หลวงปู่ทิมวัดละหารไร่ ขุนแผนผงพรายกุมาร/ลูกอมผงพราย/หนุมาน/ปิดตา/ตะกรุด

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย พลังชาตรี 13, 17 พฤษภาคม 2012.

  1. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ขุนแผนผงพรายกุมาร/ลูกอมผงพราย/หนุมาน/ปิดตา/ตะกรุด<!-- google_ad_section_end -->

    กดชมกระทู้หลักที่นีครับ (ด้านล่างกดเลยครับ)

    http://palungjit.org/threads/หลวงปู...กุมาร-ลูกอมผงพราย-หนุมาน-ปิดตา-ตะกรุด.296936/


    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->กระทู้พระแท้พระสวย พร้อมบัตรรับรองพระแท้ครับ


    ........." บัญชีในการโอนและจองพระที่บูชา ".........
    - นาย กัณฐกะ ผดุงชอบ (เล็กทับน้ำ) 45 หมู่ที่ 4 ตำบททับน้ำ อำเภอบางปะหัน จังหวัดอยุธยา 13220

    - ธนาคาร ไทยพาณิชย์ 1222285288 สาขาถนนสิรินธร ออมทรัพย์

    บัญชีโอนมาจากต่างประเทศ

    MR.Kanthaka Padungchob
    siam Commercial Bankpublic Company Limited
    สาขา ถนนศิรินธร

    เลขบัญชี (account No) 1222285288

    swife code.SICATHBK

    - สนใจสอบถามบูชาได้ 0827893576

    เล่นกันแบบมีข้อสรุปยุติสบายใจครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2012
  2. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    มหามนต์ตราชั้นสูง เมตตรามหานิยมเป็นเลิศ ขุนแผนผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม ระหารไร่ ปี 2517

    พระที่ได้รับความนิยมอันดับ ๑ ตลอดกาล/(เป็นที่นิยมชมชอบของชายหนุ่มทุกยุดทุกสมัยที่ใฝ่หา)



    คงจะไม่ต้องกล่าวถึงในเรื่องพระพุทธคุณหรือประสบการณ์นะครับ เพราะเป็นที่รู้กันว่า ความเป็นมหามนต์ตราชั้นสูงและเมตตรามหานิยมที่เลิศนั้นเป็นที่ยอมรับว่าเป็นอันดับ ๑ ของเมืองไทยอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

    ท่านที่มีบูชาและมีครอบครองเท่านั้นครับที่จะทราบรู้ว่าเลิศล้ำเพียงไร ถึงมีค่านิยมทวีคูณสูงขึ้นอย่างไม่มีวันตก

    องค์ที่ ๑. พร้อมเลี่ยมทอง

    พิมพ์ใหญ่เนื้อเหลือง (ว่านสีดอกทอง)หลังตะกรุดสาริกาคู่ (นิยมสุดๆ)
    มีมวลสารของผงพรายกุมากชิ้นใหญ่ๆกระจายทั่วองค์พระเห็นชัดๆไม่ต้องลงกล้อง


    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>

    <!-- google_ad_section_start -->[​IMG]

    องค์ที่ ๒. พร้อมเลี่ยมทอง

    พิมพ์ใหญ่เนื้อแดงชมพู บรอนซ์ทองด้านหน้า (นิยม) เป็นพระที่หายากมากครับ เพราะได้รับความนิยมในเนื้อหาที่หลวงปู่ท่านบรรจุกสิณในเรื่องของเมตตามหานิยมเป็นพิเศษ และในเรื่องการค้าขายที่จะนำมาถึงความรำรวยมั่งคั่ง (มีบัตรรับรองพระแท้การันตี)

    พิมพ์ใหญ่เนื้อแดงชมพู บรอนซ์ทองหน้า บล๊อก ๒ มีเส้นเกษาหลวงปู่ที่เกศด้านขวาบนครับ
    (เป็นพระที่สวยองค์หนึ่งครับในโซนเนื้อนี้) พิจารณาชมดูครับ



    [​IMG]


    พร้อมบัตรรับรองพระแท้ไม่ต้องเสี่ยงกับเงินแท้ของท่านครับ
    บูชาพระแท้เปี่ยมด้วยพุทธคุณสบายใจกับ พลังชาตรี 13

    [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->


    เล่นพระสวยพระดีมีมาตรฐาน เล่นแบบสบายใจพร้อมบัตรรับรองพระแท้

    พระไม่ดีไม่แท้ไม่นำมาลงให้ศึกษากันผิดๆครับ

    บูชาพระไม่ต้องเสี่ยงพร้อมใบเซอร์ พลังชาตรี 13

    รับประกันพระแท้ไม่มีกำหนด องค์ใหนเก็ บวกให้ 2000 บาท<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  3. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    ปิดตาน้ำท่วม มรดกหลวงปู่ทิมที่น่าบูชา

    พระที่หลวงปู่ทิมตั้งใจสุดๆ ตามที่ทางคุณเพียรวิทย์เล่าให้ฟัง หลวงปูทิมท่านเอา ผงพรายออกมาจากคำภีร์ ที่ท่านนำแผนผงพรายสอดไว้ไม่แน่ใจว่าเป็นส่วนกระโหลกที่ยังไม่ได้ตำหรือเปล่า หลวงปู่ทิมที่ทำการพี มานิดแล้วใส่ลงใน ตะกั่ว มาดูครับเรื่องเมตตาและพรายคุ้มครองสุดยอดครับ พระองค์ที่แจกครับว่า พระชุดนี้หลวงปู่เป็นผู้สร้างเอง นั่งควบคุมการเทเอง และแถมยังเป็นผู้ดำริคิดสร้างเอง วัตถุมงคลชุดนี้คือ “พระปิดตาและรูปเหมือนเจริญพรรุ่นน้ำท่วม”

    กรรมวิธีการสร้างและสลับซับซ้อนอย่างไร ทำไมจึงเรียกว่า “รุ่นน้ำท่วม”


    หลวงปู่ทิม ท่านก็ปรารภกับผมว่าอยากจะทำพระสักรุ่นหนึ่งเพื่อเป็นที่ระลึกตอนน้ำท่วม ผมได้ยินเช่นนั้นจึงพูดสนับสนุนทันที เพราะทราบอยู่ในใจว่า หลวงปู่เป็นผู้ที่สร้างของยาก เมื่ออท่านเอ่ยเช่นนี้แสดงว่าพวกเราจะได้ของดีจากท่านไว้ติดตัวอย่างแน่นอน ท่านใช้ผมไปตามหลวงลุงรอด ซึ่งมีห้องอยู่ตรงข้ามห้องของหลวงปู่ เมื่อมาถึงหลวงปู่ได้ถามหลวงลุงรอดว่า ตะกั่วที่นี่ให้เก็บไว้ ให้เอาออกมาให้หมดจะทำพระไว้แจก เมื่อท่านพูดเสร็จหลวงปู่ก็ลุกไปที่ห้องท่านและเรียกผมเข้าไปด้วย หลวงปู่ใช้ให้ผมมุดเข้าไปใต้เตียงนอนตรงบริเวณหัวเตียงด้านล่างจะมีถังใบหนึ่งภายในมี ตะกั่วเป็นก้อนๆ บรรจุอยู่เต็มไปหมด ท่านให้ผมลากออกมาผมสังเกตว่า นอกจาก ตะกั่วแล้วยังมีตะกรุดเก่าๆ ที่เป็นเนื้อชินตะกั่วและตะกั่วอวนเป็นเม็ดๆ อยู่ในนั้นอีกด้วย ผมยังหยิบเก็บไว้ดูเป็นที่ระลึกดอกหนึ่งและเม็ดตะกั่วอีก ๕-๖ เม็ด สำหรับแผ่นตะกั่วที่อยู่ในห้องหลวงลุงนั้น เป็นแผ่นตะกั่วยาวๆ นิ่มอ่อน หลวงปู่ได้ใช้ให้ผมตีตะกั่วแผ่ออกเป็นแผ่น เมื่อตีจนได้ที่แล้วท่าน ก็ใช้เหล็กจารอักขระลงไปทีละแผ่น หลังจากนั้นท่านก็ให้ผมพับแผ่นตะกั่วและใช้ฆ้อนตีกลับไปกลับมาและแผ่ออกมาใหม่ และจึงใช้เหล็กจารอักขระลงไปอีก และก็ทุบกลับไปกลับมาอีก ทำเช่นนี้ตั้งหลายครั้งจนผมสงสัยจึงถามหลวงปู่ว่า หลวงปู่ ทำไมต้องทำแบบนี้ ไม่เห็นสนุกเลย ท่านตอบว่า คนโบราณเรียกว่า ลงถมต้องลงให้ครบ ๙ ครั้งถ้าได้ ๑๐๘ ครั้งยิ่งดีใหญ่ พวกเราพอได้ยินเช่นนั้นจึงได้ช่วยหลวงปู่ทำเพื่อหวังขอของดีจากหลวงปู่ในครั้งนี้
    กว่าจะลงถมเสร็จก็ใช้เวลากว่า ๓ วัน เมื่อหลวงปู่เห็นว่าดีแล้วท่านก็รวบรวมแผ่นตะกั่วทั้งหมดรวมทั้งตะกั่วเถื่อนที่อยู่ในห้องของท่าน ผมสังเกตว่าตะกั่วทุกก้อนที่อยู่ในห้องของท่านจะมีจารอักขระทุกก้อน แสดงว่าท่านได้เตรียมการมานานแล้ว แต่ยังหาโอกาสและฤกษ์ดีไม่ได้ จากนั้นท่านจึงนำตะกั่วทั้งหมดทำพิธีปลุกเสกในห้องของท่าน ๗ วัน จนถึงวันเสาร์ หลวงปู่ก็เรียกผม เณรฉ่ำ เณรลาว และช่างมงคล หลวงลุงรอด ให้มาหาและบอกว่า วันนี้ฤกษ์ดี
    เทวดารักษา จะได้ลงมือทำพระกันเสียที เมื่อท่านพูดเสร็จท่านหยิบ ขันสำริด ที่ก้นขันได้จารอักขระเต็มไปหมด ต่อจากนั้นจึงให้หลวงลุงเอาพิมพ์พระเครื่องต่างๆ มาให้ท่านดู ท่านได้เลือกดูสักพักจึงหยิบเอาพิมพ์ปิดตาและพิมพ์รูปเหมือนเจริญพร ที่ทางคุณชินพร สุขสถิตย์ ได้ถวายคืนให้วัดนำมาพิจารณาต่อ ต่อจากนั้นหลวงปู่ก็หยิบเหล็กจารจารลงไปที่พิมพ์ปิดตาและพิมพ์เจริญพร พนมมืออธิษฐานจิต ซึ่งพวกเราก็ได้แต่ดูการกระทำของท่านอยู่เงียบๆ หลังจากนั้น
    จึงตั้งไปเพื่อที่จะหลอมตะกั่ว

    แต่ก่อนที่จะทำพิธีหลอมตะกั่วนี้ หลวงปู่ได้ลุกขึ้นไปหยิบคัมภีร์ใบลานเก่าค่อยๆ เปิดทีละแผ่น หยิบวัสดุชิ้นสีขาวออกมาชิ้นหนึ่ง ซึ่งพวกเราที่อยู่ในพิธีนี้รู้ทันทีว่า “วัสดุสีขาวที่หลวงปู่หยิบออกมาคือหัวกะโหลกเด็กที่หลวงปู่นำมาทำผงพรายกุมาร ทุกครั้งที่จะมีการสร้างพระผง ท่านยกมือบริกรรมคาถาอยู่ชั่วครู่ใหญ่ จึงค่อยๆ บิหัวกะโหลกพรายกุมาร แล้วจึงใช้ค้อนทุบลงไปในแผ่นตะกั่ว เณรฉ่ำเห็นเช่นนั้นจึงถามหลวงปู่ว่า หลวงปู่ทุบหัวกะโหลกหรือ? ท่านก็เงื้อค้อนตีเณรบอกว่า กำลังตีตะกั่วอยู่ไม่เห็นหรือไง? จากนั้นท่านจึงค่อยๆ บรรจงเอาแผ่นตะกั่วชิ้นนี้วางลงไปในขันสำริดและติดไฟสุมอ่อนๆ จนแผ่นตะกั่วละลายลงไปทีละน้อย
    พระชุดนี้หลวงปู่ปลุกเสกอยู่ทุกคืนเป็นเวลานาน จนพระเครื่องที่มีอยู่ในบาตรเต้นระรัวกระทบกันเสมือนคั่วข้างตอกแตก มีบางองค์กระเด็นออกมานอกบาตรก็มี ผมเห็นเช่นนั้นจึงได้ขอหลวงปู่เก็บไว้ส่วนตัวจำนวนหนึ่งซึ่งท่านก็มอบให้ หลวงปู่ได้ทำการแจกพระชุดนี้ให้แก่บรรดาผู้ที่นับถือท่านนำไปใช้และที่ไปกราบท่านที่วัด ท่านจะพูดเสมอว่า
    เก็บไว้ให้ดีของนี่รักษาตัวได้ และยังทำยากอีกด้วย พระปิดตาและรูปเหมือนเจริญพร

    หลวงปู่เคยกล่าวให้ฟังว่า ตะกั่วเถื่อนที่นี่ได้มาเป็นของดีที่เกิดเองตามธรรมชาติ เมื่อมานำทำเป็นองค์พระให้ถูกต้องตามตำราที่นี่เรียนมา จะมีอำนาจความศักดิ์สิทธิ์สูงมากเพราะตะกั่วมีกระแสการดูดซับและรับพลังจิตจากผู้เสกเข้าไปได้ง่ายและรวดเร็วมาก

    พระปิดตา รุ่นน้ำท่วมนี้สร้างขึ้นด้วยความตั้งใจของหลวงปู่เอง เพื่อฝากความเป็นอมตะของพระรุ่นนี้ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ใช้


    อ่านประวัติปิดตาน้ำท่วมแบบเต็มๆมีอยู่ด้านบนครับ



    [​IMG]


    พร้อมบัตรรับรองพระแท้ไม่ต้องเสี่ยงกับเงินแท้ของท่านครับ
    บูชาพระแท้เปี่ยมด้วยพุทธคุณสบายใจกับ พลังชาตรี 13


    [​IMG]

    พระไม่ดีไม่แท้ไม่นำมาลงให้ศึกษากันผิดๆครับ

    บูชาพระไม่ต้องเสี่ยงพร้อมใบเซอร์ พลังชาตรี 13


    รับประกันพระแท้ไม่มีกำหนด องค์ใหนเก็ บวกให้ 2000 บาท<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  4. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    เหรียญพระพุทธโสธร หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ปลุกเสก เนื้อทองแดงรมดำ

    ปี ๒๕๑๔ วัดเขาสำเภาทอง จังหวัดระยอง

    เหรียญนี้จัดสร้างเมื่อคราววางศิลาฤกษ์ เพื่อสร้างอุโบสถ วัดเขาสำเภาทอง เมื่อปี ๒๕๑๔ ปลุกเสกโดย เกจิอาจารย์ผู้เรืองวิทยาคมหลายท่าน

    1.โดยมีหลวงปู่ทิมนั่งปรกปลุกเสก เจ้าพระเจ้าแห่งเมืองระยอง
    2.หลวงพ่อชื่น วัดมาบข่า
    3.หลวงพ่อบุญ วัดบ้านนา
    4.หลวงพ่อรวย วัดท่าเรือ ร่วมปลุกเสก

    ขนาดพระประมาณ ๒x๒.๗ ซม. ประวัติการสร้างชัดเจนมีลงอยู่ในหนังสือประวัติและวัตถุมงคลของ หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ โดยได้ลงประวัติใว้อย่างชัดเจนครับ

    เป็นพระปีเก่า 2514 พิธีดีมากเกจิดังๆหลายท่านร่วมปลุกเสก เจตนาสร้างบริสุทธิ์ชัดเจนจำนวนจัดสร้าง 10000 เหรียญ

    สำหรับองค์นี้พร้อมบัตรรับรองพระแท้ จัดแบบสวยๆมาให้ จมูกโด่งคมๆ เหรียญสวยๆ ส่องดูแล้วสบายใจพระแท้แน่นอน

    แนะนำและนำมาฝากเพื่อนๆ ศิษย์หลวงปู่ทิม ทุกๆท่าน

    พระชุดนี้ได้มาจากสายตรงแห่งบ้านค่ายแท้แน่นอน ผ่านการรับรองพระแท้มาตรฐาน เรียบร้อยแล้วครับ

    จัดสร้างแค่ 10000 เหรียญ แต่ในตลาดมีหลายหมื่นเหรียญเก็มากกว่าแท้

    สบายใจได้ในพุทธคุณหลวงพ่อโสธรและหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ปลุกเสก

    บัตรรับรองพระแท้ สบายใจได้ในพุทธคุณ

    [​IMG]

    จัดแบบสวยๆมาให้ จมูกโด่งคมๆ เหรียญสวยๆ

    องค์ที่ ๑..พร้อมบัตรรับรองพระแท้

    [​IMG]

    ดูพิจารณารอยตัดขอบเหรียญครับ

    [​IMG]


    หนังสือประวัติและวัตถุมงคลของ หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ โดยได้ลงประวัติใว้อย่างชัดเจนครับ


    องค์ที่ ๒.. จองแล้วครับ

    [​IMG]


    องค์ที่ ๔..

    [​IMG]


    องค์ที่ ๕..

    [​IMG]


    พร้อมบัตรรับรองพระแท้ มาตรฐานสากล

    เล่นพระสวยพระดีมีมาตรฐาน ประกันแท้ตลอดกาล ไม่มีกำหนด

    พระแท้ราคาแท้ไว้ใจได้ในเรื่องพุทธคุณ พลังชาตรี 13

    กติกาในการประกันครับเก็องค์ใหนจ่ายคืนเต็มจำนวน บวกค่าเสียเวลาให้อีก 2000 บาททุกองค์ พระแท้คือแท้ไม่กลัวประกันครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  5. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    25 พุทธศตวรรษ หลวงปู่ทิมเสก ตอก 2 โค้ด พิมพ์นิยม มีเข็ม
    พระเครื่องชุด 25 พุทธศตวรรษ พิมพ์มีเข็ม หลวงปู่ทิมปลุกเสก กับ วัดป่าประดู่ (พระอารามหลวง ประจำเมืองระยอง)

    นั้น มาจากในคราวที่จัดพิธี ฉลองพุทธ 25 พุทธศตวรรษ ทางราชการได้จัดให้ วัดป่าประดู่ เป็นหนึ่งในสถานที่จัดพิธีเฉลิมฉลองดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้ทางวัดได้รับ พระเครื่องชุด 25 พุทธศตวรรษ จำนวนหนึ่งมาจากทางหน่วยงาน ราชการ และ ท่านหลวงพ่อหล่ำ จึงได้นำพระครื่องทั้งหมดที่ได้รับมอบมาทำการบรรจุกรุ ในปีต่อมา ดังที่ได้กล่าวไว้เบื้องต้น. เหตุผลของการแตกกรุ อันเนื่องมาจากเมื่อปี (พ.ศ.2547) ทางวัดป่าประดู่ จะทำการย้าย พระอุโบสถ หลังเดิมที่ดูคับแคบ ไปยัง พระอุโบสถ หลังใหม่ เลยทำการเปิดกรุดังกล่าว จึงได้พบพระเครื่องชุด พระพุทธ 25 ศตวรรษ ที่ได้บรรจุกรุไว้

    ในสมัย ท่านหลวงพ่อหล่ำ และ ทางวัดได้ทำ สัญลักษณ์เป็นโค๊ต ตอกไว้บนเหรียญทุกเหรียญครับ. นอกจากนั้น
    พระชุดนี้ยังผ่านพิธีปลุกเสกพระเครื่อง และ วัตถุมงคลของวัดป่าประดู่ หลายต่อหลายครั้งด้วยกันเช่น ในคราวพิธีพุทธาภิเษกรูปเหมือน หลวงพ่อแอ่ว วัดป่าประดู่ และ วัตถุมงคลรุ่นแรกของท่านเมื่อปี พ.ศ.2507 โดยมีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังมาร่วมปลุกเสกมากมาย อาทิเช่น

    1. หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
    2. หลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง
    3. หลวงพ่อหอม วัดซากหมากฯ
    4. หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
    5. หลวงปู่นาค วัดระฆังฯ
    6. หลวงปู่เฮี้ยง วัดป่าฯ เป็นต้น และ ถือเป็นสุดยอดพิธีของเมืองระยอง

    พิธีหนึ่งที่ต้องบันทึกไว้ตลอดไป เพราะว่าเป็นพิธีที่ทำให้ สาธุชนทั่วไปรู้ถึง กิตติคุณ ความเก่ง และ ขลัง ของ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดังนั้น พระดี พิธีสุดยอดของ กึ่งพุทธกาล ผนวกกับ สุดยอดพิธีเมืองระยอง บรรจุกรุมามากกว่า 40 ปี ควรค่าในการสะสมเป็นอย่างยิ่งครับ พระทุกองค์
    ทางวัดป่าประดู่ได้ทำการตอกโค๊ต ( วป ) ไว้ทุกองค์ครับ ถ้าเป็นเนื้อดินจะปั๊มยันต์หมึกสีน้ำเงินครับ


    พิธีที่สุดยอดของ กึ่งพุทธกาล ประสบการณ์มากมายที่ท่านรู้จัก

    สุดยอดพิธีเกจิอาจารย์ เมืองระยอง ที่เข้มขลังไปด้วยพุทธคุณ

    สองพิธีผนวกกัน คือที่สุดของสุดยอด 25 พุทธศตวรรษ ในยุดนี้ครับ


    [​IMG]


    แนะนำครับ ของดีสุดยอดมหาประสบการณ์ในศตวรรษนี้ บวกกับพุทธคุณที่หลวงปู่ทิมปลุกเสกบรรจุพุทธคุณอีกครั้ง และยังได้หลวงพ่อทาบเสกด้วย นับว่าสุดยอดที่สุดแล้วครับ


    25 พุทธศตวรรษแท้ๆพิมพ์นิยมมีเข็มยังได้หลวงปู่ทิมเสกตอก 2 โค้ดแท้ๆ

    พระไม่ดีไม่แท้ไม่นำมาลงให้ศึกษากันผิดๆครับ

    บูชาพระไม่ต้องเสี่ยงพร้อมใบเซอร์ พลังชาตรี 13

    รับประกันพระแท้ไม่มีกำหนด องค์ใหนเก็ บวกให้ 2000 บาท

    แล้วท่านบูชาความสบายใจในพุทธคุณใหมครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  6. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    พระปิดตาหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ ออกวัดเนินกระปรอก สร้างขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๑๖

    พิธีพุทธาภิเษก
    พระเครื่องเพื่อออกทำบุญเป็นที่ระลึกอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีการนิมนต์ พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ของจังหวัดระยอง และ จังหวัดใกล้เคียงมาร่วมงานหลายท่านด้วยกัน


    หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
    ๒ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ท่านให้เกรียรติมาเป็นประธานพุทธาภิเษก
    ๓ หลวงพ่อชื่น วัดมาบข่า
    ๔ หลวงพ่อหอม วัดซากหมากป่าเรไรย์
    ๕ หลวงพ่อนิด วัดทับมา
    ๖ หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส
    ๗ หลวงพ่อทอง วัดก้อนแก้ว
    ๘ หลวงพ่อเดช วัดเขาเพชรกรรจ์ จ.ปราจีนบุรี
    ๙ หลวงพ่อถึก วัดสนามช้าง จ.ฉะเชิงเทรา

    โดย พระเกจิอาจารย์ ทั้ง ๙ รูปต่างนั่งปรกปลุกเสกอย่างเต็มที่ และ ขณะที่มีพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลทั้งหมดอยู่นั้น ได้เกิดเหตุการณ์ณ์มหัศจรรย์ มีลมพายุหมุนอย่างแรง เป็นทักษิณาวัตร มุ่งตรงไปยังปะรำพิธี ที่มีพิธีพุทธาภิเษก แล้วก็พลันหายไปเฉยๆ ท่ามกลางความตกตะลึง สำหรับประชาชนทุกคนที่อยู่ในพิธี อีกทั้ง

    หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ถึงกับลืมตา และ อุปทานออกไปว่า วัตถุมงคลชุดนี้ทั้งหมด เป็นวัตถุมงคลที่มี บุญญฤทธิ์ดีเยี่ยม เท่าที่เคยนั่งปรกปลุกเสกมา.

