์ไปไหนมาไหนรวดเร็ว ดังปรารถนาเหมือนเทพเจ้า และทรงฤทธิอภิญญาเหนือโลก อาจารย์พระธุดงค์ก็ไม่ว่าอะไร ได้แต่ยิ้ม ๆ


    http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=5174.0
     
  2. คนเหาะ

    คนเหาะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +85
    อนุโมทนาครับ ได้ข่าวมาท่านก็ปราถนาพุทธภูมิเช่นกัน แต่ลาสะก่อน
     
  3. toon33

    toon33 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2012
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +3
    อนุโมทนาครับ ถ้ามีโอกาสก็อยากได้กราบท่านสักครั้งครับ
     
  4. เกิดมานาน

    เกิดมานาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2009
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +2,547
    ขอขอบคุณมากที่นำของดีๆมาเล่าสู่กันฟัง ผมเองก็นึกว่าท่านชื่อนี้จริงๆ แต่ก็ไม่ไช่ ขอบคุณครับ
     
  5. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    ผมเองเป็นชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช มาทำงานอยู่ที่เขาใหญ่เมื่อปี 2547 ช่วงประมาณปลายปี 2548 ผมฝันเห็นพระองค์หนึ่งท่านเดินผ่านหน้าผมแล้วหันมายิ้มให้ผมก็ยิ้มตอบ แล้วท่านก็เดินต่อไปข้างหน้า ผมก็สงสัยว่าเอท่านจะเดินไปได้อย่างไรก็ตรงข้างหน้าเป็นป่า ผมก็เลยวิ่งไปดักดูว่าท่านจะเดินไปออกตรงไหนแต่ก็ไม่เจอท่านแล้ว ( ณ ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักชื่อหลวงปู่เทพโลกอุดร เพราะเป็นคนใต้) ตื่นมาก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง

    หลังจากนั้นไม่นานผมก็ชวนแฟน (ปัจจุบันภรรยา) ไปดูหมอดูที่สำนักสงฆ์ถ้ำอิติปิโส โดยหมอดูเป็นพราห์ม ผมเห็นถาพพระรูปหนึ่งเป็นภาพยืนก็ชวนแฟนไปยืนดูภาพนั้นแล้วก็คุยกับแฟนว่าเคยฝันเห็นพระองค์นี้เมื่อไม่กี่วันนี้ท่านเดินผ่านหน้าแล้วหันมายิ้มให้แล้วเดินต่อไปข้างหน้า ฯ พอดีหมอดูมายืนฟังตอนไหนก็ไม่ทราบ ถามผมว่ารู้จักมั๊ยท่านเป็นใคร ผมก็ตอบว่าไม่รู้จักครับ หมอดูบอกว่าภาพนี้คือ "หลวงปู่เทพโลกอุดร" แต่ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าท่านเป็นใคร หมอดูก็เลยเล่าประวัติของท่านให้ฟังคร่าว ๆ พร้อมทั้งให้เหรียญหลวงปู่เทพโลกอุดรกับผมมา 1 เหรียญ ท่านบอกว่ามีอยู่เหรียญเดียว แต่เห็นว่าฝันเห็นท่านก็เลยอยากมอบให้ (ปัจจุบันผมไว้ที่ห้องพระบ้าง ไว้ในรถเวลาเดินทางไกลบ้าง) ปัจจุบันนี้ผมรู้จักหลวงปู่เทพโลกอุดรพอสมควรแล้วครับ (ทาง Internet) ใครมีข้อมูลเยอะส่งให้ผมอ่านบ้างนะครับ (ยังมีต่อนะครับในปี 2551) ค่อยเล่าต่อนะครับ

    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 กุมภาพันธ์ 2012
  6. 431240