    นอกจากนั้น หลังจากพิธีพุทธาภิเษก เสร็จสิ้นสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ทางวัดเนินกระปรอก ได้นำวัตถุมงคล ทั้งหมดออกมาให้ประชาชน ได้ทำบุญ และ บูชากัน และมีบางคนได้นำไปทดลองพุทธคุณ โดยนำเหรียญปิดตาไปลองยิงดู ปรากฏว่า ปืนแตก ยิงทำให้ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ และ ทราบเรื่องต่างไป บูชา วัตถุมงคล ชุดดังกล่าว จนหมด ครับ.
    สำหรับวัตถุมงคลที่สร้างประกอบไปด้วย
    ๑. เหรียญปิดตา ด้านหลังเป็นยันต์ ๕ อันเป็นยันต์ประจำของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
    (ยันต์มหาจินดามณี)
    ๒. เหรียญรูปเหมือน กลมเล็ก หลวงปู่ทิม มีทั้งแบบที่ตอกโค๊ด นะ(แอล) และ ไม่ตอกโค๊ด เป็นเรื่องแปลกที่เหรีญรุ่นนี้สร้างก่อน เหรียญชุด ๘ รอบของหลวงปู่ทิม ๒ ปี(ปี ๒๕๑๘) แต่เหรียญกลมเล็กรุ่นนี้ตอกโค๊ด นะ(แอล) แต่เป็นคนละตัวกับชุดที่ตอกในเหรียญเสมา ๘ รอบ เพราะมีขนาดเล็กกว่า แต่รูปแบบเหมือนกันมาก เหรียญที่ตอกโค๊ดสัณนิษฐานว่า แจกเฉพาะกรรมการ เพราะพบเจอน้อยมาก ครับ.
    ๓. พระปิดตาเนื้อผงพุทธคุณ ทาทอง ทีด้านหน้า ด้านหลังเป็นยันต์ ๕ พบเจอน้อย ส่วนใหญ่จะตกอยู่กับคนพื้นที่ เป็นส่วนใหญ่.
    สาเหตุที่ทางวัดสร้างวัตถุมงคล เป็นรูปหลวงปู่ทิม และ ด้านหลังใช้ยันต์ครู (ยันต์ ๕) ของท่าน ก็เพราะก่อนงาน พุทธาภิเษก

    หลวงปู่ทิม ท่านได้เมตตาปลุกเสกเดี่ยวให้ก่อนแล้ว และช่วงเวลานั้น หลวงปู่ทิม ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมาก และ ผู้คนชาว จ.ระยอง และ จังหวัดใกล้เคียงต่างก็อยากได้วัตถุมงคลของท่าน ติดตัวกันทั้งนั้น ทางวัดเลยขออนุญาตท่านจัดสร้างขึ้น และ ท่านก็อนุญาตให้สร้างขึ้นได้ ครับ.
    นับเป็นวัตถุมงคล อีกรุ่นหนึ่งที่หลวงปู่ทิม ท่านได้เมตตาปลุกเสกให้ในช่วงแรกๆ ในการสร้างวัตถุมงคลของท่าน

    [​IMG]

    พร้อมบัตรรับรองพระแท้ไม่ต้องเสี่ยงกับเงินแท้ของท่านครับ
    บูชาพระแท้เปี่ยมด้วยพุทธคุณสบายใจกับ พลังชาตรี 13

    [​IMG]

    เหรียญที่แนะนำครับ
    เป็นเหรียญที่หลวงปู่ทิม ท่านปลุกเสกให้กรณีพิเศษก่อนที่จะลงปลุกเสกในพิธีใหญ่ และเป็นเหรียญที่มีประวัติการสร้างที่หลวงปู่ทิมเมตตาปลุกเสกอย่างชัดเจนครับ (มีประสบการณ์ในพุทธคุณมากครับ)


    " ความเชื่อที่ผิดๆในเรื่องพระปิดตา "

    พระปิดตาเป็นพระเครื่องอีกรูปแบบหนึ่ง ที่คนนิยมกันมากในระยะหลัง เนื่องด้วยรูปแบบและกรรมวิธีการสร้าง

    พระปิดตา ในสมัยก่อนแรกๆจะไม่ค่อยมีคนสนใจเนื่องจาก มีความเชื่อกันมาก่อน เช่น มีพระปิดตาในบ้านแล้วคลอดลูกยากบ้าง มี พระปิดตา แล้วค้าขายของยาก ซึ่งเป็นความเข้าใจ ผิดๆ กันมาตลอดเลยครับจริงแล้วพระปิดตาเป็น พระเมตตามหาโชดครับ

    พระเครื่องประเภทหนึ่งที่นิยมกันมาก ด้วยพุทธลักษณะขององค์พระที่แตกต่างทั้งกรรมวิธีการส ร้าง รวมทั้งมีพุทธศิลปะ เป็นเอกลักษณ์แตกต่าง จากพระเครื่อง ประเภทอื่นๆ จนกลายเป็น ความโดดเด่น และได้รับความนิยม อย่างสูงยิ่ง ในหมู่พุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะ วงการพระเครื่อง ซึ่งรู้จักกัน ในนาม "พระปิดตา" กับ "พระมหาอุต"

    พุทธลักษณะของพระปิดตา เป็นรูปองค์พระ ที่ค่อนข้างอวบอ้วน ยกพระหัตถ์ ขึ้นปิดพระพักตร์ บางสำนัก ก็จะทำเป็นรูปมือ เพิ่มอีก ๒ ข้าง เอื้อมไปปิดทวารด้านล่าง (วงการเรียก "โยงก้น") อีกด้วย

    ประวัติการสร้างพระปิดตาในประเทศไทยนั้น เริ่มต้นในยุคอยุธยาตอนปลาย

    การสร้างพระปิดตา เริ่มได้รับความนิยมแพร่หลายตั้งแต่ตอนต้นยุครัตนโกส ินทร์เรื่อยมา จากข้อมูลดังกล่าวอาจได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่า พระปิดตาทั้งหมดเป็นพระปิดตาคณาจารย์ ซึ่งหมายถึงพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณเป็นผู้จัดสร้าง ไม่ใช่เป็นพระกรุที่สร้างโดยเจ้าพระยามหากษัตริย์ และไม่มีการสร้างก่อนสมัยอยุธยาตอนปลาย

    ลักษณะเด่นของพระปิดตานั้นนับเป็นพระเครื่องที่แสดงถึง "นัย" หรือ "ปริศนาธรรม" แห่งงานพุทธศิลปะอย่างโดดเด่น ยากจะหาพระเครื่องประเภทใดเทียบเทียมได้

    ความหมายเบื้องต้นแห่งการปิดตาก็คือ การปิด "ทวาร" หรือทางเข้าทางออกแห่งอาสวะกิเลสทั้งหลาย

    ซึ่งเราชื่อกันว่าร่างกายของมนุษย์ (หรือสัตว์) มี "ทวาร" หมายถึง ประตูแห่งการเข้าออก ๙ ทาง ได้แก่ ตา ๒ จมูก ๒ หู ๒ ปาก ๑ รวมทั้ง ช่องทางขับถ่ายด้านหน้าและ ด้านหลังอีก ๒ รวมเป็น ทวารทั้ง ๙
    การปิดกั้นทวารทั้ง ๙ เป็น

    ปริศนาธรรม ที่กั้นกิเลสจากภายนอกไม่ให้เข้ามาสู่ ภายใน เพื่อจุดหมายแห่งการปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งโบราณาจารย์ที่สร้างพระปิดตา (หรือปิดทวาร) ในอดีตจะเป็นพระภิกษุที่ขึ้นชื่อลือเลื่องทางวิปัสสน าธุระทั้งสิ้น

    แต่การสร้างรูปจำลองในลักษณะนี้ ค่อนข้างยากต่อการออกแบบ ส่วนใหญ่จึงพบการแสดงความหมายให้เห็นเพียงการปิดพระพักตร์ ซึ่งรวมถึงการปิดปากเท่านั้น

    หากมองในแง่ความสำคัญทางการเมืองการปกครองจะพบว่า อำนาจของภิกษุสงฆ์ไม่ได้จำกัดอยู่ใน "พุทธจักร" อย่างเดียว หากแต่ยังก้าวไปถึง "อาณาจักร" อีกด้วย ตัวอย่างของบทบาทดังกล่าวจะเห็นได้ชัดในกรณี ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆัง ธนบุรี ที่สามารถเดินเข้าไปถาม เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ถึงข่าวลือเรื่องการยึดอำนาจกลับจาก ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ และขอคำยืนยันว่าจะไม่เกิดเหตุดังกล่าว

    หรือแม้แต่การที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จุดไต้ตอนกลางวันเข้าไปเตือนพระสติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ "พุทธจักร" ที่มีต่อ "อาณาจักร" อย่างเด่นชัด
    เป็นที่น่าสังเกตว่า พระเกจิอาจารย์ที่สร้างพระปิดตาในระยะแรกๆ จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนักไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
    ดังนั้น "พระปิดตา" อาจถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการประกาศตนไม่ยุ่งเกี่ยวก ับ "อาณาจักร" เพื่อมิให้เกิดการถูกนำไปอ้างอิงหรือใช้เป็นเครื่อง "ชี้นำ" ในชะตาของบ้านเมือง

    - พระปิดตาทวารทั้ง ๙ อัน เป็นการปิดกั้นอาสวะกิเลสแห่งทวารเข้าออกทั้ง ๙ ของร่างกาย

    - พระปิดตามหาอุด อันเป็นการป้องกันสรรพภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง
    ในกระบวนพระปิดตาของคณาจารย์แต่โบราณนั้น มีที่ขึ้นชื่อลือเลื่องหลายสำนักด้วยกัน วัสดุมวลสารที่นำมาประกอบเป็นองค์พระมีทั้งเนื้อชินต ะกั่ว เนื้อผงคลุกรัก เนื้อผงใบลาน เนื้อผงมวลสาร เนื้อสัมฤทธิ์ เนื้อเมฆพัด เนื้อเมฆสิทธิ์ เป็นต้น

    - พระปิดตามหาอุดหรือพระปิดทวารทั้ง 9 กันดูบ้าง ความเป็นจริงพระปิดตา ที่มีมือคู่เดียวยกขึ้นมาปิดที่ใบหน้า และพระปิดทวารทั้ง 9 นั้นก็หมายถึง

    พระภควัมปติหรือพระภควัมบดี เช่นเดียวกัน และพระมหาสังกัจจายน์ ก็คือพระอรหันต์องค์เดียวกันนั่นเองครับ

    ตามประวัติว่ากันว่าพระมหาสังกัจจายน์นั้นมีรูปร่างง ดงาม และได้รับคำชมจากพระบรมศาสดาว่า พระมหาสังกัจจายน์นั้นเป็นเอตทัคคะ และฉลาดล้ำเลิศในการอธิบายความแห่งคำที่ย่อได้อย่างพ ิสดาร ด้วยความฉลาดล้ำเลิศของพระมหาสังกัจจายน์นั่นเอง

    พระมหาสังกัจจายน์ ท่านเป็นผู้ที่มีผิวพรรณวรรณะงดงาม ตามพระบาลีว่า สุวณฺโณจวณฺณํ คือมีผิวเหลืองดังทองคำ เป็นที่เสน่ห์นิยม มิว่าท่านจะไปในสถานที่แห่งใด เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายต่างก็พากันสรรเสริญว่า ท่านคือ พระบรมศาสดาเสด็จมาแล้ว

    เพราะเหตุที่ท่านมีรูปโฉมละม้ายเหมือนพระศาสดานั่นเอ ง ท่านจึงได้รับสมญานามอีกชื่อหนึ่งว่า “พระภควัมปติ” ซึ่งมีความหมายทำนองว่า ผู้มีความงามละม้ายเหมือน พระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเอง

    เมื่อเหตุการณ์เป็นไปดังนี้ ท่านจึงมาคิดว่า การที่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายพากันสรรเสริญท่านดังน ี้ เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง สุดท้ายท่านจึงกระทำด้วยอิทธิฤทธิ์ เนรมิตกายให้เตี้ยลงจึงดูท้องพลุ้ย ไม่เป็นที่น่าดู เทพยดาและมนุษย์จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดอีกต่อไป

    ส่วนที่มีการทำ รูปเคารพเป็นรูปปิดทวารทั้ง 9 นั้น ก็คือมือคู่หนึ่งปิดหน้า คือปิดตา 2 ข้างปิดจมูก 2 ปิดปาก 1 และมีมืออีกคู่หนึ่งมาปิดที่หู 2 ข้าง ส่วนอีกมือคู่หนึ่งนั้นปิดที่ทวารทั้ง 2 รวมเป็นปิดทวารทั้งเก้า คือเป็นอุปเท่ห์หมายถึง ตอนที่พระภควัมปติท่านกำลังเข้านิโรธสมบัติ ทวารทั้งเก้าก็จะปิดสนิท ไม่ยินดียินร้ายกับกิเลสทั้งหลาย หมายถึงดับสนิท อาสวะกิเลสต่างๆ ไม่อาจที่จะเข้ามาแผ้วพานได้เลย

    จากมูลเหตุนี้เอง คณาจารย์ต่างๆ ท่านจึงสร้างรูปเคารพ เป็นรูปพระปิดตา (คือมีมือคู่เดียวมาปิดที่หน้า) บ้างเป็นรูปพระปิดทวารทั้งเก้าบ้าง และโดยส่วนใหญ่ถ้าเป็นพระปิดตาก็จะปลุกเสกให้เด่นไปท างเมตตามหานิยม โชคลาภโภคทรัพย์

    แต่ถ้าเป็นพระปิดทวารทั้ง 9 ก็จะปลุกเสกให้เด่นไปทางอยู่ยงคงกระพันชาตรีและแคล้ว คลาด พระปิดทวารทั้งเก้านั้นในสมัยโบราณ ถ้าบ้านไหนมีคนจะคลอดลูก ถึงกับต้องนำพระปิดทวารทั้งเก้าออกไปนอกบ้านเสียก่อน เชื่อกันว่าจะไม่สามารถคลอดลูกได้ก็มี ซึ่งเป็นความเชื่อกันในสมัยโบราณ

    ปริศนาธรรม ของพระปิดตา นั้นพุทธคุณเด่นในเรื่องของเมตตามหานิยมเป็นหลักครับ<!-- google_ad_section_end -->


    พระไม่ดีไม่แท้ไม่นำมาลงให้ศึกษากันผิดๆครับ

    บูชาพระไม่ต้องเสี่ยงพร้อมใบเซอร์ พลังชาตรี 13

    รับประกันพระแท้ไม่มีกำหนด องค์ใหนเก็ บวกให้ 2000 บาท<!-- google_ad_section_end -->
     
  7. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    พระเครื่องหลวงปู่ทิมที่แนะนำราคาเบาๆครับท่าน

    พระปิดตาหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ (รุ่นแรกยันต์ 2 ตัวหายากมากๆ) ออกที่วัดหนองกาน้ำ หลวงตาบางเป็นผู้รวบรวมผงพุทธคุณต่างๆแล้วนำไปจัดสร้าง โดยหลวงปู่ทิม เป็นผู้ปลุกเสก พร้อมสมเด็จหลังยันต์สามและยันต์ห้า โดยมาขออนุญาตหลวงปู่ทิม ที่วัดระหารไร่
    พร้อมขอผงพรายกุมารหลวงปู่ทิม เพื่อผสมกับผงหลากหลายอาจารย์ที่แกได้แสวงหามาตลอดชีวิตธุดงค์
    พระปิดตาหลวงปู่ทิม ได้จัดสร้างขึ้นมา 3 ครั้ง พระปิดตามีสองสีคือสีดำซึ่งมีน้อยมาก และสีเนื้อน้ำตาลแก่ จะใช้พิมพ์เดิม แต่จะเปลี่ยนยันต์หลัง

    ครั้งที่ 1. ด้านหลังจะมียันต์สองตัว (รุ่นแรกครับ)
    ครั้งที่ 2. ด้านหลังจะเพิ่มเป็นสี่ตัว
    ครั้งที่ 3. ด้านหลังจะเพิ่งเป็นหกตัวตามลำดับ

    เป็นพระเครื่องชุดหลวงปู่ทิมที่น่าสะสมเป็นอย่างมาก โดยมีส่วนผสมของผงพรายกุมารอันลื่อลั่น และผงพุทธคุณของหลวงตาบางที่ท่านได้สะสมมาครับ

    [​IMG]

    พร้อมบัตรรับรองพระแท้ สบายใจได้ให้เรื่องพุทธคุณ

    [​IMG]


    เหรียญที่แนะนำครับ
    เป็นเหรียญที่หลวงปู่ทิม ท่านปลุกเสกให้กรณีพิเศษก่อนที่จะลงปลุกเสกในพิธีใหญ่ และเป็นเหรียญที่มีประวัติการสร้างที่หลวงปู่ทิมเมตตาปลุกเสกอย่างชัดเจนครับ (มีประสบการณ์ในพุทธคุณมากครับ)

    เล่นพระดีพระแท้แบบมาตรฐาน สบายๆใจในเรื่องพุทธคุณ

    พร้อมบัตรรับรองพระแท้ มาตรฐานสากล

    เล่นพระสวยพระดีมีมาตรฐาน ประกันแท้ตลอดกาล ไม่มีกำหนด


    พระแท้ราคาแท้ไว้ใจได้ในเรื่องพุทธคุณ พลังชาตรี 13

    กติกาในการประกันครับเก็องค์ใหนจ่ายคืนเต็มจำนวน บวกค่าเสียเวลาให้อีก 2000 บาททุกองค์ พระแท้คือแท้ไม่กลัวประกันครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end -->
     
  8. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    ลูกอมผงพุทธคุณ (ผงพราย) ออกวัดไผ่ล้อม หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ ปลุกเสก

    โดยมีเกจิอาจารย์อีกหลายคณาจารย์ปลุกเสกแบบหมู่และเสกเดียวปี 2513 จนเกิดอัศจรรย์ขี้น


    หลวงปู่ทิมท่านได้บอกว่า " ทำให้ดีแล้ว " ท่านสมามรถใช้แทนลูกอมราคาแพงได้ครับ

    [​IMG] [​IMG]

    ได้มา 3 ลูกแบ่งให้ 1 ลูกครับ ด่วนนะครับ 1 ลูกเท่านั้น

    พร้อมออกบัตรรับรองพระแท้ให้แล้วครับ สบายใจในพุทธคุณ

    มีให้เลือกอีก 2 ลูกครับ ต้องการบัตรรับรองเพิ่ม 500 บาทครับ (ยังไม่ได้ออกบัตร)

    ลูกที่ ๑. จองแล้วครับ

    [​IMG]

    ลูกที่ ๒. ลูกสุดท้ายแล้วครับท่าน

    [​IMG]


    ลูกอมผงพุทธคุณ (ผงพราย) ออกวัดไผ่ล้อม หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ ปลุกเสก

    โดยมีเกจิอาจารย์อีกหลายคณาจารย์ปลุกเสกแบบหมู่และเสกเดียวปี 2513 จนเกิดอัศจรรย์ขี้น

    หลวงปู่ทิมท่านได้บอกว่า " ทำให้ดีแล้ว " ท่านสมามรถใช้แทนลูกอมราคาแพงได้ครับ

    พระแท้ราคาแท้ไว้ใจได้ในเรื่องพุทธคุณ พลังชาตรี 13<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  9. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    เหรียญมหาลาโภ หลวงปู่สิม สหธรรมมิก หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่

    หลวงปู่สิม ศิษย์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ท่านเป็นพระวิปัสสนากรรมฐานที่เก่งไม่ใช่เฉพาะชื่อเสียงด้านความขลังเท่านั้น แต่ท่านยังเป็นพระอาจารย์สอนกรรมฐานที่เก่งที่สุดรูปหนึ่ง เราจะเห็นว่ามีบทเทศนาธรรมะเรื่องการปฏิบัติของท่านมากมาย ในการนั่งกรรมฐานท่านมักสอนให้ลูกศิษย์นั่งในท่าขัดสมาธิเพชรแบบท่าของโยคะ ท่านั่งนี้ใครมีบุญนั่งได้จะดีมากๆเพราะเป็นท่านั่งที่มั่นคงแต่คนที่นั่งใหม่อาจเจ็บเวทนามากๆ สำหรับกรรมฐานที่ท่านเทศนาบ่อยๆจะเป็นการพิจารณาเรื่องของกายคตาสติและมรณานุสติ


    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ถือว่ามีบทบาทเด่นมากรูปหนึ่งในพระสายกรรมฐาน ท่านมีความสนิทสนมกับหลวงพ่อลี วัดอโศการาม สมุทรปราการ เพราะหลังจากหลวงพ่อลี มรณภาพเมื่อปี 2504 ก็ได้หลวงพ่อสิม นี่แหละมาเป็นเจ้าอาวาสถึง 4 ปี และยังเป็นสหธรรมมิกกับหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ นอกจากนี้ท่านยังเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดอื่นๆอีกหลายวัดเช่นวัดสันติธรรม เชียงใหม่ วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร เป็นต้น

    อมตะวาจาหลวงปู่มั่นที่กล่าวยกย่องหลวงปู่สิม ต่อหน้าลูกศิษย์องค์อื่นๆว่า “ท่านสิมเป็นดอกบัวที่ยังตูมอยู่ เบ่งบานเมื่อใด จะหอมกว่า”


    สำหรับ เหรียญมหาลาโภ หลวงปู่สิม วัตถุประสงค์สร้างเป็นที่ระลึกศาลาบำเพ็ญกุศล วัดมัชฌันติการาม เขตบางซื่อ กรุงเทพ เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2517 ซึ่งในอดีตวัดนี้มีพระสายกรรมฐานหลวงปู่มั่น อยู่รูปหนึ่งชื่อหลวงพ่อพันธ์ (มรณภาพปี2548 อายุ 94ปี) ซึ่งหลวงพ่อพันธ์ เป็นพระที่เก่งด้านกรรมฐานอีกรูปหนึ่งซึ่งมีความสนิทกับหลวงปู่สิม และ หลวงปู่เจี๊ยะ อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ดังนั้นในปี 2517 ทางวัดได้ขอบารมีหลวงปู่สิม ในการจัดสร้างวัตถุมงคลในนามหลวงปู่สิม หลายอย่างเช่น เหรียญมหาลาโภ ผงรูปไข่หลวงปู่สิม รุ่นมหาลาโภ และพระปิดตายันต์ยุ่งมหาลาโภ เป็นต้น ในสมัยนั้นทางวัดได้จัดพิธีปลุกเสกโดยนิมนต์พระกรรมฐานมาหลายรูป นอกจากหลวงปู่สิม ก็น่าจะมีหลวงปู่เจี๊ยะ มาด้วยครับ ปัจจุบันพระครูธีรสารปริยัติคุณ(เดช) เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งท่านเป็นชาวสกลนคร เรียนวิชาจากครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น

    พระเครื่องรุ่นมหาลาโภ หลวงปู่สิม เด่นเรื่องของ โชคลาภเป็นพิเศษ

    [​IMG]

    พร้อมบัตรรับรองพระแท้ไม่ต้องเสี่ยงกับเงินแท้ของท่านครับ
    บูชาพระแท้เปี่ยมด้วยพุทธคุณสบายใจกับ พลังชาตรี 13

    [​IMG]

    สำหรับท่านที่ชมชอบเหรียญที่สวยๆครับ ทำกะไหล่ทองใหม่ครับ (เหรียญสวยมากๆ)


    พระไม่ดีไม่แท้ไม่นำมาลงให้ศึกษากันผิดๆครับ

    บูชาพระไม่ต้องเสี่ยงพร้อมใบเซอร์ พลังชาตรี 13

    รับประกันพระแท้ไม่มีกำหนด องค์ใหนเก็ บวกให้ 2000 บาท<!-- google_ad_section_end -->
     
  10. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    พระนาคปรกหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ พิมพ์เอวคอด เนื้อทองแดง ปี 2517

    จัดสร้างจำนวน 5000 องค์ครับท่าน


    [​IMG] [​IMG]

    พร้อมบัตรรับรองพระแท้ไม่ต้องเสี่ยงกับเงินแท้ของท่านครับ
    บูชาพระแท้เปี่ยมด้วยพุทธคุณสบายใจกับ พลังชาตรี 13

    [​IMG]


    พร้อมบัตรรับรองพระแท้

    พระไม่ดีไม่แท้ไม่นำมาลงให้ศึกษากันผิดๆครับ

    บูชาพระไม่ต้องเสี่ยงพร้อมใบเซอร์ พลังชาตรี 13

    รับประกันพระแท้ไม่มีกำหนด องค์ใหนเก็ บวกให้ 2000 บาท<!-- google_ad_section_end -->
     
  11. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    ตะกรุดหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ขนาด 4 นิ้ว ปี 2513 ออกให้วัดไผ่ล้อม หลวงปู่ทิมปลุกเสก

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    เครื่องราง พร้อมบัตรรับรอง ไม่แท้ดูง่ายส่วนมากจะไม่ออกบัตรกันครับ
    พร้อมบัตรรับรองพระแท้ไม่ต้องเสี่ยงกับเงินแท้ของท่านครับ
    บูชาพระแท้เปี่ยมด้วยพุทธคุณสบายใจกับ พลังชาตรี 13

    [​IMG]

    พุทธคุณหลวงปู่ทิม ดีรอบด้านน่าบูชาครับท่าน

    ตะกรุดแนะนำครับ
    เป็นตะกรุดที่หลวงปู่ทิม ท่านปลุกเสกให้กรณีพิเศษครับ ที่มีประวัติการสร้างที่หลวงปู่ทิมเมตตาปลุกเสกอย่างชัดเจนครับ ลงอยู่ในหนังสือพระเคื่องหลวงปู่ทิมครับ

    พระไม่ดีไม่แท้ไม่นำมาลงให้ศึกษากันผิดๆครับ

    บูชาพระไม่ต้องเสี่ยงพร้อมใบเซอร์ พลังชาตรี 13

    รับประกันพระแท้ไม่มีกำหนด องค์ใหนเก็ บวกให้ 2000 บาท<!-- google_ad_section_end -->
     
  12. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    พระกริ่งชินบัญชรมหาปราบ พ.ศ.2546

    ร่วมสร้างและปลุกเสกโดยคณะศิษย์ บรรพชิต และ คฤหัสถ์ ของหลวงพ่อทิม อิสริโก


    ชนวนศักดิ์สิทธิ์ประกอบไปด้วย ชนวนพระกริ่งชินบัญชรรุ่นแรก ชนวนพระกริ่งชินบัญชรมหาโสฬส ชนวนพระกริ่งชินบัญชรพญากาลนาค
    ตะกรุดสำคัยของหลวงปู่ทิม แผ่นยันต์จากหลวงปู่ธรรมรังษี หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร หลวงพ่อสาคร มนุญโญ และที่สำคัญคือตะกรุดมหาปราบ
    ที่หลวงปู่ทิมลงให้ โดยถวายให้กับหลวงพ่อสาครใส่ลงในเบ้าหลอม พระอาทิตย์ทรงกลดและสายฝนโปรยเบาบางประมาณ 5 นาที

    พิธีเททองเริ่ม 13.19 น.บัณฑิตอ่านโองการเชิญครูบาอาจารย์ เทพยดาทุกชั้นฟ้า จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย พระสงฆ์ 9 รูปสวดชยันโต พราหม์ลั่นฆ้อง
    พระเทพคุณาธาร จุดเทียนชัย พระคณาจารย์นั่งปรก 4 ทิศ หลวงปู่ธรรมรังษี, หลวงพ่อสาคร , หลวงพ่อฟู , หลวงพ่อแจ่ม วดเขาสำเภาทอง จากนั้น
    ช่างสมรเริ่มเททอง อากาศซึ่งร้อนอบอ้าวกลับเย็นสบาย ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยเมฆฝน แต่ในพิธีกลับไม่มีฝนเลย เกือบ 4 ชม.หลังจากเทพระเสร็จ
    ฝนเริ่มตกลงมาปรอยๆ นับเป็นเรื่องอัศจรรย์เพราะรอบๆวัดฝนตก น้ำท่วมอย่างหนัก

    พระรุ่นนี้ทุกองค์จะอุดผงทั้งหมด ซึ่งประกอบไปด้วย ผงพรายกุมาร , ผงมหาปราบ , ผงกรามช้างน้ำ , ผงจินดามณี , ผงอิติปิโส 108 , น้ำมันลูกประคำ , ทับทิมเสก , สีผึ้งมหานิยม , น้ำมนต์ปี 16 , จีวรหลวงปู่ทิม

    สิ่งสำคัญสุดคือ เกศาหลวงปู่ทิม มีบรรจุอยู่ทุกองค์



    พระกริ่งชินบัญชรมหาปราบ พ.ศ.2546 เลขก็สวยครับรวมได้ 9

    [​IMG]

    ก้นอุด
    ผงพรายกุมาร , ผงมหาปราบ , ผงกรามช้างน้ำ , ผงจินดามณี , ผงอิติปิโส 108 , น้ำมันลูกประคำ , ทับทิมเสก , สีผึ้งมหานิยม , น้ำมนต์ปี 16 , จีวรหลวงปู่ทิม

    [​IMG]

    มาตรฐานพระแท้สากล

    [​IMG]


    พระไม่ดีไม่แท้ไม่นำมาลงให้ศึกษากันผิดๆครับ

    บูชาพระไม่ต้องเสี่ยงพร้อมใบเซอร์ พลังชาตรี 13


    รับประกันพระแท้ไม่มีกำหนด องค์ใหนเก็ บวกให้ 2000 บาท<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  13. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    พระกริ่งชินบัญชร มหาปราบ สัตตะโพชฌงค์ หน้าไทย ฐานปูปลา

    จัดสร้างน้อยมากโดยมูลนิธิหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่


    ร่วมสร้างและปลุกเสกโดยคณะศิษย์ บรรพชิต และ คฤหัสถ์ ของหลวงพ่อทิม อิสริโก

    ชนวนศักดิ์สิทธิ์ประกอบไปด้วย ชนวนพระกริ่งชินบัญชรรุ่นแรก ชนวนพระกริ่งชินบัญชรมหาโสฬส ชนวนพระกริ่งชินบัญชรพญากาลนาค
    ตะกรุดสำคัยของหลวงปู่ทิม แผ่นยันต์จากหลวงปู่ธรรมรังษี หลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร หลวงพ่อสาคร มนุญโญ และที่สำคัญคือตะกรุดมหาปราบ
    ที่หลวงปู่ทิมลงให้ โดยถวายให้กับหลวงพ่อสาครใส่ลงในเบ้าหลอม พระอาทิตย์ทรงกลดและสายฝนโปรยเบาบางประมาณ 5 นาที

    พิธีเททองเริ่ม 13.19 น.บัณฑิตอ่านโองการเชิญครูบาอาจารย์ เทพยดาทุกชั้นฟ้า จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย พระสงฆ์ 9 รูปสวดชยันโต พราหม์ลั่นฆ้อง
    พระเทพคุณาธาร จุดเทียนชัย พระคณาจารย์นั่งปรก 4 ทิศ หลวงปู่ธรรมรังษี, หลวงพ่อสาคร , หลวงพ่อฟู , หลวงพ่อแจ่ม วดเขาสำเภาทอง จากนั้น
    ช่างสมรเริ่มเททอง อากาศซึ่งร้อนอบอ้าวกลับเย็นสบาย ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยเมฆฝน แต่ในพิธีกลับไม่มีฝนเลย เกือบ 4 ชม.หลังจากเทพระเสร็จ
    ฝนเริ่มตกลงมาปรอยๆ นับเป็นเรื่องอัศจรรย์เพราะรอบๆวัดฝนตก น้ำท่วมอย่างหนัก

    พระรุ่นนี้ทุกองค์จะอุดผงทั้งหมด ซึ่งประกอบไปด้วย ผงพรายกุมาร , ผงมหาปราบ , ผงกรามช้างน้ำ , ผงจินดามณี , ผงอิติปิโส 108 , น้ำมันลูกประคำ , ทับทิมเสก , สีผึ้งมหานิยม , น้ำมนต์ปี 16 , จีวรหลวงปู่ทิม

    สิ่งสำคัญสุดคือ เกศาหลวงปู่ทิม มีบรรจุอยู่ทุกองค์


    พระกริ่งชินบัญชร มหาปราบ สัตตะโพชฌงค์ หน้าไทย ฐานปูปลา

    [​IMG]

    ก้นอุด
    ผงพรายกุมาร , ผงมหาปราบ , ผงกรามช้างน้ำ , ผงจินดามณี , ผงอิติปิโส 108 , น้ำมันลูกประคำ , ทับทิมเสก , สีผึ้งมหานิยม , น้ำมนต์ปี 16 , จีวรหลวงปู่ทิม

    [​IMG]


    พระกริ่งชินบัญชร มหาปราบ สัตตะโพชฌงค์ องค์นี้มีดีดีมีประวัติที่น่าสนใจครับ
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">พระกริ่งชินบัญชร ?สัตตะโพชฌงค์? รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top width="70%" colSpan=2 align=left>เขียนโดย ชินพร สุขสถิตย์ </TD></TR><TR><TD class=createdate vAlign=top colSpan=2>อังคาร, 28 ตุลาคม 2008 </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2>พระกริ่งชินบัญชรใหม่ๆก็รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ สมัยเมื่อหลวงปู่ทิม อิสริโก ยังไม่มรณะภาพ ท่านได้สั่งให้ผมสร้างพระเครื่องขึ้นแล้วให้จาร หรือลงหัวใจโพฌงค์ ขึ้นเพื่อใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บบางอย่าง แต่ก็ยังไม่ได้สร้าง ท่านก็มามรณะภาพไปก่อน ครั้งผมสร้างพระกริ่งชินบัญชรชุดมหาปราบ ปี ๒๕๔๖ ขึ้นก็เลยสร้างพระกริ่งสัตตะโพชฌงค์ขึ้นมาโดยบรรจุผงที่เป็นยาและจารหัวใจโพชฌงค์ลงไปด้วย ออกให้บูชาเพียงองค์ละ ๑,๐๐๐ บาท นอกจากจะนำเข้าพิธีมหาปราบที่วัดละหารไร่แล้ว ยังขอให้หลวงปู่ธรรมรังษีปลุกเสกเดี่ยวพร้อมบอกท่านว่า เพื่อใช้รักษาโรคโดยจารหัวใจโพชฌงค์ไว้ด้วย หลายรายเอาไปใช้ได้ผลรักษาโรคเรื้อรังได้ รายล่าสุดลงมือเขียนเป็นหลักฐานมาให้ด้วย จึงขอนำเรื่องนี้มาลงให้ทราบเพื่อเห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระที่สร้างใหม่ในตระกูลชินบัญชร.... ดังมีเนื้อความว่า
    ผมได้เคยอ่านบทความของ อาจารย์ชินพร สุขสถิตย์ เรื่องพระกริ่งชินบัญชรรุ่นแรก ปี ๒๕๑๗ ที่สร้างขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๑๗ นั้นว่า พระกริ่งชินบัญชรนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มากในทุกๆด้าน จัดได้ว่าเป็นสุดยอดพระเครื่องของหลวงปู่ทิม อิสริโก แห่งวัดละหารไร่ จังหวัดระยอง และโดยเฉพาะเรื่องขออาราธนาพระกริ่งชินบัญชรทำน้ำมนต์รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ บทความดังกล่าว ผมได้อ่านพบใน หนังสือเรื่อง “พระกริ่งชินบัญชร” ที่เขียนโดย อาจารย์ชินพร สุขสถิตย์ เมื่อวันที่ ๑๖ ต.ค.๒๕๔๕ และได้อ่านพบในหนังสือนิตยสารฉบับอื่นๆอีกหลายฉบับในเรื่องเกี่ยวกับ “พระกริ่งชินบัญชรอาราธนาทำน้ำมนต์รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้” จนกระทั่งตัวกระผมเองได้พบกับ อาจารย์ชินพร พร้อมกับได้รับคำบอกเล่าเรื่อง พระกริ่งชินบัญชรสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้จริงๆ แม้กระทั่งได้พบผู้อื่นที่ได้นำพระกริ่งชินบัญชรมาอาราธนาทำน้ำมนต์รักษาโรคต่างๆได้สำเร็จหลายรายแล้ว

    จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๑ ภรรยาผมได้ไปตรวจรักษาโรคที่โรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อแห่งหนึ่ง ย่านถนนพระราม ๒ ฝั่งธนบุรี โดยแพทย์โรงพยาบาลได้ตรวจโรคและทำการเอ็กซเรย์อัลตราซาวด์ จากผลการตรวจวินิจฉัยโรคโดยแพทย์ระบุว่า ภรรยาผมมีพังผืดเกาะที่โพรงมดลูก ต้องทำการผ่าตัดเอาพังผืดที่เกาะออกโดยด่วนและยิ่งเร็วได้ยิ่งดี ทางภรรยาผมจึงได้ถามแพทย์ของโรงพยาบาลผู้นี้ว่า ถ้าต้องการผ่าตัดรักษาโรคนี้ต้องใช้จ่ายในการรักษาครั้งนี้เป็นจำนวนเงินเท่าไร ทางแพทยผู้ทำการตรวจรักษาท่านนี้บอกว่าต้องใช้เงินประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนบาท) นับว่าเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างสูงสำหรับผม ซึ่งบอกตามตรงเลยว่าขณะนี้ผมไม่มีเงินเต็มจำนวนที่จะพาภรรยาไปรักษาได้ ผมจึงได้ปรึกษากับภรรยาและให้กลับบ้านมาก่อน พร้อมทั้งได้ปลอบใจและให้กำลังใจภรรยาว่าคงไม่เป็นไรนะ ทำใจเย็นๆไว้ก่อน แต่สำหรับตัวผมเองนั้นบอกได้เลยว่ามีความกลุ้มใจมากกว่าตัวภรรยาเสียอีก ผมได้แต่คิด คิด และก็คิดว่าจะทำอย่างไรดี จึงได้บอกกับภรรยาว่า เอาอย่างนี้เราน่าจะลองไปตรวจที่โรงพยาบาลแห่งอื่นดูอีกสักครั้งเพื่อความแน่ใจดีกว่าและถ้าผลตรวจออกมาเหมือนอย่างโรงพยาบาลแห่งแรกที่เราไปหามาตามข้างต้น เราก็ลองสอบถามราคาค่ารักษาว่าต้องใช้เงินเป็นจำนวนเท่าไร ไม่แน่เราอาจจะไม่ต้องจ่ายแพงกว่านี้ก็ได้
    ผมจึงได้แต่คิดอยู่คนเดียวในใจว่าจะทำอย่างไรดี ทันใดนั้นเองผมก็คิดถึง หลวงปู่ทิม อิสริโก ขึ้นมาว่าผมน่าจะลองนำพระกริ่งชินบัญชรมาอาราธนาทำน้ำมนต์ดีกว่า แต่จะไปหาพระกริ่งชินบัญชรรุ่นแรกที่ไหนล่ะ เพราะพระกริ่งชินบัญชรรุ่นแรกนั้นมีราคาค่อนข้างสูงมาก เท่าที่ทราบมาว่ามีราคาเกินหลักแสนไปแล้ว ผมคงไม่มีปัญญาหามาบูชาได้แน่นอน แต่คิดขึ้นมาได้ว่าผมมีพระกริ่งชินบัญชรสัตตะโพชฌงค์อยู่องค์หนึ่ง โดยพระกริ่งองค์นี้ผมได้บูชามาจาก มูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก เมื่อประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๖ โดยออกให้บูชาองค์ละ ๑,๐๐๐ บาท จากคำบอกเล่าของอาจารย์ชินพร สุขสถิตย์ ที่ปัจจับันเป็นประธานมูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก ซึ่งเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่ทิม อิสริโก แห่งวัดละหารไร่ว่า “พระกริ่งชินบัญชร รุ่นใหม่ที่สร้างในนามมูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก ใช้แล้วไม่แตกต่างกับรุ่นแรกเลยและมีความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน” ดังคำพูดของอาจารย์ชินพร สุขสถิตย์ ไว้ว่า ไม่ว่าพร (ชินพร) จะทำอะไร (สร้างพระ) นี่อยู่ที่ไหนก็จะลงมาทำให้
    ดังนั้นผมจึงได้นำพระกริ่งชินบัญชร สัตตะโพชฌงค์ องค์ดังกล่าวมาอาราธนาทำน้ำมนต์โดยอธิษฐานบอกกล่าวหลวงปู่ทิม อิสริโก เป็นที่พึ่งแล้วนำพระกริ่งลงแช่ในถ้วยน้ำ แล้วนำไปให้ภรรยาดื่มและล้างหน้าพรมหัว จากนั้นอีก ๒ วันถัดไป คือ วันจันทร์ที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๑ ผมและภรรยาได้ไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งใหม่ คือ โรงพยาบาลกรุงธน๒ ตั้งอยู่ย่าน ถนนสุขสวัสดิ์ เพื่อทำการตรวจรักษา จากผลการตรวจโดยนายแพทย์ผู้ตรวจ ได้ดูฟิล์มเอกซ์เรย์อัลตราซาวด์ บอกว่า คุณไม่เป็นไรและไม่ต้องทำการผ่าตัดใดๆทั้งสิ้น ทางนายแพทย์บอกว่าเพียงแค่ฉีดยาเท่านั้น เนื่องจากภรรยาผมปัจจุบันอายุ ๔๓ ปี เป็นช่วงอยู่ในวัยทองและจะหมดรอบเดือนในเร็วๆนี้ ผมและภรรยาดีใจอย่างมากๆเลย ที่นายแพทย์ท่านนี้บอกไม่เป็นไร ผมเองนี้มีความรู้สึกขนลุกเลย มีความอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง และเป็นปลื้มที่สุดที่ได้รับฟังข่าวดีๆ ผมได้กล่าวขอบคุณหลวงปู่ทิม อิสริโก ในใจพร้อมกับจับองค์พระหลวงปู่ทิม ที่ผมใช้อยู่ประจำที่สร้อยคอ เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วผมจึงได้บอกให้ภรรยาไปกราบขอบคุณ รูปหล่อหลวงปู่ทิม ที่ผมมีบูชาอยู่ที่ห้องพระ จากนั้นมีอีก ๒ วัน คือ วันพุธที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๑ ผมจึงร่วมทำบุญกับทางมูลนิธิฯด้วย แล้วผมก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้อาจารย์ชินพรและภรรยาอาจารย์ฟัง โดยทั้ง ๒ท่านฟังอย่างตั้งใจ โดยเฉพาะตัวอาจารย์นั้นยิ้มอย่างมีความสุขและยังบอกกับผมว่าไม่เฉพาะคุณเท่านั้น ยังมีคนอื่นอีกที่ใช้พระกริ่งชินบัญชรรุ่นใหม่ที่สร้างโดยมูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก ทำน้ำมนต์รักษาโรคหายมาหลายรายแล้วครับ

    สวัสดี
    “กมล” ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๑
    พระไม่ดีไม่แท้ไม่นำมาลงให้ศึกษากันผิดๆครับ

    บูชาพระไม่ต้องเสี่ยงพร้อมใบเซอร์ พลังชาตรี 13


    รับประกันพระแท้ไม่มีกำหนด องค์ใหนเก็ บวกให้ 2000 บาท<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    หนุมานทรงเครื่องตนสวยๆครับ

    หนุมาน เนื้อตะกั่ว ลป.แก้ว วัดละหารไร่ ที่สุด...ของหนุมาน ในแบบฉบับเดียวกับเนื้อนวะสร้างในยุค ลป.ทิม ปลุกเสกโดย ลป.แก้ว วัดละหารไร่ (นวะราคาเกือบแสนแล้ว) กำลังหายากน่าเก็บ


    [​IMG]

    โค๊ดสวยๆชัดๆครับ

    [​IMG]

    หนุมานเนื้อนวะทะลุ 7-8 หมื่นไปแล้ว ถึงเวลาของ เนื้อตะกั่ว ขยับกันบ้างแล้วครับ
    หนุมาน ลป.แก้ว วัดละหารไร่ ประสบการณ์ เยอะเหลือเกิน ตอนนี้ แทบไม่เหลือให้เห็นกันแล้วในสนาม บางกระแสเชื่อว่า ต้องมีบางส่วนที่ทัน ลป.ทิม ปลุกเสก ก่อนที่ ลป.ทิม จะเข้าโรงพยาบาล แต่ ด้วยความที่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้จึงตีเป็น ลป.แก้วปลุกเสกทั้งหมด
    แต่ ถึงจะป็น ลป.แก้ว ปลุกเสกก็เช้มขลังไม่แพ้กัน เพราะ ลป.ทิม เองก็เคยพูดว่า ลป.แก้ว ท่านก็เก่งไม่แพ้ทันเลย เพียงแต่ท่านสมถะ ไม่แสดงตน เรื่องความเก่งฉกาจในอาคมของท่าน ปรากฎในการปลุกเสกพระกริ่งเก้าแก้ว ซึ่งมีการถ่ายติดคล้ายเปลวไฟออกมาจากจมูกของท่าน และ นี่คืออีกหนึ่งชุดที่น่าบูชา เป็นอย่างมาก

    หนุมานเนื้อตะกั่วผู้สร้างตั้งใจทำถวายให้หลวงปู่ทิม ปลุกเสก เช่นเดียวกับหนุมานเนื้อนวโลหะ เนื้อเงิน เมื่อปี 2518 ราคาค่านิยมไปเกือบแสนแล้วครับตอนนี้ แต่หนุมานเนื้อตะกั่ว ชุดสุดท้ายโรงงานทำส่งให้ไม่ทันหลวงปู่ิทิมเสกเพราะท่านมรณะภาพไปก่อน เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2518
    ดังนั้นผู้สร้างจึงนำไปถวายหลวงปู่แก้ว วัดละหารไร่ ปลุกเสกแทน ซึ่งก็มีพุทธคุณไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ใช้แทนหนุมานหลวงปู่ทิมได้สบาย ประหยัดเงินได้เยอะ สำหรับพระของหลวงปู่แก้ว แทบทุกรุ่นขยับราคาขึ้นไปเรื่อยๆอย่างมั่นคง เพราะคนที่หาหลวงปู่ทิมไม่ได้ ก็จะมาเก็บหลวงปู่แก้ว เพราะได้ประจักถึงประสบการณ์ต่างๆที่คนในบ้านค่ายประสบมาครับ

    รับประกันแท้ไม่มีเงื่อนไขเก๊เพิ่มให้เป็นค่าเสียเวลา 2000 บาท



    ประวัติตวามเป็นมาของหนุมานและอุปเท่ห์ในการบูชา

    หนุมานเป็นบุตรของพระพาย กับ นาวสวาหะ หนุมานนั้นมีกำเนิดมาจากเทพ มีอาวุธของพระอิศวรได้แก่ จักร สังข์ คฑา ตรีศูล เป็นอาวุธ หนุมานมีเขี้ยวแก้ว กุณฑลขนเพชร สามารถแผลงฤทธิ์แปลงกายขยายร่างให้ใหญ่โตยืดหางได้ยาวหายตัวได้อยู่ยงคงกระพันชาตรี
    หนุมานยังได้ชื่อว่า เป็นอมตะ คือไม่มีวันตาย โดนอาวุธตายพอลมพัดถูกร่างก็ฟื้นตื่นขึ้นทันที ด้วยอำนาจของพระพายนั้นเอง
    หนุมานทำอะไรก็จะประสบความสำเร็จรบกับใครก็ชนะมีเสน่ห์เมตตามหานิยมอยู่ในตัว อาวุธประจำกายคือ ตรีเพชร (สามง่าม)
    บุคลิกของหนุมานเปรียบเสมือนตัวแทนของชายหนุ่มทั่วๆไป คือ รูปงามนิสัยเจ้าชู้ และที่สำคัญยิ่งมีภรรยามาก เช่นนางสุพรรณมัจฉาทั้งคู่มีลูกด้วยกันคือ มัจฉานุซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างลิงกับปลาตามโบราณอาจารย์ที่ มีความรู้ความเชี่ยวชาญ มักจะสร้างเครื่องรางของขลังเป็นรูปหนุมานซึ่งถือว่าเป็น ทั้งศาสตร์และศิลป์ เจ้าตำรับอภิหารเครื่องรางปลุกเสกให้มีอิทธิฤทธิ์ในด้าน คงกระพันชาตรี/เสริมดวงแก้อาถรรพณ์ต่างๆ ที่เข้ามาขัดขวางที่ทำให้การค้าไม่รุ่งไม่ดี มีราบรื่น การงานสะดุดมีแต่ปัญหาอาภัพเรื่องโชคลาภทำมาหากินไม่ คล่องติดๆ ขัดๆ เสี่ยงโชคเสี่ยงลาภไม่ขึ้น แก้ไขดวงอาภัพหนุนดวงค้ำดวงชะตา เสริมวาสนาให้เด่นทำการงานให้เจริญก้าวหน้าบังเกิดความสำเร็จในชีวิต ป้องกันเสนียดจัญไรคุณไสยมนต์ดำ ลมเพลมพัดขจัดได้หมดสิ้นครับ


    มีประสบการณ์เพื่อนๆชาวพลังจิตที่บูชาไปครับ ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านมีอาชีพรับซื้อผลไม้ แต่ก่อนเข้าสวนผลไม้นี้ทีไรเดินไปใหนก็ต้องระวัง "หมา" หมาดุมากๆทั้งฝุง ท่านเจ้าของสวนผลไม้เลี้ยงไว้ดูแลผลไม้ครับ พอได้บูชา "หนุมานหลวงปู่แก้ว" ไปแล้วก็ลองอารธนาดูว่าอย่าให้หมามาไกล้ ผลปรากฎว่าที่หมาเคยดุดุพอเดินไปใหนหมาฝุงนั้นที่เคยดุและกัดต่างแตกฮื "แตกกระจาย" วิ่งหนีไปหมดครับ


    พระแท้ราคาแท้ไว้ใจได้ในเรื่องพุทธคุณ

    เล่นแบบมีข้อยุติสรุปแท้ พลังชาตรี 13

    กติกาในการประกันครับเก็องค์ใหนจ่ายคืนเต็มจำนวน บวกค่าเสียเวลาให้อีก 2000 บาททุกองค์<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  15. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    เล่นกันแบบมีข้อสรุปยุติสบายใจครับ

    ส่วนรายการนี้เป็นลูกอมผงพรายที่มีค่านิยมให้การเล่นหาเป็นผงพรายล้วนๆ ออกที่วัดระหารไร่ครับ



    [​IMG]