    431240 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +643
    ท่านเป็นพระเหนือโลก คือเป็น อมตพุทธ นามของท่านเป็นตำแหน่งทางจิต คือ เมื่อจิตดวงใดได้บำเพ็ญและปฏิบัติเข้าสู่การเป็นมหาโพธิสัตว์ ซึ่งสำเร็จจิต และ สำเร็จธาตุ ในความหมายคือสังขารมนุษย์พ่ายแพ้ต่อธรรมชาติ สิ่งที่สามารถชนะธรรมชาติได้คือดวงจิต สังขารแตกดับ แต่ดวงจิตไม่แตกดับไปด้วย นอกจากผู้สำเร็จในเรื่องของธาตุอันละเอียดไม่ติดอยู่รูปของกายหยาบ แต่ผู้ฝึกได้นั้นจิตต้องละเอียดถึงที่สุดของจิต มีความบริสุทธิ์จนถึงระดับอณูของธาตุอันละเอียดที่สุด กายสังขารจึงชนะธรรมชาติได้ จะอยู่เป็นพันๆปี ก็ได้ จะปรากฏในรูปลักษณ์ใดก็ได้ จะเป็นชาย หญิง เด็ก คนแก่ ขอทาน ยาจก เป็นพระ เป็นเณร ได้หมด เพราะท่านสลายสัณฐานเดิมของกายหยาบธาตุหยาบ ไปเป็นธาตุอันละเอียดและบริสุทธิ์ ดังนั้นจิตที่ปฏิบัติได้ดังนี้ จึงมีตำแหน่งทางจิต ที่มนุษย์เรียกท่านว่า หลวงปู่เทพโลกอุดร ซึ่งจริงแท้แล้วมีอยู่หลายพระองค์ จึงมีปรากฏว่าหลวงปู่เทพอยู่ที่นั้นบ้าง อยู่ที่นี้บ้าง ก็เพราะเหตุนี้เอง แต่ในชั้นของจิตโพธิสัตว์ ที่อยู่เบื้องบนนั้นไม่การเรียกด้วยชื่อเสียงเรียงนามใด เพราะเป็นจิตที่อยู่เหนือกว่ารูปนามที่กล่าวถึงทั้งหมด เป็นเพียงชั้นของจิตที่อยู่ในสภาวะเดียวกันทั้งหมด แต่เมื่อกระแสของท่านปรากฏในโลกมนุษย์จึงปรากฏรูปนามดังกล่าวให้มนุษย์เรียกขานเท่านั้นเอง สุดท้ายถ้าเราปฏิบัติมีบุญบารมีมากพอ หรือเรามีความเกี่่ยวเนื่องกับท่าน หรือ เดินในเส้นทางการปฏิบัติเช่นเดียวกับท่าน คือมุ่งสู่จิตเมตตาอันยิ่งยวด ฝึกจิตโดยอาศัยหลักของธรรมชาติ(อันมีธาตุทั้ง 4) และมีจิตอันบริสุทธิ์มุ่งสู่ความเป็นโพธิสัตว์ เหมือนเราเดินตามรอยเท้าท่าน วันหนึ่งเราก็จะสัมผัสกับกระแสจิตอันบริสุทธิ์ของท่าน และหากท่านเมตตาเห็นในความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือสัตว์โลกท่านอาจจะประสิทธิ์ประสาทสิ่งที่ท่านได้โดยการถ่ายทอดจากจิตสู่จิตให้กับเราก็ได้ เพื่อนำไปช่วยเหลือสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ สิ่งที่กล่าวมาไม่มีอ้างอิงจากตำราใด ผมจึงขอยอมแพ้ต่อทุกท่านไม่ต้องการให้เกิดกรรมต่อกันในการให้ข้อมูลแล้วเกิดการโต้เถียงกันว่าที่จริงเป็น อย่างนั้น อย่างนี้ ผมจึงยอมแพ้ทุกกรณี คิดเสียว่าผมเล่านิทานให้ฟังก็ได้ครับ อย่าพึ่งเชื่อในสิ่งที่ผมเล่าเลยผมไม่สามารถพิสูจน์ให้ท่านเห็นได้ นอกจากตัวท่านไปปฏิบัติในเรื่องของจิตตามแนวทางของหลวงปู่เท่านั้นครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุขและเจริญในธรรมนะครับ
     