    พระผงพรายกุมารหลวงปู่ทิม ของดีที่ใครก็อยากได้ไว้บูชา บางท่านมีแล้วก็อยากมีอีกหลายคนคงรู้สึกว่า * แพง * แพงสุดๆ ราคาขึ้นทุกพิมพ์ทุกอย่างทุกเวลา ต่อไปก็คงหมดสิทธิ์ที่จะได้บูชา ผมจึงอยากแนะนำให้หา ลูกอมผงพรายผงพราย - ลูกประคำผงพรายกุมาร - ตะกรุดสาริกา (เป็นตะกรุดที่ฝังหลังพระขุนแผนพิมพ์ใหญ่)
    สามชิ้นที่ต้องหา มาแขวนบูชากันครับ ราคาเบากว่ากันมากครับ ตามจริงแล้วลูกอมกลมๆที่ปั้นเป็นลูกกลมนั้นเพื่อที่นำมากดเป็นพระพิมพ์ขุนแผนลูกใหญ่ก็พิมพ์ใหญ่เล็กก็เป็นพิมพ์เล็กครับ ลูกที่กดกดไม่ทันก็จะแข็งนำไปกดพิมพ์ไม่ได้ก็กลายมาเป็น "ลูกอมผงพรายมหาภูติและลูกประคำ"

    การสร้างลูกอมผงพรายหลวงปู่ทิม ท่านศึกษาตำราที่ตกทอดมาจากหลวงพ่อสังฆ์เฒ่า ซึ่งเป็นปู่แท้ๆ ของท่าน ผงพรายกุมารมหาภูติ สร้างจาก กะโหลกเด็กชาย ผีตายท้องกลม ตายวันเสาร์ เผาวันอังคาร โดยลูกศิษย์ที่หลวงปู่ครอบครูให้เป็นที่เรียบร้อยแล้วจะไปสืบหาตามที่หลวงปู่บอกมา โดยที่มิได้กำหนดเวลามาก่อน ศพผีตายท้องกลมศพเด็ก พอได้ข่าวก็จะไปขอกับญาติศพเพื่อที่จะนำมาให้หลวงปู่ทำพิธีขอขมา และสะกดวิญญาณ หลังจากนั้นก็กำชับกับศิษย์ว่า อย่าเผาให้หมด เพื่อจะเก็บเอากะโหลกเด็ก ไปให้หลวงปู่ สร้างพระ เครื่องรางที่ท่านปลุกเสก มีประสบการณ์เป็นที่กล่าวขานเป็นที่สุด กล่าวกันว่าผู้ใดได้ครอบครองบูชา ผงพรายกุมารนับว่าเป็นของวิเศษขั้นสูง จะส่งผลให้เกิดโภคทรัพย์ ความเจริญรุ่งเรือง เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ประสบการณ์มีมากมายโดยเฉพาะทางด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด และโชคลาภ
    ไม่เป็นสองลองใคร

    พุทธคุณนั้นยอดเยี่ยมมากๆครับ รับรองว่าไม่แตกต่างอะไรกันเลยกับพระพิมพ์ขุนแผนบูชาหลักแสนและล้าน ผู้ที่มีลูกอมลูกประคำตะกรุดสาริกาไว้บูชาย่อมทราบกันดีทุกๆท่านว่าได้ผลตามที่ต้องการ สำหรับท่านที่มีอยู่แล้วยังอาราธนาไม่เป็น ท่านที่ยังไม่มีแต่คิดว่าต่อไปคงจะได้มาบ้างสักลูก และท่านที่นับถือหลวงปู่ มาลองดูกันครับ

    วิธีอาราธนาลูกอมผงพราย (จากปากหลวงปู่ทิม)

    มีคนถามหลวงปูว่า " ลูกอมนี่ดีอย่างไร "
    หลวงปู่ตอบว่า " ไม่อยากจะบอก ตามแต่จะใช้ นี่ทำดีที่สุดแล้ว

    "เวลานำติดตัวให้ว่า" นะโมฯ 3 จบ แล้วต่อด้วยคาถานี้

    @@ สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพะธัมมานุภาเวนะ สัพพะสังฆานุภาเวนะ อานุภาเวนะ ๆ ๆ จงอยู่ใต้พุทธบารมี @@

    ว่าดังนี้แล้วนำติดตัวไปลูกอมจะมีอิทธิฤทธิ์แรงและเห็นผลเร็วครับ แต่จงเชื่อมั่นในองค์หลวงปู่ทิมและ ลูกอมประคำผงพราย-ประคำมหาภูติ ที่เรามีอยู่ อย่าลังเลสงสัย อย่าไขว้เขวแล้วจะบังเกิดผลอย่างแน่นอน ถ้าท่านอยากจะขอพรอะไรควรขอ "หลังเที่ยงคืน"


    จากที่ผมประสพมา ท่านใดที่มีของหลวงปู่ทิมบูชาแล้ว ก็ยังไม่พอที่จะหาเก็บตลอดไปถึงแม้ว่าราคาบูชาจะสูงขึ้นเท่าไรก็ตาม ทำให้เห็นว่าบูชาแล้ว ล่ำรวย ไม่หยุดเช่นกัน หาบูชากันนะครับ ชิ้นเดียวก็พอ


    หากันเถอะครับ ไม่จำเป็นต้องของผมขอให้เป็นของแท้ๆก็พอ ก่อนที่ราคาบูชาจะทะลุ ไปมากกว่านี้

    ที่ผมก็ไม่มีแล้วหาเข้าเหมือนกันครับ มีแต่พวกสั่งมายังหาไม่ได้เลยครับ

    แนะนำครับ

    การเช่าหาควรจะศึกษาเสียก่อน ไปหาดูของแท้ก่อนที่ร้านมีมาตฐาน ผงพรายหลวงปู่ดูไม่ยากครับดูง่ายมากๆ
    "คำเตือน" อย่าโลภเห็นของถูกแล้วใจกลับเสียด่ายเงิน ของดีของถูกไม่มีหรอกครับ สู้เถอะครับของแท้ไม่แพง

    หลวงปู่ทิม เราท่านย่อมทราบกันดีว่าท่าน สำเร็จอภิญญา ชั้นสูง พระที่สำเร็จอภิญญาชั้นสูงนั้นการที่บรรจุพุทธคุณย่อมเป็นไปตามที่ท่านอธิฐานจิตใว้

    ซึ่งชุดที่ผมนำมาให้ชมนั้นจะมีอยู่ในที่ พิพิธภัณฑ์ หลวงปู่ทิม ครับ

    สร้อยประคำ 108 ที่ท่านเห็นในภาพพิพิธภัณฑ์นั้นก่อนที่บริจากมานั้นมีคนให้ราคาบูชากันอยู่หลัก ล้าน บาทแต่เจ้าของไม่ขายให้ แต่นำมาบริจากให้ลูกหลานไว้ศึกษา เป็นพระคุณยิ่งๆ

    ขอขอบพระคุณภาพต่างๆจากพิพิธภัณฑ์ หลวงปู่ทิม มาจากคุณ panda ขอบพระคุณครับ


    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]





    บารมีของหลวงปู่ทิม

    คัดลอกจากหนังสือที่ระลึก ฉลองหอฉัน และฉลองอายุครบ 8 รอบ
    พระครูภาวนาภิรัต (ทิม) วัดละหารไร่ ระยอง 10 มิ.ย.2518

    จากบันทึกของนายสาย แก้วสว่าง

    บิณฑบาตที่จ.ชลบุรี

    มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี อ.บางละมุง ซึ่งผมจำชื่อไม่ได้ ได้มาเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อวานนี้ผมเห็นหลวงปู่ทิม ไปบิณฑบาตอยู่ที่เมืองชล ผมจำได้เขาบอกว่าเรื่องนี้เป็นความจริง เพราะจำหลวงปู่ทิมได้ ผมก็ได้แต่นึกและก็ไม่กล้าตอบ แต่นึกว่าหลวงปู่ของเราจะเป็นไปได้หรือ ผมจึงเก็บเอาเนื้อความนี้ไว้แต่ในใจและก็คุยกันเรื่องอื่นต่อไป อยู่มาประมาณอีกสัก 10 กว่าวันก็มีคนเมืองชลมาเล่าให้ผมฟังอีก ก็เหมือนกับทีคนแรกเล่าให้ผมฟังทุกประการ ผมจึงลองถามหลวงตาที่เป็นขรัวรองอยู่ที่วัดดูและเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง ท่านตอบว่า อาตมาก็ไม่ทราบและไม่ได้สังเกตเพราะฉันจังหันต่างกัน แต่ก็ปรากฏท่านทีอาหารแปลกปะปนอยู่เสมอ แต่ก็อาจจะเป็นความจริงเพราะท่านเป็นพระที่สำเร็จญาณชั้นสูงอยู่แล้ว

    ยิงไม่ถูก

    มีชาวบ้านหนองละลอกคนหนึ่งชื่อ นายธง สุขเทศ หรือชาวบ้านละแวกนั้นมักเรียกว่า ปลัดธง บ้านอยู่ไม่ห่างจากบ้านผมเท่าไรนัก หลังจากที่ผมกลับจากทำงานก็อาบน้ำจวนจะทานอาหาร เวลาประมาณ 1 ทุ่ม ปลัดผู้นี้ก็เริ่มจะทานอาหารเหมือนกัน หยิบจานอาหารมาวางและมีลูกสาวอยู่ใกล้ๆ ผมก็กำลังทานอาหารอยู่ที่บ้าน ก็ได้ยินเสียงปืนระเบิดขึ้น 2 จังหวะ 4 นัด แล้ว 3 นัดติดต่อกัน ปรากฏภายหลังว่าผู้ยิงพาดปืนกับขอบสังกะสีรั้วบ้านระยะประมาณ 4 เมตร แต่กระสุนมิได้ถูกนายธงเลย มีกระสุนไปถูกขาตั้งรถจักรยานทำให้สะเก็ดบินไปโดนเด็กลูกสาวที่ขาบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้คงเป็นเพราะอภินิหารเหรีญหลวงปู่ทิมรุ่นแรกซึ่งนายธงแขวนคออยู่เพียงเหรียญเดียว ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าผู้ยิงใช้ปืนคาบิ้น 2 กระบอกเพราะเก็บปลอกกระสุนได้แน่ชัด

    ยิงไม่เข้า

    มีคนเดินทางมาจากเมืองชลเล่าให้ผมฟังว่าเพื่อนของเขาถูกยิงตอนเวลาหลังอาหารด้วววยปืนลูกซองถึง 9 นัด เสื้อขาดทะลุถึงผิวหนังไหม้เกรียมแต่ไม่เข้า ทั้งนี้ก็เพราะเขาได้ปลักขิกหลวงปู่ทิมกับลูกอมมาแขวนไว้เพียงไม่กี่วัน และเรื่องเท่าที่ผมเห็นมาเกี่ยวกับปลักขิกก็คือหลานของผมถูกสุนัขกัดจนเสื้อออกางเกงขาดเป็นริ้วรอย ถึงกับล้มลงนอนร้องไห้ เมื่อผมวิ่งไปช่วยปรากฏว่าไม่มีรอยเขี้ยวสุนัขเลย เด็กคนนั้นมีแต่เพียงปลักขิกของหลวงปู่ทิมแขวนอยู่ที่เอว 1 อันเท่านั้น

    น้ำมนต์เดือด

    เมื่อราว พ.ศ.2511 ที่วัดตะพงนอก อ.เมือง จ.ระยอง ได้มีพิธีปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังหลวงพ่อจันทร์ เจ้าอาวาสวัดตะพงนอก ในพิธีนี้ได้นิมนต์เกจิอาจารย์มาหลายรูปด้วยกัน และหลวงปู่ทิมก็ได้รับนิมนต์ด้วย หลังจากเริ่มพิธีปลุกเสก หลวงพ่อต่างๆ ก็ได้ทำการปลุกเสก และในพิธีนี้ อาจารย์รัตน์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดได้นำโอ่งใส่น้ำมนต์มาตั้งไว้ และนิมนต์หลวงปู่ทิมทำการปลุกเสกน้ำมนต์องค์เดียวท่ามกลางพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ปรากฏว่าน้ำมนต์ที่อยู่ในโอ่งใหญ่ครึ่งโอ่งพอหลวงปู่ลงมือปลุกเสกน้ำได้เดือดและค่อยๆ ทวีความสูงขึ้นท่ามกลางความอัศสสจรรย์ของผู้ที่ได้พบเห็นเป็นอ่างมาก ปรากฏว่าหลวงจากพิธีแล้ว น้ำมนต์ได้ถูกชาวบ้านแย่งเอาไปจนหมดสิ้น

    แคล้วคลาด

    นายจำลองแห่งร้านทวีทรัพย์ ได้ชวนนายเพียรวิทย์ จารุสถิติ นายนิวัฒน์ ร้านรุ่งเรืองมิตร ได้ไปหาหลวงปู่ทิมเพื่อนมัสการท่าน ขากลับได้บูชาเหรียญ รูปถ่ายและปลักขิก กลับมาได้ครึ่งทางนายนิวัฒน์จึงชวนนายจำลองเพื่อขอลองของ ทั้ง 3 ก็ได้ทำการทดลองโดยทั้ง 3 นำเอาเครื่องรางดังกล่าวอาราธนาแล้วแขวนกิ่งต้นไม้ นายจำลองได้ใช้ปืน .22 ยิงในระยะห่างกันประมาณ 1 คืบ ปรากฏว่ายิงไม่ถูก นายนิวัฒน์จึงขอยิงบ้าง จ่อยิงปรากฏว่าไม่ถูกอีกเช่นกัน ทั้งคู่บอกว่าถ้าระยะนี้ยิงไม่ถูกก็ไม่ต้องใช้ปืนแล้ว เพราะทั้งคู่เป็นผู้ที่สนใจปืนอยู่แล้ว

    ถ่ายรูปหลวงปู่ไม่ติดถ้าไม่ขออนุญาต

    เมื่อคราวปลุกเสกของที่วัดพลา จังหวัดระยอง หลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปนั่งปลุกเสกด้วย มีช่าวภาพหนังสือพิมพ์ไปถ่ายรูปโดยไม่ขออนุญาตจากหลวงปู่ก่อนปรากฏว่า กดชัตเตอร์เท่าไรๆ ชัตเตอร์ก็ไม่ทำงาน แต่พอนึกได้เข้าไปขออนุญาตก็ติดและได้ภาพที่ชัดเจนดี

    เสกตะกรุดใต้น้ำ

    คุณป้าอยู่ งามศรี บ้านอยู่ใกล้ๆ วัดละหารไร่และเป็นหลานของหลวงปู่ทิมได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อสมัยหลวงปู่ทิมอายุประมาณ 60-70 ปี เวลาท่านทำตะกรุดท่านจะลงไปทำใต้น้ำโดยถือตะกรุดแล้วเดินลุยน้ำลงไปจากศาลาหน้าวัด มีผู้เห็นกันหลายคน เมื่อหลวงปู่ทิมทำตะกรุดเสร็จเดินลุยน้ำขึ้นมาทุกคนประหลาดใจ เพราะเนื้อตัวและจีวรของหลวงปู่ทิมหาได้เปียกน้ำไม่

    เสกตะกรุดลอย

    ท่านอาจารย์รัตน์ เจ้าอาวาสวัดหนองกระบอก อ.บ้านค่าย จ.ระยองเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ทิมเป็นพระที่มีพลังจิตกล้าแข็งมากสามารถเสกจนตะกรุดลอยได้ ท่านเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งได้นิมมนต์พระอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดระยองมา 4 รูปด้วยกัน มีหลวงพ่อหอม หลวงพ่ออ่ำ หลวงพ่อชื่น และหลวงปู่ทิม ให้หลวงพ่อที่มาทั้ง 4 รูปนำตะกรุดสาริกามาด้วย แล้วนำลงใส่บาตรให้หลวงพ่อทั้ง 4 องค์นั่งล้อมรอบบาตร และขอให้ท่านทุกองค์เรียกตะกรุดให้ลอยขึ้นจากบาตร หลวงพ่อหอม เป็นผู้เรียกก่อนโดยนั่งบริกรรมอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่ปรากฏว่าตะกรุดลอยขึ้นมา จากนั้นหลวงพ่ออ่ำ และหลวงพ่อชื่อก็ได้นั่งบริกรรมทำนองเดียวกัน ตะกรุดก็ไม่ยอมลอยขึ้น จนถึงองค์สุดท้ายคือหลวงปู่ทิม ท่านนั่งบริกรรมอยู่สักครู่ก็ปรากฏว่าตะกรุดลอยขึ้นมาจากก้นบาตร หลวงพ่อหอมและเจ้าอาวาสวัดหนองกระบอกเห็นเช่นนั้นก็ตกใจแลบอกว่า ขอให้ช่วยทำให้วิ่งรอบบาตรด้วย หลวงปู่ทิมก็นั่งหลับตาภาวนา ตะกรุดก็วิ่งอยู่รอบๆ บาตรท่ามกลางความตื่นตะลึงของพระสงฆ์ทุกองค์ และเรื่องนี้ได้เป็นที่โจษขานกันทั่วไปในจังหวัดระยอง

    อำนาจจิตอันกล้าแข็งของหลวงปู่ทิม

    แม้แต่เครื่องปั่นไฟท่านก็สามารถบังคับให้หยุดได้โดยไม่ทราบสาเหตุ คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่วัดละหารไร่มีลิเกมาเล่น พอลิเกกำลังจะออกแขกก็ปรากฏว่าไฟฟ้าดับพรึบลง พอแขกเข้าโรงไฟฟ้าก็สว่างขึ้นเป็นอย่างนี้ถึง 3ครั้ง จนต้องมีคนเตือนคณะลิเกให้ไปขออนุญาตหลวงปู่ทิมเสียก่อน เมื่อไปขออนุญาตแล้วก็ปรากฏว่าไฟฟ้าที่เคยปิดๆ ดับๆ ก็ติดสว่างตลอดทั้งคืน

    หลวงปู่ทิมเป็นพระที่สร้างของยาก

    มีผู้ไปขอสร้างของเสมอ แต่ถูกปฏิเสธไปเกือบทุกราย ท่านบอกว่าท่านไม่เก่ง แต่นับเป็นการประหลาดมากเมื่อครั้งที่คุณชินพร สุขสถิตย์ บรรณาธิการหนังสืออภินิหารและพระเครื่องไปกราบนมัสการและขออนุญาตท่านสร้างพระเครื่องเพื่อหารายได้สร้างศาลาการเปรียญท่านอนุญาตให้โดยดี ทั้งๆ ที่ตัวผู้ขอสร้างเองยังหนักใจเรื่องทุนที่จะนำมาลงทุนสร้างซึ่งต้องใช้เงินหลายแสนเพราะมีการหล่อพระกริ่ง พระชัยวัฒน์ พราะสังกัจจัยและพระปิดตาถึง 4 รายการด้วยกัน แต่หลวงปู่ทิม ท่านบอกว่า "ทำไปเถิดและจะสำเร็จเอง" ถึงปรากฏเป็นเรื่องจริงขึ้น บรรดาทุนรอนค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะต้องจ่ายให้ช่างหล่อกันก็มีลู่ทางและได้มาอย่างไม่น่าเชื่อในการสร้างพระเครื่องครั้งนี้ หลวงปู่ทิมท่านพูดว่า "เป็นการสร้างของลูกศิษย์แท้ๆ และเงินทองจะไหลมาเทมา" หลวงปู่ทิมจึงอนุญาตให้คุณชินพรและคุณอารมย์ ทับสุวรรณ ครอบครูเป็นศิษย์ของท่านได้ทั้งๆ การจะครอบครูเป็นศิษย์โดยตรงของหลวงปู่ทิมนั้นนับว่ายากมาก ศิษย์ที่จะได้รับครอบครูต้องปรนนิบัติรับใช้เป็นเวลาหลายๆ ปีจึงจะครอบครูให้


    เรื่องจากคุณธงชัย อุดมความสุข

    ตะกรุด 3 กษัตริย์

    นับเป็นยอดตะกรุดมหานิทรา ยิงไม่ออก ถ้านำไปแขวนไว้ที่เสาหมอจะสะกดคนในบ้านให้หลับไหลหมด ขึ้นหยิบทรัพย์สินได้และดูเหมือนจะประสบกับโยมวัดผู้หนึ่ง เสียของเกือบหมดบ้านเพราะนอนไมรู้สึกตัวเลย เนื่องจากเอาตะกรุด 3 กษัตริย์ไปแขนไว้ที่เสาหมอกลางบ้าน หลวงปู่ทิมทราบเรื่องจึงไม่คิดจะทำอีก

    อาของผู้เขียนเล่าให้ฟังว่านางเอี้ยน เกสารัตน์ เสมียนประจำสำนักงานสหกรณ์ระยองไปขอตะกรุด 3 กษัตริย์จากหลวงปู่ทิม พอได้มาก็เอากลัดไว้กับเสื้ออย่างมั่นคง พอลากลับหลวงปู่ทิมถามว่าตะกรุดยังอยู่ดีหรือ? นางเอี้ยนก็ตอบว่าอยู่ค่ะ หลวงปู่หัวเราะแบมือให้ดู ปรากฏว่าตะกรุดอยู่ในมือหลวงปู่ทิม นายเอี้ยนหันมาดูที่เสื้อไม่พบตะกรุดก็ตกใจ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าหลวงปู่ทิมทราบดีว่านางเอี้ยนไม่ค่อยเชื่อถือท่านเท่าใดนัก จึงลองให้ดู ตะกรุด 3 กษัตริย์ของท่านนี้เล่ากันว่าเอาปืนยิงใส่บ้านยังไม่ออกเลย ไปยิงลิงยิงค่างถ้าเอาตะกรุดไปด้วยก็จะทำให้ยิงไม่ออกเช่นกัน

    เรื่องจากคุณชินพร สุขสถิตย์

    ปลาของหลวงปู่ทิม

    ช่างมงคล นาคแทน ผู้รับเหมาสร้างโบสถ์และศาลาการเปรียญได้เล่าให้ผมฟังว่า มีอยู่วันหนึ่งคุณมงคลได้มาที่วัดเพื่อควบคุมงานก่อสร้าง หลวงปู่ได้เรียกเข้าไปหาและสั่งว่าได้ขอร้องไม่ให้ลูกน้องไปยุ่งเกี่ยวกับปลาในสระแล้วทำไมลูกน้องจึงเข้าไปยุ่งอีก ขอให้ช่วยไปตักเตือนสั่งสอนด้วย คุณมงคลได้ยินดังนั้นก็ตกใจ เพราะหลวงปู่ได้สั่งไว้หลายหนแล้วว่าให้กำชับคนงานอย่าให้ไปยุ่งกับปลาในสระน้ำ คุณมงคลจึงกลับไปที่พักคนงานและเรียกลูกน้องมาด่าทุกคน แล้วถามว่าใครไปจับปลาของหลวงปู่ ซึ่งทุกคนปฏิเสธ คุณมงคลจึงไปหาหลวงปู่อีกและออกรับแทนลูกน้องว่า ไมมีลูกน้องคนใดไปยุ่งเกี่ยวกับปลาของหลวงปู่เลย หลวงปู่ทิมจึงว่า "ไอ้คนดำมืดยังไง" คุณมงคลก็กลับไปใหม่ และไปเรียกนายดำซึ่งมีผิวกายดำมะเมื่อมอยู่คนเดียวมา และบอกว่า "หลวงปู่บอกว่าลื้อไปจับปลาของท่านมาจริงหรือเปล่า" นายดำได้ยินก็ตกใจพูดกับช่างมงคลว่า "ท่านรู้ได้อย่างไรก็ผมไปแอบจับตอนตี 1 แล้วนี่ครับ

    เกี่ยวกับปลานี้

    คุณเพรียรวิทย์ จารุสถิติศิษย์ก้นกุฏิของท่านเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อถึงวันดีคืนดี หลวงปู่จะเดินลุยน้ำลงไปในสระ คลี่ชายจีวรออก จับกางสองมือแล้วช้อนปลาเป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง มีปลาเข้ามาขังอยู่ที่ชายจีวรแน่นไปหมด คุณเพียรวิทย์บอกว่าหลวงปู่ใช้มนต์จินดามณีเรียกปลามาหา

    เรื่องจากคุณ พ.เด็กวัด..หลวงปู่ทิมของผม

    สมัยที่หลวงปู่ทิมเดินจงกรม ท่านกำหนดจิตยกมือพนมเหนืออก ข้อศอกคู้แนบติดกับลำตัวย่างเท้าก้าวเดินอยางช้าๆ กำหนดเดินไปข้างหน้าเก้าสิบเก้าก้าว และกันหลังกลับถอยไปอีกเก้าสิบเก้าก้าว บริเวณที่หลวงปู่ทิมเดินจงกรม บริเวณที่เดินจงกรมนี้ต้นหญ้าไม่กล้างอกขึ้นมา แต่แปลกที่สุด ไม่ว่าพวกมดหรือสัตว์สี่เท้าใดๆ ไม่กล้าเดินผ่านบริเวณนั้น จะต้องเดินอ้อมพ้นเขตบริเวณจงกรม