  7. ศักยิ์กมล

    ศักยิ์กมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +1,316
    ผมกับภรรยาแต่งงานกันเมื่อเดือน พ.ค.2549 เกือบทุกวันเราจะเอาข้าวปลาอาหารใส่ปิ่นโตไปถวายพระที่วัดที่เป็นทางผ่านไปทำงานตลอดมา จนท่านเจ้าอาวาสท่านถามว่าโยม 2 คนยังไม่มีลูกเหรอ เห็นมากันแค่ 2 คนตลอดเลย ก็บอกท่านว่ายังไม่มีครับ ก็พยายามอยู่ใครบอกหมอที่ไหนดีขอลูกได้ ที่ไหนศักดิ์สิทธิ์ขอลูกได้ก็ไปขอมาทั่วแล้วแต่ก็ยังไม่ได้สักที ก็เลยทำใจคิดว่าก็ดีอยู่กัน 2 คนจะได้ไม่ลำบาก ท่านเจ้าอาวาสก็ให้พรว่า โยมอย่าเพิ่งท้อโยมทั้ง 2 เข้าวัดเข้าวากันตลอด มีใจเป็นกูศลเดี๋ยวก็คงมีคนลงมาเกิด จนเวลาผ่านไป 2 ปี ในปี 2551 ภรรยาก็ตั้งครรภ์ลูกคนแรก เธอแพ้ท้องอย่างหนักขนาดไปสอนไม่ได้ หรือถ้าไปได้สอนได้ก็แค่คาบ 2 คาบตกบ่ายก็ต้องไปนอนอยู่โรงพยาบาลเป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยมา จนเวลาผ่านมา 3-4 เดือน ผมเห็นว่าเธอผอมจนตัวกะหร่องก่องเพราะทานอะไรไม่ได้เลย มีแต่น้ำเกลือล้วน ๆ นอนอยู่โรงพยาบาลตลอด 3-4 เดือน จนต้องลาออกจากโรงเรียน ต้องให้พ่อกับแม่เธอเปลี่ยนเวรกันมานอนเฝ้าที่โรงพยาบาล ผมเองก็ใจไม่ดีเลยตอนนั้นกลัวเธอไม่รอด และในคืนวันหนึ่งผมไปนอนเฝ้าเอง เธอฝันว่ามีคน 4 คนมายกตัวเธอแล้วเอาไปวางลงที่ก้อนเมฆ แล้วพาไปหาพระซึ่งที่นั้นมีพระอยู่ 5 องค์ แล้วผู้ที่ไปนำตัวเธอมาก็ถามไปที่พระว่า รูปไหนคือหลวงปู่เทพโลกอุดรครับ ก็มีพระท่านรูปหนึ่งยกมือขึ้นแสดงให้รู้ว่าเป็นเราเอง แล้วท่านก็บอกไปยังบุรุษทั้ง 4 ท่านนั้นว่าให้พาเขามาใกล้ ๆ เรา เมื่อเข้าใกล้แล้ว ท่านก็ให้พรเธอ แต่เธอจำไม่ได้ว่าท่านให้พรอะไรบ้าง แต่ทีน่าแปลกก็คือ วันรุ่งขึ้นเมื่อหมอมาตรวจหมอบอกว่าวันนี้กลับบ้านได้แล้วนะ และเธอก็ทานอาหารได้เป็นปกติ และไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกเลยจนวันคลอด

    เรามีเหรียญท่านอยู่ก็ได้แค่วางไว้ในห้องพระหรือไม่ก็ไว้ในรถแต่ไม่ได้อัญเชิญบทสวดของท่านมาสวดเลย คือสวดมนต์แต่เป็นบทสวดทั่ว ๆ ไปเท่านั้น เพื่อขอระลึกถึงองค์ท่านตลอดเวลา ผมก็เลยตั้งชื่ลูกชายว่า ด.ช.พุทธธรรม ชื่อเล่น ว่า "น้องนะโม" และค้นหาบทสวดของท่านทาง Internet นำมาสวดเพื่อขอนมัสการต่อท่าน "หลวงปู่เทพโลกอุดร"

    ขอน้อมกราบนมัสการองค์หลวงปู่เทพโลกอุดรด้วยเศียรเกล้า สาธุ สาธุ สาธุ
     
  8. โอกระบี่

    โอกระบี่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,477
    ค่าพลัง:
    +1,651
    สาธุครับ.......เรื่องนี้เคยอ่านเหมือนกัน สนุกดีครับ ขอบคุณครับ
     
  9. sunisa005

    sunisa005 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +298
    ได้รู้จักท่าน เพราะวัดป่าทุ่งกุลาเฉลิมราชนี่แหละคะ สาธุ
     
  10. amarpinky

    amarpinky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    423
    ค่าพลัง:
    +522
    anumothana sathu sathu sathu kha
     
  11. tawansongsaeng

    tawansongsaeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +423
    เรื่องเสด็จวังหน้านั้น บางท่านก็ว่าเป็นวังหน้าของรัชกาลที่ 3 แต่บางท่านก็เชื่อว่าเป็นวังหน้าของรัชกาลที่ 1 ในความเป็นจริงก็อาจจะเป็นวังหน้าของทั้ง 2 รัชกาลก็ได้ที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน
    จะว่าไปแล้วลูกศิษย์ที่เคารพในหลวงปู่เทพโลกอุดรก็น่าจะมีมานานแล้ว เพราะหลวงปู่ท่านมีอายุยาวนานมาก เชื่อว่าทั้งรัชกาลที่ 1 ทั้งพระเจ้าตากสิน ทั้งเสด็จวังหน้า (บุญมา) ต่างก็เคารพในองค์หลวงปู่เทพโลกอุดรทั้งหมด
    แต่ถ้านับเรื่องความเก่งกาจทางการรบ ความอยู่ยงคงกระพัน คาถาอาคมที่ต้องใช้ในการสู้รบกับศัตรู เช่น วิชา ผูกหุ่นพยนต์ เสกตัวต่อตัวแตนเข้าทำร้ายศัตรู ก็น่าจะเป็นเสด็จวังหน้าของรัชกาลที่ 1 เพราะในสมัยรัชกาลที่ 3 ไม่ปรากฏว่าเรามีการรบพุ่งกับพม่าอีก เนื่องจากพม่าเข็ดขยาดกับการรบจากศึกสงคราม 9 ทัพที่พ่ายแพ้ต่อไทยชนิดเบ็ดเสร็จ และเป็นการพ่ายแพ้แบบนักรบไทย 30,000 คน กับพม่านับ 100,000 คน
     
  12. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    จงจำไว้ว่าให้เป็นตัวของตัวเองและก็ให้เป็นอย่างที่เขาเป็น
    หลวงปู่ท่านอธิบายการที่จะมีร่างอมตะเธอต้องตายลงเสียก่อน
    จากนั้นเกิดใหม่จะมีกายสังขารที่เป็นอมตะอย่างหลวงปู่
    ที่เรียกว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรก็เพราะท่านเป็นอริยเทพอริยพรหม
     
  13. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    น้อมคารวะอาจารย์เทพโลกอุดรเจ้าค่ะ
     
  14. thexjeab

    thexjeab เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    904
    ค่าพลัง:
    +685
    ขอบคุณมากสำหรับความรู้ครับ
     
  15. mu-nice

    mu-nice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +650
    อ่านแล้วขนลุกเลยรู้สึกปลื้มอย่างไรบอกไม่ถูก อนุโมทนาสาธุ ค่ะ
     
  16. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -สาธุ ได้ยินจากพระอรหัตหลายองค์แล้วว่า มีพระอรหัต 2 องค์ที่ดูแลศาสนานี้ตลอดถึง 5000 ปี คือ พระมหากัสสปะเถระ และ พระอุปคุตเถระ หรือ หลวงปู่โลกเทพอุดร ได้เจริญอิทธิบาท 4 พระมหากัสสปะเถระอยู่ใต้ภูเขา พระอุปคุตเถระอยู่ใต้ทะเล ส่วนมากพระธุดงที่ต้องการพ้นทุกข์ที่อยู่ในป่า แต่ยังติดในธรรมขั้นสูงจะได้พบท่าน ท่านจะสอนธรรมทางพ้นทุกข์
     
  17. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,801
    [​IMG]

    หลวงปู่เทพโลกอุดร มีตัวตนอยู่จริงๆ ครูบาบุญชุ่มท่านรู้ดีว่าคือใคร
    ท่านยังแวะมากราบหลวงปู่โลกอุดรอยู่เสมอเมื่อมีโอกาส
    ถ้าถามศิษย์ที่ใกล้ชิดครูบาก็อาจจะรู้ได้ ความจริงยังไงก็คือความจริง
    ครูบาบุญชุ่มท่านอาจจะยังรอเวลา เพราะถ้าท่านเปิดเผยความจริงขึ้นมาเร็วเกินไป
    หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านคงเหนื่อยกว่าเดิม กว่าที่ๆเป็นอยู่ทุกวันนี้
    แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่า เมื่อถึงเวลา ท่านจะต้องออกมารับรอง หลวงปู่เทพโลกอุดรตัวจริง
    และเมื่อวันนั้นมาถึง ทุกคนก็จะได้รู้ว่า หลวงปู่ในตำนาน นั้นมีตัวตนอยู่จริงๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2012
  18. rubian

    rubian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +483
    อันที่จริงมันก็ดู fantasy ไป แต่ถ้าเราคิดกันดีๆ ว่า อย่าลืมว่า อายุขัยของมนุษย์ในยุคนี้คือช่วง down ของอายุขัยมนุษย์ ตามที่เคยเห็นเคยอ่านกัน ในหนังสือ เราจะเคยได้ยินกันว่า มนุษย์ในยุคพระศรีอาริยเมตตรัยนั้นมีอายุ หลายหมื่นปี และ ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์อื่น อายุ ถึงแสนปี

    คิดเล่นๆ ถ้ามีมนุษย์ยุคก่อนที่อายุขัย สัก ห้าหมื่นปี และมีอิทธิฤทธิ์ ก็คงจะดำรงชีพผ่านยุคผ่านสมัยตั้งแต่สมัยเมื่อหลายพันปีมาก็เป็นได้

    แฮะๆ จินตนาการไปนิด แต่ผมว่านี่อาจจะเป็นคำตอบก็ได้นะว่า ทำไม หลวงพ่อ องค์นั้นท่านจึงไม่บอกอายุขัย ???
     
  19. pongtera24p

    pongtera24p ชมรมศิษย์หลวงปู่เทพโรคอุดร พิจิตร

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    887
    ค่าพลัง:
    +1,905
    พลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านคือพระอรหันตเถรนามว่าพระอุตรเถรที่เข้ากับพระโสณเถรมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ เมื่อพศ253 ท่านเป็นอมตด้วยอิทธิบาท4ครับ ท่านยังมีกายสังขารอยู่ครับ
     
  20. j_samsen

    j_samsen สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +4
    ขออนุโมทนาบุญกับท่านเจ้าของกระทู้ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ<!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...