    คาถาของหลวงปู่ทิม

    "มะอะอุ ทุกขัง อนิจัง อนัตตา พุทโธ พุทโธ"
    หลวงปู่ทิมท่านว่าเป็นคาถาที่ดีและก็สั้น และพุทธคุณของคาถาบทนี้ก็สูงมากอยู่ที่คนปฏิบัติ ท่านยังกรุณาเล่าให้ฟังว่า มีใครคนหนึ่งที่อยู่ตลาดมาปรับทุกข์ให้ท่านฟังว่า ขายของก็ไม่ดีทะเลาะกับเมีอยู่ที่บ้านแทบทุกวัน ญาติพี่น้องต่างเกลียดชัง อยากจะขอคาถาให้เขารัก หลวงปู่จึงให้คาถาบทนี้ไป ปรากฏว่าเดี๋ยวนี้ ชายผู้นั้นมีความสุขแล้ว จะไปไหนเมียก็ตามไปด้วย ญาติพี่น้องก็รักใครกันดี ผู้เขียนจึงมั่นใจว่าพุทธานุภาพในคาถาบทนี้จะประสบผลสำหรับผู้ที่ปฏิบัติเป็นประจำสม่ำเสมอ ถ้าผู้ใดได้รับคาถานี้ไป ขอให้นึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และคุณหลวงปู่ทิมเป็นที่ตั้งทุกอย่างก็จะอำนวยโชคพอสมควรกับบุญกรรมของบุคคลนั้น

    พัดโบกหลวงปู่ทิม

    ช่วงเดือนตุลาคม ปี 2517 ได้เกิดน้ำป่าไหลท่วมบริเวณวัด ขณะนั้นหลวงปู่ทิมนั่งฟังเสียงน้ำหลากอยู่หน้าห้องของท่านพลันลุกขึ้นเข้าห้องหยิบผ้ายันต์ผืนสี่เหลี่ยม ถือเดินออกไปยังหอฉันเก่า ซึ่งผู้เขียนเกรงว่าจะถูกน้ำพัดพาไปด้วย หลวงปู่ท่านยืนเสกผ้าผืนนั้นซักอึดใจหนึ่งท่านก็โยดผ้าผืนนั้นลงไปตามกระแสน้ำ ผ้าผืนนั้นก็ลอยไปตามน้ำอย่างรวดเร็วท่ามกล่างคนงานที่ได้ช่วยกันเก็บเครื่องครัวอยู่บนวัดโดยไม่ทราบว่าหลวงปู่ได้ทำอะไร สักครู่หนึ่งทุกคนต่างตะลึงได้เห็นผ้าผื้นนั้นไหลทวนน้ำขึ้นมาหาหลวงปู่โดยหอบเอาอะไรมาสิ่งหนึ่ง หลวง ปู่ได้หยิบผ้าผืนนั้น ปรากฏมีลูกไก่เล็กๆ สีขาวคู่หนึ่งอยู่ในอุ้งมือ ท่านเอามือลูบไล้ไปที่ลูกไก่สีขาวคู่นี้ด้วยความปราณีอย่างเมตตา



    บัตรการันตีจากสถาบันที่เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ท่านใดที่มีความต้องการ ลูกอมผงพรายหลวงปู่ทิม/เม็ดประคำผงพราย/ตะกรุดสาริกา

    วันนี้เรามาคุยกันเรื่องของลูกอมผงพรายของหลวงปู่ทิมกันสักหน่อยนะครับ

    ได้มีเพื่อนๆหลายต่อหลายท่านได้โทรมาพูดคุยกับผมและขอความรู้ในเรื่องต่างที่เกี่ยวกับ "ลูกอมผงพราย" ว่าทำไมลูกอมผงพรายนั้นจึงมีหลายๆท่านได้นำเสนอในการบูชามากมายหลายราคามีราคาตั้งแต่หลักร้อยไปถึงหลักพันต้นๆและหลักหมื่นซึ่งทำให้การตัดสินใจที่จะบูชาไม่รู้จะบูชาแบบไหนกันดี

    อันนี้ผมขอแจงอธิบายดังนี้ครับ

    ลูกอมหลวงปู่ทิม (ผงพรายกุมาร) ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าเป็นผงพรายที่มีพุทธคุณสูงที่สุดของเมื่องไทย มารตฐานในการเล่นหาจะมีไม่กี่นิดครับ บอร์นฝุ่น บอร์นน้ำมัน และลูกอมยุดแรกๆและต้องออกจากวัดระหารไร่เท่านั้นในปี 17/18 ครับ ค่านิยมที่ผมกล่าวถึงนี้จะเล่นหากันในราคาที่สูงครับ และเนื้อผงพรายนั้นนั้นจะเป็นชนิดเดียวกันกับขุนแผนพรายกุมารของหลวงปู่ซึ่งมีค่านิยมสูงถึงหลักหลายๆแสนบาทในปัจจุบัน

    ส่วนลูกอมผงพรายอีกชนิดหนึ่งที่มีออกมามากๆในปัจจุบันนั้น ผู้ที่ให้บูชาอาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจอันนี้ผมมิทราบครับ โดยไม่ได้บอกที่มาว่าเป็นลูกอมหลวงปู่ทิมแบบใหน แบบมาตรฐานเล่นหา หรือ แบบลูกอมที่ออกมายุดหลังออกมาหลายๆวัดมากๆโดยที่ได้ทำเรื่องขอ ผงพรายกุมารมาจากหลวงปู่ทิมซึ่งทาง มูลนิธิหลวง ปู่ก็ได้จัดให้ไปทุกๆวัดที่มีความประสงค์ที่จะนำไปเป็นส่วนประสมการการทำลูกอมผงพรายของวัดนั้นๆ จากที่ผมทราบมานะครับจะจัดให้ไปประมาณ "ตลับยาหม่อง" เท่านั้นครับ ทั้งทางแทบระยองและจังหวัดต่างๆทั่วประเทศและจะมีบางวัดนะครับที่ได้หลวงปู่ไปรวมในการปลุกเสกด้วย เมื่อทำพิธีปลุกเสกเสร็จแล้วก็เรียกกันว่า "ลูกอมผงพรายหลวงปู่ทิม"

    ดังนั้นจึงปฎิเสธไม่ได้ว่าเป็นของแท้ ผมก็ว่าแท้ครับ ไม่เคยว่าไม่แท้เลยสักครั้ง ผมจึงขอทำความเข้าใจว่า


    "คำว่ามาตรฐานในการเล่นหา" แตกต่างกันครับ

    นำเสนอลูกที่มีการเล่นหากันสูงครับ (บรอนซ์วานิช) พร้อมเลี่ยมทอง

    [​IMG]

    เครื่องราง พร้อมบัตรรับรอง ไม่แท้ดูง่ายส่วนมากจะไม่ออกบัตรกันครับ
    พร้อมบัตรรับรองพระแท้ไม่ต้องเสี่ยงกับเงินแท้ของท่านครับ
    บูชาพระแท้เปี่ยมด้วยพุทธคุณสบายใจกับ พลังชาตรี 13



    [​IMG]


    พระแท้ราคาแท้ไว้ใจได้ในเรื่องพุทธคุณ

    พระไม่ดีไม่แท้ไม่นำมาลงให้ศึกษากันผิดๆครับ

    บูชาพระไม่ต้องเสี่ยงพร้อมใบเซอร์ พลังชาตรี 13

    รับประกันพระแท้ไม่มีกำหนด องค์ใหนเก็ บวกให้ 2000 บาท<!-- google_ad_section_end -->
     
  16. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    เหรียญกลมหลวงปู่สิม ศิษย์หลวงปู่ มั่น ภูริทัตโต สหายธรรมหลวงปู่ทิม (บล็อควงเดือน นิยม)

    หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดระหารไร่ ปลุกเสก ตอกโค๊ด นะ ชินบัญชร เต็มใบ ผิวไฟแดงเดิมๆครับ ตัวหนังสือติดทุกตัว

    เหรียญเลียมทองอย่างหนาๆพร้อมบูชา เหรียญสวยๆระดับ ๕ ดาว จัดสร้างที่ตอกโค๊ด 3000 องค์


    [​IMG] [​IMG]

    พร้อมบัตรรับรองพระแท้ไม่ต้องเสี่ยงกับเงินแท้ของท่านครับ
    บูชาพระแท้เปี่ยมด้วยพุทธคุณสบายใจกับ พลังชาตรี 13

    [​IMG]


    เล่นพระดีพระแท้แบบมาตรฐาน สบายๆใจในเรื่องพุทธคุณ

    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->พระไม่ดีไม่แท้ไม่นำมาลงให้ศึกษากันผิดๆครับ

    บูชาพระไม่ต้องเสี่ยงพร้อมใบเซอร์ พลังชาตรี 13


    รับประกันพระแท้ไม่มีกำหนด องค์ใหนเก็ บวกให้ 2000 บาท<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  17. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    วัตถุมงคลยอดนิยม หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ร่มโพธิ เล่มที่ 66 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2538
    โดย อาจารย์เพียรวิทย์ จารุสถิติ

    ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่โทรศัพท์ไปยังบ้านผู้เขียนพร้อมกับให้กำลังใจ บางคนถึงกับลงทุนจะไปหาผู้เขียนถึงที่บ้านด้วยตนเอง
    อย่าไปเลยครับ...ไม่ใช่ว่าจะถือตัวหรืออวดดีอะไร เพราะไปถ้าพูดคุยถึงเรื่องประวัติของหลวงปู่ก็ยินดีจะเล่าให้ฟัง แต่ถ้าไปเพื่อขอเช่าวัตถุมงคล...บอกจริงๆ นะครับว่าเวลานี้ไม่มีเลย จะมีก็แต่เฉพาะที่ใช้อยู่กับตัวเท่านั้น 8 ปีที่ผจญภัยและไปเปิดร้านจำหน่ายอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้เช่าและแจกฟรีไปเสียส่วนมาก

    เพื่อนๆ ที่ผู้เขียนแนะนำให้เก็บหลวงปู่ทิมไว้ เดี๋ยวนี้หรือครับ...รวยกันไปหมดแล้ว บางคนก็ไปหาผู้เขียนที่บ้าน ผลหรือครับ...ไม่เคยเจอกันเลย เพราะดวงของผู้เขียนอยู่ติดที่ไม่ได้ ต้องระเหเร่รอนไปเรื่อยๆ หลังจากที่หลวงปู่ทิมเสียเสียแล้ว ก็เคยไปอยู่ที่หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ โคราช ยังจำคำพูดทีท่านพูดไว้กับผู้เขียนว่า “มาอยู่กับไหม สัก 3 ปี รับรองรวยไม่รู้เรื่อง” ถ้าเชื่อท่านป่านนี้ได้นั่งเบนซ์รุ่นใหม่ไปนานแล้ว

    วัตถุมงคลของหลวงปู่ทิม ที่ท่านได้อธิษฐานจิตไว้ทุกรุ่น ใครมีไว้เชื่อได้เลยครับว่า ชาตินี้ท่านไม่ตกอับแน่นอน ยิ่งถ้าจิตผู้ใช้บริสุทธิ์ สร้างแต่กรรมดี ท่านยิ่งชอบใหญ่ และท่านจะยิ่งช่วยเหลือยามที่เราเจอภาวะเดือดร้อน ยิ่งตอนนี้เป็นยุคไฮเทค หรือยุคโลกาภิวัตน์ ใครๆ มักจะไม่เชื่อถือทางไสยศาสตร์ แต่อย่าลืมนะว่า บรรพบุรุษของเราสมัยก่อน ปกป้องบ้านเมืองจนเราได้อยู่จนทุกวันนี้..ก็เพราะความเชื่อในด้านไสยศาสตร์เป็นพื้น

    ดังเช่น หลวงพ่อวัดฉลอง ภูเก็ต ท่านปลุกเสกผ้าประเจียดเพื่อให้คุ้มครองชาวบ้าน ไม่ให้เป็นอันตรายจากโจรอั้งยี่หรือโจรแยกดินแดน หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก่อนออกศึกท่านจะต้องคาดเครื่องรางและของขลังและอาราธนาวัตถุมงคลติดตัวอยู่เสมอ..จนทำให้เมืองไทยพ้นวิกฤติการณ์..ได้เป็นเอกราชจนพวกเรามี่แผ่นดินไทยอาศัยอยู่อย่างสบายๆ ก็เพราะพระบารมีขององค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 และองค์พระสยามเทวาธิราช องค์พระพรหม องค์พระเถระคณาจารย์ที่ได้ล่วงลับ...ท่านสถิตอยู่ที่พื้นที่ไทยจึงทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากากรถูกต่างประเทศรุกราน..ไม่เหมือนประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ ตัวเราที่ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ หรือของประเทศมหาอำนาจหมด

    ผู้เขียนคิดว่าดวงวิญญาณของพระปฐมกษัตริย์หรือดวงวิญญาณของคณาจารย์ผู้ล่วงลับไปแล้ว ท่านคงจะแผ่รังสีบารมีธรรมคอยปกป้องคุ้มครองลูกหลานทุกคนที่อยู่ในเมืองไทย อย่าลืมนะครับว่า เมืองไทยเรานี้มีการปลุกเสกพระเครื่องอยู่บ่อย และในปีหนึ่งปีหนึ่งมีเป็นร้อยครั้ง เมื่อทำพิธีก็ต้องอัญเชิญเทวดา..อ่านโองการอัญเชิญเทพพรหม พระอินทร์...ท่านเหล่านี้สถิตย์อยู่บนสวรรค์ เมื่อเราทำพิธีเชิญท่าน ท่านก็ต้องมา เหมือนกับโลกมนุษย์ ถ้าเรามีการ์ดไปเชิญ คนที่ถูกเชิญก็ต้องมา ถ้าไม่มาก็ฝากคนอื่นไป

    แต่ในโลกของเทวดา ผู้เขียนเคยฟังหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และหลวงปู่บุดดา กล่าวไว้ว่า เทวดา เทพพรหม..ในสรวงสวรรค์ ท่านคอยปกป้องลูกหลานในไทยอยู่เสมอ พอเราอ่านโองการชุมนุมครูท่านก็สะดุ้งทุกที เพราะไม่เคยมีเวลาเป็นของตัวเองเหมือนกับโลกมนุษย์..เดี๋ยวคนนี้เรียก..เดี๋ยวคนนั้นเรียก..ท่านจะปฏิบัติธรรมเพื่อตนเองก็ไม่ค่อยว่าง ต้องคอยช่วยผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา

    ผู้เขียนอารัมภบทมานานแล้ว จะขอวกไปที่เรื่องราวของหลวงปู่ทิมเสียที วัตถุมงคลของหลวงปู่ทิมเวลานี้ ถ้าใครอยากได้ เวลานี้ต้องเช่าซื้อราคาแพงมากเหลือเกิน ในความรู้สึกของผู้เขียนที่เคยอยู่และรับใช้หลวงปู่ทิมมาเป็นเวลา 9 ปีทีเดียว ท่านมักจะบอกและพูดอยู่เสมอว่า “อะไรก็ได้ ถ้านับถือนี่ นี่จะช่วยเอง” ฉะนั้นจะเป็นของของท่านไม่ว่ารุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ ถ้าผู้สร้างสร้างด้วยจิตบริสุทธิ์ก็ใช้ได้ผลเช่นกัน แต่นั่นแหละครับ..บางคนก็บอกว่า ถ้าจะให้ดี ถ้าได้ผ่านมือท่าน ยิ่งดีใหญ่

    ท่านผู้อ่าน..หรือผู้ที่นับถือหลวงปู่ทิมในยุคก่อน ถ้าเคยไปวัดละหารไร่ ตอนที่หลวงปู่มีชีวิตอยู่ หลวงปู่มักจะแจก “รูปกระดาษที่มียันต์ล้อมรอบ (กระดาษสารพัดกัน)” ให้แก่ผู้ที่ไปกราบท่านและบอกว่าให้นำไปติดรถหรือติดบ้าน

    รูปกระดาษนี้ทางคุณชินพร สุขสถิตย์ ได้ย่อมาจากรูปถ่ายสีชมพูแผ่นใหญ่ จุดประสงค์ผู้สร้างต้องการให้ผู้รับนำรูปกระดาษนี้นำไปติดรถหรือพกใส่กระเป๋าไว้เพื่อป้องกันตัว เพราะยันต์ที่หลวงปู่ทิมลงในกระดาษนี้เป็นยันต์สุดยอดในด้านป้องกันตัวและแคล้วคลาด..แถมยังเป็นเมตตามหานิยม พูดง่ายๆ ว่าครอบจักรวาลทีเดียว

    เวลาผู้เขียนนวดท่านในตอนกลางคืน ท่านหยิบรูปกระดาษนี้และพูดว่า “เพียรเชื่อไหม รูปนี้มีพุทธคุณเทียบเท่าตะกรุด 1 ดอกทีเดียว” (หลวงปู่มักเรียกผู้เขียนสั้นๆ ว่าเพียร)

    สำหรับชื่อที่หลวงปู่ทิมจะเรียกลูกศิษย์ของท่านแต่ละคนนั้น ผู้เขียนจะขอบอกให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจ เพราะการเขียนในครั้งนี้เขียนทำคำบอกเล่าที่หลวงปู่มีชีวิต และพวกเราในยุคนี้มีชื่อทันสมัย ท่านก็เรียกชื่อยาก..ท่านจึงเรียกตามความเข้าใจของท่าน เช่น

    คุณชินพร สุขสถิตย์ หลวงปู่จะเรียกว่า “พร”
    คุณประชา ตรีพาสัย หลวงปู่จะเรียกว่า “คนขายยา” (บ้านคุณประชาเป็นร้านขายยา)
    คุณอารมณ์ ทับสุวรรณ หลวงปู่จะเรียกว่า “คนพระมาก” (คุณอารมณ์ชอบใส่พระไว้ที่คอมากๆ)
    คุณวิรัช ชำนาญณรงค์ หลวงปู่จะเรียกกว่า “จอมโวกวาก” (คุณวิรัชเวลาพูดมักจะเสียงดัง)
    คุณสุขุม แสงชูวงศ์ หลวงปู่จะเรียกว่า “คนทดน้ำ” (ทำงานเป็นหัวหน้าอยู่ที่กรมชลประทาน)
    คุณมงคล นาคแพน หลวงปู่จะเรียกว่า “ช่างทำโบสถ์” (ช่างรับเหมาทำโบสถ์)

    ซึ่งแต่ละบุคคลก็มีบทบาทและหน้าที่ไปตามความสามารถของตนเอง ถ้าผู้เขียนกล่าวถึงใครก็ขอให้ท่านผู้อ่านทราบด้วยว่าเป็นใครนะครับ
    จะกล่าวถึงความศักดิ์สิทธิ์ของรูปถ่ายกระดาษ ที่เราๆ มักจะเรียกกันว่า “รูปนะกัน” (หรือกระดาษสารพัดกัน) ตามที่ อาจารย์ดุษฎี ศิริโวหาร ได้บันทึกไว้ว่า

    เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2518 มีโจรพวกหนึ่ง 4 คน ได้เกิดดวลปืนกลมือกับตำรวจ สภ.อ.บ้านค่าย ฝ่ายโจรมีเอ็ม 16 ประจำตัว ฝ่ายตำรวจมีเพียงปืนนาโต้และคาบินเอ็ม 1 ผลปรากฏว่าฝ่ายโจรตาย 3 คนและหลบหนีไปได้ 1 คน (ภายหลังตำรวจจับได้) ฝ่ายตำรวจไม่มีใครเสียชีวิตเลยจะมีก็บาดเจ็บที่ไหล่เล็กน้อย 1 คน เนื่องจากคนร้ายยิงด้วยเอ็ม 16 กระสุนโดนโครงรถ เศษตัวถังหลุดกระเด็นไปโดนหัวไหล่บาดเจ็บเล็กน้อย

    หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเสนอข่าวพาดหัวจนดังมากในยุคนั้น สถานที่เกิดเหตุอยู่ไม่ไกลจากบ้านคุณดุษฎีเท่าไหร่นัก ดังนั้นคุณดุษฎีจึงต้องเข้าหาข้อเท็จจริงอย่างใกล้ชิด โดยขอพบ พ.ต.ต.นูล โสมทัต ผบ.สภ.อ.บ้านค่าย (เดี๋ยวนี้ท่านเป็น พ.ต.อ.ชื่อดังมากในกรณีเพชรซาอุ) ท่านก็ได้กรุณาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า

    ขณะที่ตำรวจตำบลหนองกรับได้ทำการตรวจรถยนต์อยู่ที่ด่านหัวชวด เวลาประมาณ 22.30 น. ได้มีรถยนต์มาสด้าปิ๊คอัพสีเหลืองวิ่งผ่านด่านไป โดยไม่ยอมให้ตรวจ ตำรวจประจำด่านจึงได้ขอยืมรถยนต์อีซูซุไล่กวด พอจะทันกันห่างประมาณ 20 เมตร คนร้ายได้ยิงด้วยเอ็ม 16 รัวไปที่รถยนต์ของตำรวจหนองกรับประมาณ 20 นัด กระสุนไปโดนรถยนต์และกระจกหน้าแตกและทะลุไปโดนกระจกหลังแตก

    แต่เป็นที่มหัศจรรย์มาก กระสุนปืนไม่ถูกตำรวจที่นั่งในรถเลย มีอยู่นัดหนึ่งเท่านั้นที่โดนตัวถังรถ เหล็กฉีกกระเด็นไปโดนหัวไหล่ของ พลตำรวจบรรยง คุ้มหอม ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จากนั้นคนร้ายก็ได้หลบหนีไป

    เนื่องจากคนร้ายมีอาวุธร้ายแรง พ.ต.ต.นุล จึงวิทยุรายงานไปที่ พ.ต.ต.วิทยา สุทธิการนฤนัย ผกก. ทราบ และนำกำลังออกสกัดทุกจุดที่คิดว่าคนร้ายจะหนีไป จากนั้น พ.ต.ต. นุล โสมทัต จึงได้เตรียมอาวุธปืนเท่าที่ สภ.อ.บ้านค่ายจะมีคือ ปืนกลมือนาโต้และคาไบด์ นำกำลังตำรวจออกติดตามในคืนนั้นเอง ได้พบกับพวกโจรที่บ้านชะวึก จึงเกิดการดวลปืนกลมือกันขึ้นท่างกลางเดือนหงาย ภายในรถยนต์ปิ๊คอัพสีฟ้ายี่ห้อโตโยต้า ประจำ สภ.อ.บ้านค่าย ซึ่งมี พ.ต.ต.นูล และนายสิบตำรวจ 2 นายขับรถสวนกับคนร้าย

    ฝ่ายคนร้ายได้สาดกระสุนอย่างบ้าคลั่ง ฝ่ายตำรวจก็ตอบโต้อย่างไม่ลดละ..เสียงดังสนั่นหวั่นไหว..นับว่าเป็นศึกดวลปืนกลมืออย่างแท้จริง ผลปรากฏว่าคนร้ายตาย 3 คนบาดเจ็บและโดนจับได้ 1 คน

    จากเหตุการณ์นี้ทำให้คุณดุษฎี ศิริโวหาร อยากทราบว่าพวกคนร้ายมีพระอะไรห้อยคอบ้างและฝ่ายตำรวจใช้พระอะไร ผลลัพท์หรือครับ..ฝ่ายโจรไม่มีพระเครื่องใดๆ ทั้งสิ้น..แต่ฝ่ายตำรวจโดยเฉพาะ พ.ต.ต.นุล โสมทัต มีพระเครื่องหลวงปู่ทิมอยู่หลายองค์ที่เดียว ส่วนตำรวจที่ไปด้วยก็มีตะกรุดโทนของหลวงปู่อยู่ทุกคน

    มีข้อสังเกตอยู่ที่ว่า รถยนต์โตโยต้าสีฟ้าประจำอยู่ที่ สภ.อ.บ้านค่าย ซึ่งเป็นคันที่ผู้กองนูลนั่งและวิ่งสวนกับรถคนร้ายนั้น กระสุนของฝ่ายโจรไม่ได้โดนรถคันนี้เลย ทั้งที่คืนนั้นเป็นคืนเดือนหงายสว่างมากทีเดียว และปืนที่คนร้ายใช้ยิงก็เป็นปืนสงครามคือเอ็ม16 ที่มีความแม่นยำสูงมาก กระสุน .223 ที่มีอัตราการยิงเร็ว 600 นัดต่อนาทีและความเร็วเป็นสองเท่าของเสียง คือ 1,005 เมตรต่อวินาที การที่กระสุนไม่ถูกตำรวจและรถยนต์เลย ถ้าไม่เรียกว่าปาฏิหาริย์ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร และในรถยนต์ของผู้กองนูล มีกระดาษยันต์สารพัดกันติดอยู่แผ่นเดียว

    สำหรับท่านที่มีห้องพระห้องทำงานส่วนตัวเพิ่มบารมีพุทธคุณล้นเหลือ

    รูปภ่ายสีหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ แท้ๆขนาด 10 x7 ปี 2518


    พิธีปลุกเสกเดียวกับผ้ายันต์/กระดาษสาระพัดกัน ที่ท่านรู้จักเป็นอย่างดี
    ส่วนรูปสีขนาดใหญ่รูปนี้นั้นทำน้อยมากจึงไม่ค่อยมีใครรู้จักพูดถึงครับ ด้านหลัง หลวงปู่จะเป็นผู้ลงยันต์มหาจินดามณี
    พุทธคุณรูปภาพนี้หลวงปู่ท่านกล่าวไว้ว่า "เทียบเท่ากับตะกรุด ๑ ดอก"
    กล่าวกันว่าบ้านใดที่ใดได้มีรูปภาพนี้ไว้บูชา บ้านนั้นที่นั้นจะพบแต่ความเจริญรุ่งเรืองมากด้วยทรัพย์มีด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ไม่มีที่สิ้นสุดครับ

    ขนาดภาพพร้อมกรอบรูป 12x9.5 นิ้ว

    [​IMG]

    เครื่องรางถ้าไม่ดูง่ายหรือแท้ตาเปล่าแล้วจะไม่มีการออกบัตรรับรองครับ
    ภาพใบนี้แท้ดูง่ายหายากมากๆมาตรฐานเล่นหาพร้อมบัตรรูปแท้ครับท่าน

    [​IMG]

    ภาพตัดขยายเฉพาะรูปหลวงปู่ครับ

    [​IMG]


    ภาพนี้ถ้าดูแล้วว่าใช่แน่ๆว่าต้องเป็นสมบัติของท่าน สอบถามมาเถอะครับ

    พระไม่ดีไม่แท้ไม่นำมาลงให้ศึกษากันผิดๆครับ

    บูชาพระไม่ต้องเสี่ยงพร้อมใบเซอร์ พลังชาตรี 13

    รับประกันพระแท้ไม่มีกำหนด องค์ใหนเก็ บวกให้ 2000 บาท
     
  18. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    แนะนำพระดีๆสวยๆ ประกวดติดที่ ๑. รวม ๓.รายการครับ

    พระปิดตามหาอุตม์ หลวงพ่อสงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ปี ๑๘ ชุมพร


    ใบประกาศรางวัลที่ ๑
    1. งานประกวด มหาวิทยาลัยเอเซียอาคเนย์ ปี ๔๘ ติดที่ ๑
    2. ห้างสรรพสินค้า ตั้งฮั่วเส็งธนบุรี ติดที่ ๑
    3. ตลาดสนามหลวง ๒ ธนบุรี ติดที่ ๑

    [​IMG]

    [​IMG]

    ใบประกวดติดที่ ๑ ทั้ง ๓ รายการครับ
    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    พระไม่ดีไม่แท้ไม่นำมาลงให้ศึกษากันผิดๆครับ

    บูชาพระไม่ต้องเสี่ยงพร้อมใบเซอร์ พลังชาตรี 13

    รับประกันพระแท้ไม่มีกำหนด องค์ใหนเก็ บวกให้ 2000 บาท<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  19. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    หลวงพ่อสงฆ์ จันทสโร



    วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย


    [​IMG]
    เมื่อธุดงค์มาถึงบ้านปลายคลองน้อย อ. สวี ซึ่งยังคงเป็นป่าเขา มีบ้านเรือนตั้งอยู่เพียงแค่ไม่กี่หลังยังมิสู้เจริญนัก เมื่อท่านเห็นว่ามีหมู่บ้านตั้งอยู่ข้างหน้าจึงคิดที่จะหยุดพัก จึงเข้าไปปักกลดอยู่ในราวป่าใกล้ ๆ หมู่บ้าน
    ครั้นพอรุ่งเช้าต่อมา ท่านก็ออกเดินบิณฑบาต เข้าไปในหมู่บ้านแต่ปรากฏว่ามิมีผู้ใดถวายบิณฑบาตเลย เช้านั้นท่านเลยไม่ได้ฉันอาหารเลย ท่านคิดว่าชาวบ้านคงจะไม่ทราบว่ามีพระธุดงค์มาบิณฑบาตจึงไม่มีผู้ใดเตรียมอาหารได้ทัน แต่พอรุ่งเช้าถัดมา เมื่อท่านเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านอีก คราวนี้พอชาวบ้านเห็นพระธุดงค์เดินอุ้มบาตรเข้ามาก็พากันเข้าบ้านเปิดประตูเสียราวกับว่าพระธุดงค์นั้นเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาของพวกเขาทั้งหลาย ทำให้วันนั้นท่านมิได้ฉันอาหารอีกเป็นวันที่สอง
    เมื่อเห็นอากัปกิริยาของชาวบ้านเช่นนั้น ทำให้ท่านตั้งใจว่าจะต้องทำให้ชาวบ้านได้ทำบุญให้ได้ เพื่อตนจะได้ฉันอาหารและเพื่อตนจะได้แสดงธรรมให้ชาวบ้านได้รับธรรมเข้าไปในจิตใจ และปรากฏว่าเหตุการณ์ก็ยังเป็นเช่นเดิม อยู่ถึง 6 วัน ซึ่งหมายความว่า ท่านก็มิได้ฉันอาหารเลยทั้ง 6 วัน ดังกับว่าเป็นการทดลองจิตและสมาธิความตั้งใจของท่านว่ามีความแน่วแน่อดทนเพียงใด
    พอเช้าวันที่ 7 ท่านก็พาร่างกายอันอิดโรยเข้าไปบิณฑบาตอีก เช่นเดิม ปรากฏว่าเช้านี้ ได้มีชาวบ้านผู้หนึ่งถวายข้าวสวยสุกมาสามช้อนทัพพี และเมื่อท่านกลับมาถึงกลดก็ลงมือฉันข้าวสวยสุกนั้นและปรากฏว่าพอข้าวคำแรกตกถึงกระเพาะ ท่านก็มีอาการหน้ามืดและสลบไปจวบจนบ่ายแก่ ๆ ก็ฟื้นขึ้นมา
    พอเช้าวันถัดมา พอออกบิณฑบาต ปรากฏว่าคราวนี้มีชาวบ้านทำบุญตักบาตรกันแทบทุกบ้านได้ภัตตาหารมาจนล้นบาตร ครั้นพอตกตอนเย็นก็มีชาวบ้านทำน้ำปานะมาถวายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้มีโอกาสแสดงธรรมให้แก่ชาวบ้านดังที่ตั้งใจ ไว้
    ความจริงตอนที่ธุดงค์อยู่ ตัวท่านเองก็เคยไม่ได้รับบิณฑบาตจากชาวบ้าน เป็นเวลาหลาย ๆ วัน ก็ออกจะบ่อยอยู่ แต่ได้อาศัยน้ำตามลำธารช่วยแก้กระหาย และลูกผลไม้ต่าง ๆ ในป่าแก้หิว บวกกับการทำสมาธิ เจริญภาวนาทำให้สามารถช่วยให้ผ่านพ้นอยู่รอดมาได้ แต่เหตุการณ์ครั้งล่าสุดนี้ ท่านตั้งใจว่าจะไม่ฉันอะไรเลย หากไม่ได้รับบิณฑบาตจากชาวบ้าน ดังนั้น เมื่อร่างกายไม่ได้รับพลังงานสิ่งใดเลยตลอด ๖ วัน ก็ย่อมอ่อนเพลียเป็นธรรมดา หากไม่มีสมาธิและจิตใจที่แน่วแน่แล้วยากนักที่จะทำแบบนี้ได้ ขนาดที่เมื่อฉันอาหารคำแรกร่างกายปรับสภาพไม่ทัน ถึงกับช็อคสลบไป นับว่าท่านรอดมาได้ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่และสมาธิอันเข้มแข็งโดยแท้

    <TABLE id=table7 border=0 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    ขึ้นกุฏิ





    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เมื่อออกจากปลายคลองน้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าเข้าสู่บ้านเขาปีบ และที่บ้านเขาปีบนี่เองที่ท่านได้พบกับพระอาจารย์อีกครั้ง โดยเมื่อถึงเขตบ้านเขาปีบ ก็พบกับชายตัดฟืนคนหนึ่ง ด้วยความที่ท่าน เคยประสบกบเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ที่บ้านท่าข้าม ทำให้เกิดความรู้สึกสงสัยระคนกับความเชื่อมั่นบางอย่าง จึงเข้าไปถามชายคนตัดไม้ว่า
    “ตัดไม้ทำอะไรโยม “
    คนตัดไม้บอกว่า “ จะเอาไปทำที่พักให้พระคุณท่าน“
    “ พระอยู่ที่ไหนล่ะโยม “
    ชายตัดไม้ชี้พลางเชิญชวน “อยู่แค่นี้เองคุณไปไหม ถ้าไปตามผมมาเถอะ“
    ท่านก็เดินตามชายตัดไม้ไป และเมื่อพบพระรูปดังกล่าว ท่านถึงกับยิ้ม เพราะพระรูปที่นั่งอยู่ในกลดคือ หลวงพ่อทวดเวียนพระอาจารย์ที่ตนเองตามหาอยู่
    เมื่อเข้าไปถึง หลวงพ่อทวดเวียนก็ถามว่า “คอยนานไหม”
    ท่านจึงเล่าให้อาจารย์ฟังถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นที่พระอาจารย์ได้จากไป จนกระทั่งได้มาพบกันในตอนนี้ ข้างหลวงพ่อทวดเวียนก็เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า เมื่อตนเองออกจากบ้านท่าข้ามแล้ว ก็ธุดงค์ไปถึงเมืองตะนาวศรี เมืองมะริด แล้วลงเรือขึ้นไปยังเมืองร่างกุ้ง ได้นมัสการพระธาตุเจดีย์ที่ร่างกุ้งแล้วจึงย้อนกลับมาทางเดิม เข้าเมืองไทย และมาถึงที่นี่ในวันนี้เหมือนกัน
    หลังจากได้พบเจอกันแล้วทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ ก็อยู่ปฏิบัติธรรมปฏิบัติพระกรรมฐานอยู่ที่บ้านเขาปีบต่อไป โดยเลือกเอาบริเวณป่าช้าเงียบสงบวังเวงเป็นที่ปฏิบัติ
    หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า บ่ายวันหนึ่งมีคนหามศพมาฝัง หลวงพ่อทวดเวียนท่านเห็น ก็เรียกให้เอาศพมาที่ท่าน ๆ สั่งให้แก้เชือกที่หามออก แล้วแก้ฟากนาค ๗ ซี่ที่เอามัดห่อหุ้มศพออก และท่านใช้ให้ชายอีกคนหนึ่งไปเอาน้ำมาให้ท่านไห (โอ่ง) หนึ่ง
    ศพนั้นเป็นศพเด็กชาย ชื่อดำ พ่อของเด็กชายดำ บอกหลวงพ่อเวียนว่า เขาตายเมื่อเที่ยงนี้เอง พอดีคนที่ไปตักน้ำก็เอาน้ำมาให้หลวงพ่อทวดเวียน หลวงพ่อทวดเวียนเอาน้ำใส่ลงในบาตรล้วงเอาผ้าขาวในย่ามใส่ลงในบาตร และหยิบวัตถุเป็นเม็ดสีดำ คงจะเป็นยา ใส่ไว้ใต้ริมฝีปากบนของศพ แล้วท่านบริกรรมไปเอาผ้าขาวที่ใส่ไว้ในบาตรตบที่หัวศพไป ราวครึ่งชั่วโมงก็มีเสียงครางในลำคอ หลวงพ่อทวดเวียนก็บีบผ้าขาวให้น้ำย้อยลงในปากพร้อมกับบอกผู้เป็นพ่อว่า ไปต้มข้าวต้มมาให้
    ผู้เป็นพ่อรีบลุกขึ้นวิ่งไปต้มข้าวต้มด้วยความดีใจเป็นที่สุด ต่อมาไม่นานนักเด็กชายดำก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อผู้เป็นพ่อเอาข้าวต้มมาและหยอดน้ำข้าวต้มให้จนมีอาการดีขึ้น เวลาพูดก็ได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น บรรดาพ่อแม่และญาติ ๆ ต่างก็มาตูยิ้มทั้งน้ำตา ต่างก็สรรเสริญหลวงพ่อทวดเวียนว่า
    “เป็นเสมือนเทวดามาชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้”
    เด็กชายดำมีเรี่ยวแรงพอพูดจาได้ดีแล้ว ก็เล่าให้ฟังว่า
    “มีคนมาพาเขาไป พอไปถึงกำแพงเมือง ซึ่งเขาไม่เคยเห็น มีผู้คนพลุกพล่าน ทุกเพศทุกวัย ต่างก็เดินทางเข้ากำแพงเมือง คนเดินออกไม่มี เขาก็เดินตามไปด้วย พอจะเข้าไปในประตูก็พอดีมีพระห่มจีวรออกสีดำเข้ามาดักหน้าเขาไว้ ไม่รู้เอาอะไรสีดำ ๆ จุกในปากเขา และสั่งให้กลับ เขาบอกว่า ไม่กลับ ก็ตบหัวเขาๆ ก็ถอยหลังเรื่อยมา ๆ จนเขารู้สึกขึ้นมานี่แหละ”
    พ่อแม่และหมู่ญาติต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ดำ ไม่ใช่ลูกเขาแล้ว ยกให้หลวงพ่อทวดเวียนเถิด”
    ดำก็อยู่กับหลวงพ่อทวดเวียนหลายเดือน เขาเป็นคนกล้า เข้านอนอยู่ที่แคร่ใต้กุฏิ เวลามีเสือเขาก็ไม่กลัวเสือ ต่อมาเมื่อหลวงพ่อทวดเวียนกับหลวงปู่เดินธุดงค์ไปที่อื่น ก็ฝากดำไว้กับพ่อแม่ของดำให้ช่วยเลี้ยงดูไว้ให้ท่านด้วย
    เมื่อท่านได้ออกไปจากบ้านเขาปีบแล้ว ก็ได้ธุดงค์ไปในที่ต่างๆ โดยเฉพาะหลวงพ่อทวดเวียนกับหลวงปู่ อยู่ประจำพรรษาที่ถ้ำโพงพาง ๒ พรรษา (เดี๋ยวนี้เป็นวัดแล้ว อยู่ที่ตำบลหาดทรายรี อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร) ซึ่งเป็นที่สงัดวิเวกอยู่ใกล้ทะเล เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมยิ่งนัก จากนั้นก็ไปประจำพรรษาที่วัดควน ตำบลวิสัยใต้ อีก ๑ พรรษา หลวงพ่อทวดเวียน ท่านก็ถึงแก่มรณภาพลง
    หลวงปู่ ท่านเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อทวดเวียน ท่านเกิดอาพาธหนัก มีโยมผู้ชายมาอยู่เฝ้าพยาบาลเป็นจำนวนมาก ตอนที่ท่านมรณภาพไม่มีใครเห็น ตอนดึกสงัด โยมที่มาเฝ้านอนหลับกันหมด หลวงพ่อทวดเวียน ท่านลุกขึ้นแล้วนั่งห่มผ้าพาดสังฆาฏิ มีผ้าเคียนอก (รัดอก) ท่านเรียกว่า “ครองใหญ่” แล้วก็ลงจากกุฏิไป
    ใกล้รุ่ง พวกโยมที่มาอยู่เฝ้าพยายามต่างก็ลุกขึ้นมองหา ไม่เห็นหลวงพ่อทวดเวียน ก็ตกใจ รีบตามหา ก็ไม่พบ จนรุ่งสว่างหาจนทั่วก็ไม่พบ ส่วนหลวงปู่ ท่านก็ออกตามหาเหมือนกัน แต่ท่านไม่มาที่กุฏิ ท่านเข้าป่าใกล้วัดตามหา
    ตกตอนบ่ายจึงพบ ท่านเห็นหลวงพ่อทวดเวียนนั่งพิงต้นไม้ใหญ่อยู่ เมื่อเข้าไปถึง ก็ปรากฏว่า ท่านได้มรณภาพแล้ว (อาจารย์หลวงปู่ทั้งสองท่านล้วนแต่มรณภาพในท่านั่งคือ หลวงพ่อทวดรอด ท่านก็นั่งมรณภาพบนเก้าอี้ มาหลวงพ่อทวดเวียนก็นั่งมรณภาพใต้ต้นไม้)
    เมื่อทำบุญศพหลวงพ่อทวดเวียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ก็ออกธุดงค์ ปฏิบัติธรรมต่อไป ท่านอยู่ประจำพรรษาที่หัวกรูด ๑ พรรษา แล้วมาอยู่ประจำพรรษาที่สามแก้ว ๑ พรรษา ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นป่า เมื่อออกพรรษาที่ ๑๐ แล้วท่านธุดงค์เข้าสู่บ้านศาลาลอยครั้งแรก
    ท่านปักกลดอยู่ที่ใกล้หนองน้ำ ชื่อลุมควาย กำนันเฉยได้นิมนต์หลวงปู่ ให้ไปอยู่ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำท่าตะเภา ในครั้งนั้นเป็นวัดร้าง ท่านจึงรับนิมนต์คุณตาเฉย
    เมื่อหลวงปู่เข้าอยู่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนั้น ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๖๒ คุณตาเฉย ได้ทำกุฏิหลังเล็กรูปหลังคาและฝาแบบประทุนหรือสมัยก่อน ชาวบ้านเรียก กุฏิโกบ คืนแรกที่ท่านเข้าอยู่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ตอนดึกท่านไปเข้าเว็จกุฏิ เมื่อออกมาท่านเห็น ศีรษะมีแค่คอ มีหนวดเคราห้อยรุงรัง ลอยผ่านหน้าท่านไป ท่านเอามือจับหนวดเคราดู ท่านแผ่เมตตาให้ จากนั้นก็หายไป
    รุ่งเช้า ท่านถามคุณตาเฉย ซึ่งปวารณาเป็นโยมอุปัฏฐากว่า
    “ตากำนัน ใครตายตรงนี้บ้าง”
    คุณตาเฉย ก็บอกท่านว่า “อ๋อ อ้ายง่อยมันผูกคอตายที่ต้นไม้นี้”
    (คงจะเป็นฉำฉา ซึ่งกุฏิหลังแรกของหลวงปู่ อยู่ใต้ต้นฉำฉา ต่อมาประมาณปี ๒๕๐๒ หรือ ๒๕๐๓ น้ำเซาะตลิ่งจนต้นฉำฉาต้นนี้ล้มลงในแม่น้ำ) หลวงปู่ก็เล่าให้คุณตาเฉยฟัง และท่านก็ได้แผ่เมตตาให้แล้ว
    คืนต่อมาท่านก็ได้บำเพ็ญกิจภาวนา สมาธิตามปกติ ท่านได้พบพ่อปู่เจ้าฟ้า ท่านขออยู่ประจำที่วัดนี้ พ่อปู่เจ้าฟ้าไม่ให้
    คืนต่อมาท่านขออีก คราวนี้ ท่านเล่าว่า พ่อปู่เจ้าฟ้าบอกท่านว่า “ให้ก็ได้ แต่ขอบายศรี ๓ ชั้น ๙ หัว”
    ท่านก็บอกพ่อปู่เจ้าฟ้าว่า ท่านมาจากอื่นไม่มีญาติ ก็ไม่รู้ว่าจะให้ใครทำขนมทำบายศรีให้
    พ่อปู่เจ้าฟ้าท่านให้ แต่มีข้อแม้ว่าอย่าเป็น “สมภาร” หลวงปู่ก็รับ (เหตุนี้สมัยหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยจึงไม่มีเจ้าอาวาส ท่านบอกว่า ถ้าเขาตั้งท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็จะออกจากวัดนี้ทันที)
    หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า พ่อปู่เจ้าฟ้า ท่านสอนในท่านอนหงายทงเข่าทั้งสองขึ้น หันศีรษะไปทางทิศตะวันออก เมื่อพ่อปู่ท่านมองตูตามนั้นแล้วกำหนดจำหมายไว้ (ซึ่งที่ตรงนั้นก็ตรงกับที่สร้างกฏิหลังแรกและหลังปัจจุบัน และหลังปัจจุบันนี้ อาจารย์พระครูพิพัฒน์ขันตยาภรณ์ ศิษย์หลวงปู่ และหลวงปู่ได้มอบให้เป็นเจ้าอาวาส วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย องค์แรกประจำอยู่ที่กุฏิหลังนี้)
    วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย แต่อดีตเคยเป็นวัดร้างอยู่วัดหนึ่งเป็นวัดเก่าแก่มากไม่มีประวัติใดๆ บันทึกไว้ว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างมาสมัยใด
    หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร ยืนกำหนดพิจารณาดูบริเวณวัดทั้งหมดด้วยอำนาจญาณ เรียกว่าอตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้วในอดีตว่าเป็นวัดสมัยใด ใครเป็นผู้สร้างขึ้น ทำไมจึงรกร้างว่างเปล่ามาเป็นร้อยเป็นพันปี ด้วยอำนาจจิตที่กล้าแข็งซึ่งปุถุชนธรรมดาไม่สามารถรู้ได้ถึงเช่นนั้น
    ศึกไสยเวทย์
    ความจริงอีกมุมหนึ่งของวัดร้าง วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนี้ มีพระภิกษุอยู่ก่อนหน้านี้แล้วองค์หนึ่ง มีลูกศิษย์ลูกหาพอสมควร คือ หลวงพ่อบ่าว ท่านอยู่อีกมุมหนึ่ง มีกุฏิเล็ก ๆ พอได้อาศัยจำวัด
    หลวงพ่อบ่าวเป็นพระภิกษุที่มีวิชาอาคมพอตัว มีลูกศิษย์ลูกหา และได้รับความเคารพนับถือจากชาวบ้านตามสมควร แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบ เพราะลูกศิษย์ของท่านออกจะเป็นนักเลงไปสักหน่อย ด้วยถือดีว่ามีพระอาจารย์คงกระพัน
    การมาของหลวงปู่นั้น หลวงพ่อบ่าวทราบดีทุกระยะ ท่านก็สงบนิ่งไม่ว่าอะไร เพราะต่างคนต่างอยู่ ว่ากันไป น้ำคลองไม่ปะปนกับน้ำบ่อ ฉันใดฉันนั้น เมื่อหลวงปู่มาอยู่ได้นานวันก็มีคนมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ต่อมาปรากฏว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่เกิดมีเรื่องกับลูกศิษย์ของหลวงพ่อบ่าวถึงขนาดลงไม้ลงมือกัน ลูกศิษย์ของหลวงปู่เป็นฝ่ายชนะไม่บอบช้ำ
    บรรดาคนหนุ่มต่างก็เฮมาหาหลวงพ่อสงฆ์กันมากขึ้น และนั่นคือต้นเหตุของเมฆหมอกของความขุ่นเริ่มขึ้น น้ำบ่อเริ่มไหลเข้ามาสู่น้ำคลอง ด้วยความรู้สึกที่ว่าตัวเองมีวิชาอาคมจะไปเกรงกลัวทำไมกับหลวงปู่
    จากแรงยุกระตุ้นของศิษย์จึงเกิดให้เกิด ศึกไสยเวทย์ ระหว่างหลวงพ่อบ่าวกับหลวงปู่ขึ้นด้วยประการดังนี้
    ในคืนนั้น
    ขณะที่หลวงปู่นั่งภาวนาอยู่ภายในกุฏิของท่านดึกพอสมควร สักสองยามเห็นจะได้ ท่านก็ได้ยินเสียงแมลงชนิดหนึ่งบินวนเวียนไปมาอยู่หน้าประตูกุฏิ เมื่อท่านลืมตาขึ้นมองออกไป เสียงแมลงนั้นก็ตกลงหน้าประตู หลวงปู่ยิ้มให้กับตนเองในความมืดแล้วเปิดประตูออกมาดู ตรงหน้าประตูมีใบไม้สดหล่นอยู่หนึ่งใบ ท่านก็หยิบใบไม้สดนั้นขึ้นมาพิจารณา แล้วขยี้ขว้างทิ้งลงไปจากกุฏิ
    สิ่งนั้นเตือนให้หลวงปู่ได้ทราบว่า บัดนี้ฝ่ายตรงข้ามได้เริ่มทักทายท่านแล้วด้วยใบไม้ที่เสกเป็นแมลง หวังจะให้มาต่อยท่าน แต่หมดแรงลงเสียก่อน

    <TABLE id=table8 border=0 align=right><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    ให้พรแก่ญาติโยม





    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    นี่อาจจะเป็นยกแรกของการต่อสู้แบบไสยเวทย์
    เป็นธรรมดาของคนเล่นอาคม เมื่อผิดหวังครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง และครั้งต่อๆ ไป จนกว่าจะชนะ ไม่ยอมแพ้แก่กันเพราะถือว่าเป็นการชิมลางสำหรับครั้งแรก หลวงปู่ก็รู้ว่าจะต้องมีต่อไปจนกว่าฝ่ายนั้นจะพบความสำเร็จในวิชาที่ตนเองร่ำเรียนมา
    คืนต่อมา
    ในเวลาดึกสงัดหลวงปู่ยังหาได้จำวัดไม่ ท่านกำลังนั่งเจริญภาวนาตามแนวทางของวิปัสสนา กสิณ ในความแจ่มแจ้งของดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ในเพศสมณะ หลวงปู่ได้มองเห็นสิ่งหนึ่งดำมะเมื่อมลอยเคว้งคว้างตรงมายังกุฏิของท่าน ความรู้สึกบอกตัวเอง
    “มันมาอีกแล้ว”
    ท่านก็หาหวั่นไหวแต่อย่างใดไม่ คงหลับตาเจริญภาวนาของท่านต่อไปในความมืด
    ถึงแม้จะหลับตา แต่ท่านก็สามารถมองเห็นสิ่งผิดปกติที่ลอยเลื่อนตัวตรงเข้ามาหา แต่ว่าไม่อาจจะลอยเข้าในกุฏิได้ สิ่งนั้นวนเวียนอยู่ชั่วระยะหนึ่งก็หล่นวูบตกลงหน้ากุฏินั่นเอง
    เมื่อหลวงปู่เปิดประตูกุฏิออกมาดูก็พบว่า สิ่งนั้นคือหนังควายแผ่นใหญ่เท่าฝ่ามือหล่นอยู่หน้ากุฏิ อันวิชานี้เป็นมนต์ดำหรือ อวิชชาในด้านการเสกเข้าท้องฝ่ายตรงข้าม
    ในตอนเช้าเมื่อญาติโยมลูกศิษย์ลูกหามาที่วัด ท่านก็ไม่พูดอะไร แต่ได้พูดคุยเป็นปริศนาธรรมแก่ญาติโยมในเรื่องเกี่ยวกับมนต์ดำ ทำนองว่าคนที่เรียนวิชานี้ไม่ควรจะนำมาใช้ทำร้ายผู้อื่นเพราะเป็นบาป ถ้าหากนำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค ช่วยเหลือผู้คนดีกว่า มิฉะนั้นจะเป็นบาปและเข้าตัวเองได้
    การพูดทำนองตักเตือนหลวงพ่อบ่าว เพราะหลวงปู่รู้ว่าในกลุ่มชาวบ้านที่มานั่งรายล้อมอยู่นี้น่าจะมีลูกศิษย์หลวงพ่อบ่าวอยู่บ้าง อาจจะเป็นเพราะวิชาอาคมของหลวงพ่อบ่าวยังไม่ถึงหรือเป็นเพราะการเทศน์ปริศนาธรรมกระทบมาก็ไม่ทราบได้
    ในคืนนั้นเอง
    หลวงปู่ก็ได้รับการเยี่ยมเยือนอีกครั้งจาก มนต์ดำ ที่ลอยมากระทบประตู ในตอนเช้าท่านเปิดประตูออกมาเพื่อจะออกบิณฑบาต ก็ได้เห็น หนังหมูที่มีเข็มเย็บผ้าจำนวนมาก หล่นอยู่หน้าประตูกุฏิ ท่านจึงนำไปฝังที่โคนต้นไม้
    ศิษย์ของหลวงปู่มีอยู่ ๒ คน คือผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งซึ่งอยู่คนละหมู่บ้าน และนายเกตุ
    ผู้ใหญ่บ้านนั้นได้รับวิชาไปจากหลวงปู่ไปหลายอย่างและมีอายุสูงกว่านายเกตุ มีความสุขุมและยึดมั่นในหลักคำสอนของหลวงปู่เป็นอย่างดี เรียกว่า พอจะมีความรู้ทางไสยเวทย์พอคุ้มตัวได้
    และในคืนต่อมานั้นเอง หลวงปู่ก็พลาดท่า เพราะสิ่งที่หลวงพ่อบ่าวส่งมานั้นได้เล็ดลอดเข้ามาจากประตูหน้าเข้ามาจนกระทั่งถึงตัวและเข้าไปสู่ท้องของหลวงปู่ได้
    ท่านต้องเอามือกุมไว้ไม่ยอมให้สิ่งนั้นหมุนอยู่ในท้อง เพราะมันเป็นมีดหมออาคม ถ้าหากให้มันหมุนได้ ตับไตไส้พุงจะฉีกขาดหมด หลวงปู่ต้องเก็บความเจ็บปวดไว้จนรุ่งเช้า บรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดมาพบ แล้วช่วยกันนำเอาสิ่งนั้นออกมาจากท้องของท่าน
    สิ่งที่ออกมาจากปากของหลวงปู่ก็คือมีดสองคม
    ท่านให้มันออกมาทางปาก ท่ามกลางความตกใจของลูกศิษย์ที่เห็นอยู่ในขณะนั้น หลวงปู่ไม่พูดอะไรเรื่องนี้ เพียงแต่ให้ลูกศิษย์ไปตัดไม้ไผ่เหลาให้บาง ๆ
    “พ่อหลวงจะทำอะไร”
    ลูกศิษย์ผู้นั้นเอ่ยถามอย่างสงสัย หลวงปู่นั่งนิ่งเอ่ยปากขึ้นว่า
    “ควายธนู เขาทำเราหลายครั้งแล้วถ้าเราไม่ตอบ เขาจะว่าเราขี้ขลาดตาขาว เราต้องสั่งสอนบ้าง”
    เมื่อลูกศิษย์ตัดไม้ไผ่มาแล้ว หลวงปู่ก็ลงมือเหลาจนบางเบาด้วยมือของท่านเอง ระหว่างการเหล่านี้ได้มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อบ่าวได้รับคำสั่งให้มาดูว่าหลวงปู่เป็นอย่างไรบ้าง เพราะผลจากการส่งมีดสองคมมาทักทายเมื่อคืน
    แต่เมื่อมาถึงกุฏิ เห็นหลวงปู่นั่งเหลาไม้อยู่ ก็กลับไปบอกแก่หลวงพ่อบ่าวทันที ท่านได้รับรายงานก็สะดุ้ง รู้ด้วยจิตสำนึกทันทีว่า หลวงปู่นั้นอาคมสูงกว่า เพราะส่งมาหลายครั้งแล้วไม่ได้ผล แม้แต่มีดสองคมก็ไม่อาจระคายผิวของหลวงปู่ได้
    หลวงพ่อบ่าวไม่รู้ว่ามีดสองคมนั้นได้ผล แต่ยังไม่ถึงกับทำให้หลวงปู่ตายไปทันทีได้ ท่านแก้ไขในเวลาอันรวดเร็วหรือเรียกว่าพลาดท่าไปแล้วก็ได้ ถ้าหากไม่ใช่หลวงปู่ รับรองว่าคนนั้นจะต้องตายไปเพราะสองคมของมีดกรีดไส้พุงขาด
    เพราะข่าวที่ว่าหลวงปู่เตรียมรับมือด้วยควายธนูอย่างแน่นอน หลวงพ่อบ่าวจึงเผ่นหนีออกจากวัดหายไปแต่บัดนั้น
    ความจริงหลวงปู่หามีเจตนาจะทำร้ายถึงเลือดตกยางออกไม่ เพียงแต่ต้องการสั่งสอนให้หลวงพ่อบ่าวได้ทราบว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน
    ฝ่ายหลวงพ่อบ่าวออกจากวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยก็ไปอยู่ที่วัดวิหาร ห่างออกมาจากบางลึก ไกลพอประมาณ ความเจ็บแค้นเรื่องนี้กลายเป็นอาฆาต หลวงพ่อบ่าวจัดว่ามีวิชาอาคมสูงองค์หนึ่ง ได้เตรียมสูตรใหม่ที่จะเล่นงานหลวงปู่ด้วยการเอาข้าวเหนียวดำที่สุกแล้วมาปั้นเป็นตัวคน
    ตอนเย็นวันนั้นหลวงพ่อบ่าวได้ลงจากกุฏิมากวาดลานวัดดังเคยชิน ปรากฏว่าได้เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง จนทำให้ต้นยางหน้าวัดกิ่งหักกระเด็นลงมา เหมือนมีคนเอากิ่งยางทุ่มใส่หลวงพ่อบ่าว กิ่งยางหล่นลงมาทับร่างหลวงพ่อบ่าวซึ่งกวาดลานวัดถึงแก่มรณภาพทันที
    ข่าวมาถึงหลวงปู่ หลายวันต่อมา ท่านก็ไม่พูดอะไร ได้แต่อธิฐานจิตขออย่าได้จองเวรต่อกันเลย และทำการอโหสิกรรมแก่หลวงพ่อบ่าว ด้วยใจจริงแล้วท่านหาได้อาฆาตอะไรถึงขั้นจะทำให้ตายไปจากกันไม่ และเมื่อหลวงพ่อบ่าวจากไปแล้ว ท่านก็ไม่นึกถึงอะไร ปฏิบัติกิจของท่านต่อไป หาเอาใจใส่ไม่ ฟ้าดินต่างหากที่ไม่เป็นใจต่อการกระทำของหลวงพ่อบ่าว
    หลวงปู่สงฆ์กำหนดจิตรู้ด้วยอำนาจอนาคตังสญาณรู้เรื่องราวต่อไป แม้ยังไม่เกิดขึ้นว่า ต่อไปในบริเวณนี้วัดนี้จะมีความเจริญรุ่งเรือง คนที่เคยอยู่ คนที่เคยอุปถัมภ์ค้ำจุนจะได้มาพบกันจะไม่ว่างเว้น คนทั่วไปมาเยี่ยมเยือน ณ สถานที่แห่งนี้
    ดังนั้น หลวงปู่สงฆ์จึงตัดสินใจรับนิมนต์ และจำพรรษาที่วัดนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาซึ่งตรงกับ พ.ศ.๒๔๖๓ เมื่อสมัยที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร ดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราช
    หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร เวลานั้นมีอายุ ๓๐ ปี พรรษาที่ ๑๐ และได้บูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุในบริเวณวัดขึ้นใหม่ทั้งหมดพร้อมกับตั้งชื่อวัดตามกาลตามสมัยว่า วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร
    ภายหลังจากที่หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร มาจำพรรษาที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ซึ่งแต่ก่อนอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมมาก ไม่มีเสนาสนะใด ๆ ทั้งสิ้น กลับมีถาวรวัตถุก่อสร้างขึ้นมากมาย
    ด้วยเหตุที่ว่า หลวงปู่สงฆ์เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบศีลจริยวัตรงดงาม จนเป็นที่เลื่องลือแพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางผู้คนก็หลั่งไหลกันเข้าไปยัง วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ดุจดังมีงานประจำปี ปีแล้วปีเล่าชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ต่างมีงานทำทุกวัน สภาพชาวบ้านแถบนั้นเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น ถนนหนทางสมันนั้นก็ยังไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้ ฐานะการเป็นอยู่ของชาวบ้านเริ่มมั่งมีขึ้นโดยอาศัยบุญบารมีของ หลวงปู่สงฆ์ เพราะชาวบ้านออกค้าขายตั้งแต่อาหารจนกระทั่งของที่ระลึกให้กับผู้เข้าไปเยี่ยมเยือนนมัสการการท่านทุกวัน ๆ สภาพสังคมที่ถูกทอดทิ้งมานานเริ่มส่งผลให้แก่ชาวบ้านมีความอยู่ดีกินดีขึ้นเช่นกัน
    ด้วยอำนาจคุณงามความดีของ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร ที่ได้ประพฤติปฏิบัติมาในป่าเขาถ้ำเหวต่าง ๆ ทนสู้กับอุปสรรคเภทภัยนานาประการนี้ ยังส่งผลให้กับชาวบ้านได้อยู่ดีมีความสุขถ้วนหน้า ก็เพราะคุณธรรมของท่าน
    วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ที่เคยถูกทิ้งมาเป็นเวลานานจนกลายมาเป็นวัดโอ่อ่า เสนาสนะครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งนี้เพราะ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร เป็นพระสุปฏิปันโน และมีศีลจริยวัตรที่เลื่อมใสของประชาชนทั้งหลาย
    ความเมตตาของหลวงปู่สงฆ์กว้างขวางไม่มีขอบเขตท่านสงเคราะห์ทั้งมนุษย์และสัตว์ด้วยเมตตาธรรม จนเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้เข้าไปนมัสการท่านจนปัจจุบันนี้
    การที่หลวงปู่มีความเมตตาต่อสัตว์ทุกชนิดนั้นท่านเล่าเป็นเหตุผลว่า
    “สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ ขนาดไหนก็ตาม แม้แต่มด ปลวกมันก็มีชีวิตจิตใจ รู้จักรัก รู้จักโกรธ รู้จักกลัว รู้จักหิว รู้จักสุขทุกข์เช่นเดียวกับคนเหมือนกัน
    แต่ที่เขาต้องเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้น ก็เพราะกรรมส่งผลให้เขามาเกิด เกิดมาเพื่อเสวยผลของกรรมเก่าของเขา เมื่อเขาพ้นจากสภาพสัตว์ต่างๆ เหล่านั้นแล้วเขาอาจกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ก็ได้
    ดังนั้นเราควรมีเมตตากับสัตว์ทุกชนิดจงพิจารณาดูว่า บาปกรรมนั้นเป็นของมีจริง เหตุนี้ผู้มีปัญญาที่ชาญฉลาดที่มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ นับว่าเป็นโอกาสที่ประเสริฐแล้ว ควรแต่ประกอบคุณงามความดี มีศีลมีธรรม ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อันจะเป็นการจองเวรจองกรรมกันต่อไป เพื่อเราจะได้ไม่ต้องเกิดมาใช้กรรมใช้เวรกันต่อไปอีก
    ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ควรก่อกรรมทำเข็ญ ด้วยการทำลายชีวิตผุ้อื่น ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ แม้แต่มดหรือปลวกก็มีบาปเหมือนกัน
    วาจาสิทธิ์

    <TABLE id=table9 border=0 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    โอ่งน้ำมนต์





    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร เป็นพระสงฆ์ในการถือสันโดษ มีจริยวัตรอันงดงามยิ่ง ท่านฉันอาหารเพียงวันละมื้อเดียว และไม่ยอมรับภัตปัจจัยใด ๆ เป็นส่วนตัวเลย ทุกวันมีผู้เข้ามานมัสการนำของมาถวายท่านอย่างมาก แม้แต่ตำแหน่งเจ้าอาวาสท่านก็ได้มอบให้กับพระภิกษุรูปอื่นรับไปดำเนินธุระต่อไป
    ดังนั้น หลวงปู่สงฆ์ ท่านจำพรรษาอยู่ในวัดเจ้าฟ้าศาลาลอย เพียงเป็นประธานสงฆ์ หรือปูชนียบุคคลอันประเสริฐเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจแก่ พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ศรัทธาญาติโยมเท่านั้น
    หลวงปู่สงฆ์เป็นพระอาจารย์ ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานเป็นพระที่พูดน้อย รักความสงบ สำรวม กาย วาจา ใจ นับเป็นพระอริยบุคคลผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง ในบวรพระพุทธศาสนาเป็นนาบุญอันประเสริฐของพวกเราทุกคน
    หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร สมัยเป็นฆราวาส เคยปฏิบัติตนเป็นผู้มีสัจจะแต่เดิม แม้จะเป็นพระภิกษุแล้วก็ตาม อุปนิสัยนั้นก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น มีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นโดยลำดับ แม้เป็นพระภิกษุที่พูดน้อย แต่คำพูดของท่านที่พูดออกมานั้นจะบังเกิดผลได้จริงจังอย่างมหัศจรรย์ที่เรียกว่า วาจาสิทธิ์
    ด้วยเหตุนี้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาญาติโยมทั้งหลายมักจะชุมนุมกันที่ศาลาเวลาเช้าก่อนไปทำงานเป็นประจำก็เพื่อขอวาจาสิทธิ์ของท่านนั่นเองถ้าท่านกล่าวคำใดกับใคร ก็จะเป็นความจริงอย่างนั้นเสมอ
    บางคนไม่ได้ขอฟังวาจาจากท่าน แต่ก็พยายามนั่งจ้องอยู่ดูอิริยาบถของท่าน ว่าจะออกมาในรูปใด พวกนักนิยมโชคลาภแทงหวย จะเอามาตีปัญหาเป็นตัวเลขอย่างฉมังยิ่งนัก เหตุว่าไม่กล้าเข้าไปขอโดยตรงกับท่าน เพราะท่านไม่นิยมพวกนักเล่นการพนันทุกชนิดนั่นเอง
    ครั้งหนึ่ง เคยมีข้าราชการผู้ใหญ่ผู้หนึ่ง เดินทางเข้าไปนมัสการท่านพร้อมกับนำสัตว์เลี้ยงสี่เท้าไปถวายท่านด้วย
    หลวงปู่สงฆ์เห็นก็ได้ถามขึ้นว่า “อ้าว...นั่นเอานกมาทำไมกัน”
    ท่านผู้ใหญ่คนนั้นตอบว่า “ไม่ใช่นกหรอกครับหลวงปู่”
    ว่าแล้วก็เปิดกรงที่นำมาให้ดู แต่พอเปิดกรงออกเท่านั้นทุกคนที่มาด้วยต่างตกตะลึงในความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เพราะแทนที่จะเป็นสัตว์สี่เท้าที่ตนจับใส่กรงมา แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่...กลับเป็นนกตัวหนึ่งบินปร๋อออกจากกรงหนีไปทันที....
    ปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่สงฆ์ในครั้งนั้น นำความตกตะลึง แก่ชาวคณะอุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลายในวัดที่นั่งกันอยู่เต็ม และต่างก็พูดว่า “นี่เป็นวาจาสิทธิ์ของหลวงปู่” ทำให้ประชาชนที่ได้ทราบเรื่องในครั้งนั้น มีความเคารพนับถือ และไม่กล้าประพฤติความชั่วให้ปรากฏแก่สายตาหลวงปู่สงฆ์ไม่ว่าในที่ลับ หรือที่แจ้ง ทั้งหมดเกรงว่าหลวงปู่ท่านจะพูดวาจากล่าวตักเตือนและถ้าท่านดุด่าว่ากล่าวแล้วผู้นั้นจะเคราะห์ร้ายไปตามที่ท่านพูดวาจานั้น
    จึงนับว่า หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร สามารถใช้วาจา ขัดเกลากิเลส ตัณหา อุปาทาน ให้ออกจากชีวิตจิตใจของผู้ที่ยิ่งถือทิฐิมานะ ได้มากทีเตียว
    ฉุดเรือข้าวเปลือก
    หลังวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยมีแม่น้ำ เรือบรรทุกข้าวบ้างอะไรต่ออะไรบ้างผ่านไปผ่านมาเสมอ
    วันหนึ่งมีคนเรือข้าวเปลือกที่เคยขึ้นมากราบนมัสการท่านเสมอจนคุ้นเคยกัน ได้แล่นผ่านมาทางหลังวัด ตอนนั้นหลวงปู่กำลังนั่งเล่นรับลมอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ เรือลำนั้นแล่นมาจวนจะถึงศาลาก็หยุด มิหนำซ้ำกลับหันหัวเรือไปอีกทิศ คือไปตามทางที่มา เรือวนอยู่อย่างนั้นจนคนเรือชักแปลกใจ ถ่อก็แล้วมันก็ไม่ไป เหลือบมองไปที่ศาลาเห็นหลวงปู่นั่งนิ่งอยู่ก็นึกรู้ทันทีว่า เพราะอะไรเรือจึงไม่ยอมไปข้างหน้า เอาแต่หมุนวนอยู่ท่าเดียว
    พอวาดเรือเข้าฝั่งได้ก็กระโดดตรงเข้ามาหาหลวงปู่ทันที
    “ท่านล้อผมเล่นทำไม” เอ่ยถามอย่างโกรธ ๆ
    หลวงปู่ท่านยิ้มมองหน้านายท้ายเรือ ความจริงหลวงปู่กับนายท้ายเรือคนนี้รู้จักมักคุ้นกันดีเนื่องจากเป็นเพื่อนเกลอกันตั้งแต่เด็ก ๆ ผ่านมาทีไรก็ต้องแวะหาหลวงปู่ทุกที แต่คราวนี้ไม่ยอมแวะ
    “กูไปทำอะไรมึง” หลวงปู่ทำหน้าดุ ๆ ตอบ
    “ก็ดึงเรือเอาไว้ทำไมล่ะ”
    “ดึงที่ไหน เรือไปโน่น” ท่านชี้มือทวนน้ำขึ้นไป มหัศจรรย์ เรือบรรทุกข้าวกลับทวนน้ำขึ้นไป นายท้ายเรือก็เลยต้องผละวิ่งตามเรือไป
    เป็นการเย้าแหย่ระหว่างเพื่อนเก่า ๆ ที่เล่าติดปากกันมาอีกเรื่อง แสดงให้เห็นว่า หลวงปู่นั้นมีพลังจิตสูงและมีอารมณ์สนุกสนานเหมือนกัน ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดได้เล่าว่า
    หลวงปู่นั้นใครจะพูดว่าอะไรท่านก็รู้ สมัยก่อนท่านมักจะสานควายธนูเอาไว้ชนกันเล่น แม้แต่ลูกกระสุนท่านก็สั่งได้ จะให้ไปถูกที่ไหน
    สิ่งมงคลและยาวิเศษ
    สิ่งอันเป็นมงคลที่หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร อนุเคราะห์ชาวบ้านที่ได้รับความทุกข์ร้อน โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เมื่อมาหาท่าน ท่านจะอนุเคราะห์ช่วยเหลือจนหายจากโรคภัยไข้เจ็บโดยสิ้นเชิง และสิ่งของที่ท่านมอบให้นั้นก็ไม่กี่บาท ขอยกให้เห็นชัดดังนี้
    ที่ข้าง ๆ บันไดกุฏิของท่านจะมีตุ่มใส่น้ำมนต์ตั้งไว้ใบหนึ่ง ท่านจะลงมาจากกุฏิทำน้ำมนต์ ในเวลากลางคืนแล้วนำมาใส่ตุ่มไว้ ตอนเช้ามืดอีกครั้งหนึ่ง ท่านจะลงมาเทใส่ตุ่มที่หมดทุกวัน ๆ น้ำมนต์ในตุ่มนั้นจะมีผู้ที่รู้แหล่งเข้ามาขอตักไปบูชาหรือดื่มกิน
    น้ำมนต์ของหลวงปู่สงฆ์เป็นสิ่งมงคลที่มีความขลัง และศักดิ์สิทธิ์ สามารถอาราธนาให้เกิดผลในสิ่งที่ตนปรารถนาได้ทุกประการตามแต่คำอธิษฐานจิตของผู้ใช้
    โอ่งน้ำมนต์ของท่านเรียงรายอยู่ตามบันได ทางขึ้นลงกุฏิทั้งด้านซ้ายด้านขวา แท้จริงถ้ามองเผิน ๆ มันจะเป็นโอ่งน้ำล้างเท้า แต่ทว่าไม่ใช่ เพราะคนสมัยนี้สวมรองเท้า ไม่ได้มาเท้าเปล่าแล้วมาล้างเชิงบันได เมื่อตื่นขึ้นตอนเช้าหลวงปู่จะทำน้ำมนต์ มาเทลงในโอ่ง ท่านทำอย่างนี้ทุกวัน
    น้ำมนต์ไล่ผีอย่างเห็นได้ชัด ครั้งหนึ่งมีคนแถวสามแก้วได้พาลูกสาวซึ่งมีอาการเหมือนถูกผีเข้าสิง ดิ้นทุรนทุรายร้องเอะอะเสียงดัง ญาติผู้ชายร่างกายแข็งแรงต้องช่วยกันพามาที่วัด มานั่งรออยู่เชิงบันได เพราะบนกุฏิหลวงปู่นั้น ผู้หญิงขึ้นไม่ได้ แล้วพ่อของเด็กก็ขึ้นไปเล่าอาการให้ฟัง
    เมื่อได้ฟังอาการแล้วหลวงปู่ก็เดินมาที่หน้ากุฏิมองลงมาที่เด็กสาวคนนั้น ชายสองคนจับแขนเอาไว้แน่น ขณะที่เด็กสาวสะบัดจะให้หลุด ปากก็ร้องเสียงดังเอะอะ หลวงปู่มองดูสักครู่ท่านก็ร้องบอก
    “นิ่งเสียบ้างซิ”
    เด็กสาวที่ร้องครวญครางส่งเสียงดังก็หยุดชะงักลงทันทีเมื่อสิ้นเสียงหลวงปู่ที่พูดลงมา สักครู่ก็ร้องอีก
    นายสร้าง คนติดตามหลวงปู่มานานหลายปีได้ยื่นขันน้ำที่ตักจากในโอ่งบนกุฏิส่งให้ หลวงปู่หยิบขันน้ำมาก็เทโครมลงมาทันที ถูกร่างของเด็กสาวคนนั้นอ่อนแรงจนนอนราบเรียบสงบ หลวงปู่หันหลังกลับเข้ากุฏิ สักครู่เด็กสาวคนนั้นก็ลุกขึ้นงัวเงีย อาการผิดปกติหายไปราวกับปลิดทิ้ง
    น่าสังเกตตรงที่ว่า น้ำที่นายสร้างตักใส่ขันความจริงเป็นน้ำดื่มกินธรรมดา เมื่อหลวงปู่รับขันมาท่านก็เทโครมทันที ไม่ได้เสกหรือเป่าใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าเป็นรูปแบบของคณาจารย์อื่น ๆ จะต้องมีการเสกการเป่าเสียก่อน แต่หลวงปู่ไม่ต้อง ได้มาเททันที
    เรื่องของการใช้น้ำมนต์ไล่ผีเข้าเจ้าสิงของหลวงปู่นั้นโด่งดังอยู่ ดังนั้นน้ำมนต์ของหลวงปู่จึงมีคนต้องการมาก
    ยาเส้น ตามปกติหลวงปู่สงฆ์ท่านชอบใช้ยาเส้นสีปากแล้วอมเอาไว้ ดังนั้นยาเส้นที่ท่านใช้แล้วเหล่านั้น จะกลับกลายเป็นของวิเศษ เป็นของที่มีมงคลศักดิ์สิทธิ์ คือ กลายเป็นของขลังอย่างยอดเยี่ยม
    สมัยก่อนนั้น คนที่ไปวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยจะหายาเส้น ไปสักจำนวนหนึ่ง บางคนก็เอาไปเป็นห่อ แล้วก็ให้หลวงพ่อเสกให้ต่อจากนั้นก็นำมาเป็นวัตถุมงคลติดตัว ต่อมาทางวัดมีความคิดดีนำเอายาเส้นอัดพลาสติกห้อยคอ ทำเหมือนกับลูกอม ปิดทองอีกด้วย
    เพราะยาเส้นโด่งดังและเป็นที่ต้องการของผู้ที่เข้าวัดเจ้าฟ้าศาลาลอย เรื่องมันมีอยู่ ค่อนข้างเกรียวกราวในชุมพร คือ
    ครั้งหนึ่ง ได้มีคนมาหาหลวงปู่ ท่านก็มอบยาเส้นไปให้ ยาเส้นนี้เดิมทีเป็นของใช้ประจำวันของหลวงปู่ ท่านเอามาสีฟัน คนที่เคารพนับถือเห็นว่าอะไรก็ตามที่ท่านใช้ย่อมจะเป็นมงคลทั้งสิ้น ก็เลยขอยาเส้นท่านไป เมื่อได้แล้วก็นำไปไว้ในเซฟ รวมกับเอกสารและของมีค่า เขาถือว่า ยาเส้นของหลวงปู่ เป็นของมีค่าด้วยชนิดหนึ่งต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี
    หลังจากนั้นไม่นานนักขโมยเกิดเข้าบ้านชายคนนี้ เมื่อมันเปิดเซฟออกมา มันก็เบือนหน้า เพราะในเซฟไม่มีสมบัติอะไรเลย ภายในเซฟมีแต่ยาเส้นกองเต็มไปหมดไม่มีของมีค่า
    แต่แล้วคนพวกนี้ก็ไปไม่รอด โดนจับได้ ของกลางไม่มีอะไร เพราะมันไม่ได้อะไรไปเลย บอกกับตำรวจเพียงว่า
    “ในเซฟมีแต่ยาเส้น ใครจะเอาไปทำไม”
    ความจริงยาเส้นในเซฟนั้นมีเพียงก้อนเล็ก ๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น แปลกใจทำไมมันจึงมองเห็นว่ามีมากมายไปได้หรือจะเป็นเพราะ อภินิหารยาเส้นมงคลของหลวงปู่
    ยาเส้นของหลวงปู่นั้นแท้จริงก็คือ ยาเส้นที่หลวงปู่ชอบอมเอาไว้ หรือเรียกกันแบบภาษากลางว่า ถุนยา คือเอายาเส้นใส่ปากอมเอาไว้ เมื่อมีคนอยากได้ บางคนขอเอาจากปากท่านเลยก็มี ท่านก็คายออกใส่มือที่แบรออยู่
    น้ำปลา...ยาวิเศษ เรื่องนี้ได้ทราบจากชาวบ้านจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อหลายปีมาแล้วว่า เขาปวดท้องมานาน ๑๐ กว่าปี ไปรักษาที่ไหนตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เสียเงินไปเป็นแสนบาท นายแพทย์เก่งขนาดไหนก็รักษามาแล้ว ที่ไหนว่าเก่ง ๆ พอเจอโรคของบุคคลนี้เข้า ยอม กลัว รักษาไม่หาย
    ต่อมาได้ยินเขาเล่าลือว่าทางจังหวัดชุมพรมีพระที่วิเศษรูปหนึ่ง เคยรักษาโรคมาเป็นพันๆ คน และก็หายจนหมดสิ้นทุกคนคนป่วยจึงได้หอบสังขารชนิดผอมติดกระดูกมาหา หลวงปู่สงฆ์ นี่แหละ
    ทันทีที่เห็นหน้าหลวงปู่สงฆ์ คนป่วยก็มีความรู้สึกศรัทธาอย่างมากมาย ขนลุกขนพองอยู่ตลอดเวลา แม้ท่านจะกลับเข้ากุฏิไปแล้วก็ตาม ศิษย์ของท่านจึงนำน้ำปลาไปให้ท่านเพ่งกระแสจิตให้สัก ๑๐ นาที แล้วนำน้ำปลานั้นมาให้และบอกว่าให้กินน้ำปลานี้ ยาอื่นท่านบอกว่าไม่ต้องกินแล้ว ถึงกินก็ไม่หาย
    ด้วยความศรัทธาในองค์หลวงปู่สงฆ์ หญิงคนนั้นจึงเปิดขวดน้ำปลาดื่มเข้าไป แม้ว่าน้ำปลาจะมีรสเค็มจริงอยู่ แต่เวลาน้ำปลาผ่านลำคอไปแล้ว รู้สึกเย็น ๆ พอไปถึงท้องแล้วอาการปวดท้องเสียด ๆ นั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่เกิดขึ้นอีกเลย
    เกิดความตื้นตันขึ้นมา ดื่มเข้าไปอีกต่อหน้าลูกศิษย์หลวงปู่สงฆ์ มีอาการยิ้มแย้มฉายให้เห็นท่าทีว่า อาการภายในสงบ ภายนอกก็แจ่มใส ผู้ป่วยนั้นก็ก้มลงกราบตรงเชิงบันไดกุฏิของหลวงปู่สงฆ์ แล้วได้ร่วมทำบุญกับวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยด้วยความศรัทธาแล้วจึงลากลับบ้านของตน

    <TABLE id=table10 border=0 align=right><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    หลวงปู่โปรดสัตว์





    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    สำหรับชาวบ้านจะนำน้ำปลาเอามาให้หลวงปู่สงฆ์เสกเป่าเป็นมงคลขึ้น เสร็จพิธีแล้วน้ำปลาจะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ มีความขลังในการรักษาโรคผิวหนัง แผลเน่าเปื่อยได้ชะงัดดีนัก โดยเฉพาะผู้ที่ติดยาเสพติด น้ำปลาของหลวงปู่สงฆ์จะรักษาได้เป็นอย่างดี นับเป็นสิ่งมงคลในการรักษาโรคภัยอย่างไม่เคยมีผู้ใดกระทำมาก่อน
    น้ำล้างบาตร นับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อท่านฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านจะเอาน้ำใส่บาตรเพื่อล้าง ผู้ประสงค์ก็จะคอยรับน้ำล้างบาตรกัน เมื่อผู้ใดได้น้ำล้างก้นบาตรแล้ว ก็จะนำเอาไปอธิษฐานบารมีเป็นที่พึ่ง เพื่อนำไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ แล้วก็ได้รับความสำเร็จทั่วหน้า
    เรื่องน้ำล้างบาตรของหลวงปู่สงฆ์ นี้ ก็มีเรื่องเล่ากันว่ามีสุภาพสตรีผู้หนึ่ง มีกิจการโรงแรมในจังหวัดชุมพร ได้เดินทางมาที่ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย และได้ขอน้ำล้างก้นบาตรจากหลวงปู่สงฆ์ เพื่อจะเอาไปแก้โรคภัยไข้เจ็บชนิดเรื้อรังที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนั้น เมื่อได้น้ำก้นบาตรใส่ขันใบใหญ่แล้ว เธอก็นั่งรถกลับจังหวัดชุมพร
    แต่ขณะนั่งรถมาระหว่างทางเธอได้พิจารณาดูน้ำล้างบาตรในขันที่ใส่มา เห็นเม็ดข้าวขาว ๆ และชิ้นเศษอาหาร ลอยปะปนอยู่ ดูสกปรกน่ารังเกียจ ก็เกิดเสื่อมความศรัทธาขึ้นมา และไม่เชื่อว่าน้ำล้างก้นบาตร นี้จะรักษาโรคได้จริง
    คิดได้ดังนั้นก็หยิบยกขึ้นมาเทลงข้างทางเสีย แล้วก็นั่งรถกลับมาถึงบ้าน คืนนั้นขณะกำลังนอนหลับอยู่ พอเริ่มเคลิ้ม ๆ หลับได้นิดเดียวก็รู้สึกคันระยิบระยับไปทั้งตัวเป็นที่น่าสงสัยนัก เธอผู้นั้นจึงลุกขึ้นไปเปิดไฟดูก็พบว่า หนอนตัวขาว ๆ จำนวนมากมาย ไต่ตามตัว และที่นอนยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
    สตรีผู้นั้นตกใจและขยะแขยงแทบเป็นลม จึงร้องเรียกคนรับใช้ให้มาช่วยกันกวาดเอาตัวหนอนขาว ๆ เหล่านั้นออกมาจากห้องไปทิ้งเสีย
    สตรีผู้นั้นก็มิได้สนใจคิดอะไร ล้มตัวลงนอนต่อไป พอเกือบจะเคลิ้มๆ ได้สักเล็กน้อยก็รู้สึกเจ็บ รู้สึกว่าหนอนยังมีหลงเหลืออยู่อีกแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งแรก จึงรีบเปิดไฟฟ้าขึ้นดู
    ทีนี้พบหนอนสีขาวๆ มากมายกว่าเก่า มีขนขึ้นเต็มตัว
    สตรีผู้นั้นเกิดความกลัวสุดขีด จึงวิ่งหนีออกมานอกห้องนอน แล้วเรียกคนใช้ออกมาให้กวาดหนอนไปทิ้งอีก คนใช้ทุกคนรีบกวาดหนอนตัวขาวๆ นั้นมารวม ๆ กัน เพราะครั้งนี้ดูมันคลานกันเต็มห้องไปหมด แต่ยังมิได้เอาไปทิ้งก็เกิดเหตุที่ทำให้ตกตะลึงอยู่ กับที่
    ฝูงหนอนดังกล่าวกลับกลายเป็นเมล็ดข้าวสารขาว ๆ ไปทั้งหมด
    แม้จะเป็นเมล็ดข้าวสารก็จริง แต่ ใจยังหวาดผวาด้วยความอัศจรรย์นั้นอยู่ ครั้นแล้วสตรีผู้นั้น เมื่อหายจากอาการตกตะลึง ก็รู้ได้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร รู้สึกสำนึกว่าตนเองได้ทำความผิดไว้อย่างมหันต์ที่คิดลบหลู่ดูหมิ่น น้ำล้างก้นบาตร ของ หลวงปู่สงฆ์เมื่อตอนกลางวันนี้ โดยนำน้ำก้นบาตรเททิ้งข้างทาง
    ดังนั้นสตรีผู้นั้นจึงจุดธูปเทียนขึ้นบูชา กล่าวคำอโหสิกรรมโทษที่ตนล่วงเกินด้วยความเกรงกลัว จากนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีหนอนมารบกวนอีกเลย สามารถนอนหลับได้อย่างสบายตลอดรุ่งเช้า
    กวางน้อย
    มีชาวบ้านคนหนึ่งได้นำลูกกวางมาถวายให้หลวงปู่ เป็นลูกกวางตัวผู้ ยึดถือหลักเอาไว้อย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ตัวเมียท่านจะไม่เลี้ยงเลย
    กวางน้อยตัวนี้กำลังซน หลวงปู่ก็เอาชายจีวรที่ท่านฉีกมาผูกคอไว้ มันก็เที่ยวของมันไปตามประสา เพราะไม่ได้ผูกมัดแต่อย่างใด บางครั้งไปกินพืชผักของใครเข้า เจ้าของโกรธไล่ตี มันก็วิ่งหนีกลับเข้าวัด
    เพราะความเกเรซุกซนของมันนี่แหละ โดนดีเข้าจนได้ มีคนเอาปืนลูกซองยิงมัน แต่ทว่าด้าน ยิงไม่ออกหลายครั้ง จนลือกันว่า กวางตัวนี้หนังมันดี ยิงไม่ออก
    วันหนึ่งมันออกไปกินยอดพลูของครูคนหนึ่งเข้าที่บ้านข้างวัด ครูคนนั้นก็เอาไม้ไล่ตี ปากก็ตะโกนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ตกกลางคืน กวางตัวนี้ ชื่อไอ้น้อย ก็แอบเข้ามากินยอดพลูที่เหลือหมดที่ปลูกเอาไว้
    ครูนั้นโกรธมาก มาเล่าเรื่องแบบฟ้องหลวงปู่ ท่านก็หัวเราะพูดลอย ๆ ว่า
    “ก็ครูอยากไปด่ามันทำไม ไอ้น้อยไม่ชอบให้ใครด่า”
    ครูเก็บเอาความแค้นไว้ในอกเงียบ ๆ หลังจากนั้นได้ไปติดต่อกับคนรับซื้อสัตว์ป่า เพื่อจะขโมยไอ้น้อยกวางหลวงปู่มาขาย สมคบกับอีกคนหนึ่งเตรียมขโมยไอ้น้อย
    แล้ววันนั้นไอ้น้อยก็รับกรรม ถูกจับตัวเอาขึ้นบนรถไปหมายจะนำไปขายในกรุงเทพ ฯ บนรถบรรทุกไอ้น้อยมานั้นมีสัตว์ป่าอีกหลายตัวรวมอยู่ด้วย รถได้แล่นออกมาจากชุมพรจวนจะถึงเขาหินช้าง เกิดยางแตก กำลังเปลี่ยนยางอยู่นั้น ไอ้น้อยกวางหลวงปู่ก็หลุดหนีออกมาได้ ไอ้น้อยได้ไปเที่ยวอยู่แถว ๆ พ่อตาหินช้าง บ้านยายไท แถวน้ำตกกะเปาะอำเภอท่าแซะ อยู่ระยะหนึ่ง
    จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ไอ้น้อย กำลังเที่ยวหาอาหารอยู่ในเวลาเช้า ไอ้น้อย หารู้ตัวไม่ว่า ความตายกำลังจะมาเยือนมันอยู่แล้ว ขณะที่มันกำลังเพลิดเพลินเล็มยอดไม้อยู่นั้น ก็ได้มีชายผู้หนึ่ง ชื่อว่า นายหวิน กำลังจะยัดเยียดความตายให้กับไอ้น้อย ด้วยอาวุธปืน
    นายหวินได้สับไกปืน เพื่อทีหวังจะล้มไอ้น้อยให้ได้ แต่ ๒ ครั้ง ๓ ครั้งแล้ว กระสุนของนายหวินก็ไม่ระเบิด แต่ทำไมจึงทำอะไรไอ้น้อยไม่ได้
    “มันกวางอะไร กวางของใคร ทำไม่จึงยิงไม่ออก แปลก”
    นายหวินรำพึงรำพันอยู่ในใจ ขณะที่นายหวินครุ่นคิดอยู่นั้น สายตาไปเหลือบเป็นผ้าสีเหลือง คือผ้าพระผูกอยู่ที่คอของไอ้น้อย ด้วยความมั่นใจในฝีมือตัวเอง ประกอบกับดวงของได้น้อยมันถึงฆาต เหมือนกับคำที่กล่าวว่า
    “ถึงคราวตายแน่นอน ทางแก้ไม่มี ตายแน่เราหนีกันไปไม่พ้น จะเป็นราชาหรือมหาโจร ต้องทิ้งกายสกนธ์สู่เชิงตะกอน”
    นายหวินได้เข้าไปปลดผ้าสีเหลืองที่ผูกคอไอ้น้อยไว้ ซึ่งเป็นเศษผ้าจีวรของหลวงปู่ออกจากคอไอ้น้อย
    อนิจจาความตายกำลังจะมาเยือน ไอ้น้อย เมื่อดวงมันถึงฆาต มันก็ทำอะไรไม่ถูก ธรรมดาแล้วมันไม่ค่อยจะให้ใครเข้าใกล้ตัวมัน ยกเว้น หลวงปู่ และกับคนที่มันรู้จักมักคุ้นเท่านั้น แต่เพราะสัตว์มันไว้ใจคน หารู้ไม่ว่า คน ๆ นั้นกำลังจะหยิบยื่นความตายให้
    นายหวินปลดผ้าเหลืองออกจากคอไอ้น้อยแล้วก็รีบวิ่งกลับไปยังบริเวณที่ได้เอาปืนพิงไว้กับต้นไม้ใหญ่ เบนลำกล้องปืนกลับมาสู่ตัวไอ้น้อยอีกครั้ง พร้อมกับลั่นไก “ปัง” เสียงปืนดังแน่นคับราวป่า ผู้ชำนาญเสียงปืน ถ้าได้ยินเสียงก็บอกได้ว่า กระสุนเข้าเป้าอย่างแน่นอน
    ไอ้น้อยล้มทั้งยืน ในขณะที่ปากของมันยังคาบยอดไม้อ่อนอยู่ แต่ว่ามันไม่มีโอกาสที่จะได้เคี้ยวอีกต่อไป เลือดแดงฉานทะลักออกมาจากท้องราวกับสายน้ำ ตาของไอ้น้อยค้าง แต่หากมันมีความรู้สึกสักนิด ก็จะสงสัยว่า “ทำไมวันนี้จึงสั้นเสียเหลือเกิน เรากินอาหารมื้อเช้ายังไม่ทันอิ่ม ก็มืดเสียแล้ว” โอ้อนิจจาความตายไม่เคยเว้นใคร แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน
    ฝ่ายนายหวิน มือเพชฌฆาต ดีอกดีใจที่ได้ล้มไอ้น้อยลงได้ใครล่ะจะแน่กว่าเรา ภรรยาของหวิน อยู่ที่บ้านตกใจ โดยไม่รู้สาเหตุ ตะโกนบอกเพื่อนบ้านใกล้เคียงว่า "หวินยิงกวางหลวงปู่ หวินยิงกวางหลวงปู่" ทั้ง ๆ ที่มิเห็นกับตา
    เพื่อนบ้าน เมื่อได้ยินดังนั้น ก็พากันไปดู พบหวินกำลังชำแหละเนื้อกวางตัวนั้นอยู่ บางคนก็คิดอยากจะช่วย แต่ในขณะนั้นเอง กลิ่นอุจจาระก็ส่งกลิ่นตลบอบอวน โดยไม่ทราบสาเหตุที่ไปที่มาของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ หวินและเพื่อนบ้านช่วยกันตรวจสอบ ก็พบว่ากลิ่นนั้นมาจากซากกวางที่ถูกยิงนั้นเอง ในที่สุด ก็ไม่มีใครเอาเนื้อนั้นไปได้เลยแม้แต่น้อย เพราะเหมือนจะเหม็นจนไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง
    ฝ่ายหวินเอง เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นก็เริ่มตกใจกลัวจนใจเตลิดเปิดเปิง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “กวางที่ตัวเองล้มกับมือ กลายเป็นอุจจาระไปได้อย่างไร” สติวิปลาสขึ้นในบัดดลนั้นเอง วิ่งเตลิดเปิดเปิงกลับบ้านไม่ถูก
    เพื่อนบ้านกับภรรยาของหวิน เมื่อทราบดังนั้นจึงได้ไปบอกกล่าวขอโทษหลวงปู่ ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยว่า
    “หวินมันยิงกวางเสียแล้วล่ะ หลวงปู่”
    หลวงปู่ก็กล่าวว่า “คนยิงมันบ้า”
    นายหวินก็บ้าไม่ได้สติตั้งแต่บัดนั้นจนทุกวันนี้ จะด้วยกรรมที่หวินทำลงไปหรืออะไร เราเองก็ไม่ทราบได้ แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับนายหวิน เพราะนายหวินไปยิงกวางของหลวงปู่ตาย
    กิจวัตรของหลวงปู่สงฆ์ จันทสโร
    เวลา ๐๔.๐๐ น. ไหว้พระทำวัตรเช้า
    เวลา ๐๖.๑๐ น. ท่านออกจากห้องเตรียมที่จะออกบิณฑบาต ในระหว่างนั้น สามเณรอุปัฏฐากจะขึ้นปฏิบัติและญาติโยมมากราบขอพร
    เวลา ๐๗.๐๐ น. ออกบิณฑบาต เมื่อกลับมาแล้วท่านเข้าห้องไหว้พระอีก
    เวลา ๐๙.๐๐ น. ลงหอฉัน เพื่อฉันภัตตาหาร เมื่อฉันภัตตาหารและให้พรเรียบร้อย ท่านจะพูดคุยกับญาติโยมที่มาทำบุญ หลังจากนั้นท่านกลับขึ้นกุฏิและต้อนรับพุทธศาสนิกชนที่มาจากใกล้และไกลพอสมควร แล้วเข้าห้องพักผ่อน
    เวลา ๑๒.๓๐ น. ออกจากห้อง เพื่อต้อนรับศรัทธาญาติโยมที่มาขอพร
    เวลา ๑๔.๐๐ น. ท่านสรงน้ำแล้วเข้าห้องไหว้พระสวดมนต์
    เวลา ๑๖.๐๐ น. ออกจากห้องต้อนรับญาติโยมที่มาขอพร
    เวลา ๑๘.๐๐ น. เข้าห้องทำกิจภาวนา และให้ภิกษุสามเณรทั้งหมดต้องทำกิจภาวนาด้วย จนถึงเวลา ๒๐.๐๐ น.
    เวลา ๒๐.๐๐ น. เสร็จจากทำกิจภาวนาแล้ว ออกจากห้องให้ภิกษุสามเณรขึ้นปรนนิบัติ และเป็นโอกาสที่ท่านให้โอวาทแนะ นำ สั่งสอน
    เวลา ๒๒.๐๐ น. เข้าห้องพักผ่อน
    เวลา ๒๔.๐๐ น. ล่วงจากนี้ไปแล้วท่านจะทำกิจภาวนาไปจนถึงเวลา ๐๔.๐๐ น. อนึ่งถ้าเป็นวันพระกลางเดือนและ สิ้นเดือน เวลา ๑๓.๐๐ น.ท่านจะลงอุโบสถพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เพื่อสวดและฟังพระปาฏิโมกข์โดยมิได้ขาด
    หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร

    <TABLE id=table11 border=0 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    บิณฑบาต





    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ท่านได้เข้าพำนักอยู่ประจำที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย นี้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๒ จนถึง วันอังคาร ที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ตรงกับแรม ๙ ค่ำเดือน ๘ ปีกุน ก่อนหน้านี้หนึ่งวันหลวงปู่ได้ให้คนไปตามหลวงพ่อคงจากวัดวิสัยซึ่งเป็นหลานชายของท่าน ให้มาพบ และกล่าวว่า เมื่อท่านสิ้น ขอมอบบาตร ไม้เท้า และ ย่ามให้แก่หลวงพ่อคงนำไปเก็บรักษาไว้ด้วย
    วันอังคารที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ตอนเช้าหลวงปู่ท่านยังรู้สึกตัว มีสายน้ำเกลือติดอยู่ที่แขนท่าน นอนสงบอยู่บนเตียงที่กุฏิ เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. เศษๆ ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดที่มาปรนนิบัติหลวงปู่เห็นท่านนอนนิ่ง แต่ทว่าน้ำเกลือไหลเปรอะออกมาจึงได้ไปตามหมอมาดู ปรากฏว่าหลวงปู่ท่านได้จากไปอย่างสงบเสียแล้ว น้ำไม่ได้เข้าสู่ร่างกายเพราะลมหายของหลวงปู่หยุด น้ำเกลือจึงไหลล้นออกมาไม่อาจเข้าร่างกาย หลวงปู่จากไปอย่างสงบไม่ทราบเวลาที่แน่นอนเพราะท่านนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่กระวนกระวายจนผิดสังเกต
    บรรยากาศ ณ เวลานั้นช่างเงียบเชียบ แม้แต่สายลมยังหยุดนิ่ง ใบไม้ไม่ไหวติงไม่มีแม้แต่เสียงนก เสียงกา ร้องเหมือนปกติเช่นเคย แสงแดดส่องประกายเหลืองจ้าผิดปกติจากทุกๆ วัน ทุกสรรพเสียงเงียบเชียบ ไม่เพียงแต่เสียงฆ้องกลองดังระงมไปทั่วซึ่งเป็นการบอกเหตุให้ชาวบ้านได้รับรู้ บ้างต่างก็พากันงุนงงเต็มไปด้วยความสงสัยสับสน มีบ้างที่รู้ถึงข่าวการอาพาธของหลวงปู่ก็เกิดความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ถึงลางบอกเหตุของการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ดังนั้นทุกคนในบริเวณที่รัศมีเสียงฆ้องกลอง สามารถดังถึง ก็รีบมาที่วัดเป็นการด่วน บางคนทิ้งจอบทิ้งเสียมไว้กลางทุ่งนาโดยมิได้นึกถึงสิ่งใด เพราะตอนนี้ทุกคนต่างต้องการมาให้ถึงวัดโดยเร็ว
    เมื่อมาถึงในบริเวณวัด พอทราบว่าหลวงปู่ท่านได้จากไปเสียแล้ว สร้างความเศร้าโศกเสียใจ บางคนถึงกับร้องไห้ฟูมฟายบางคนน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ด้วยคิดว่าตอนนี้ที่พึ่งทางใจได้จากไปเสียแล้ว ต่อไปนี้จะพึ่งใคร เพราะตอนสมัยหลวงปู่ท่านยังอยู่ ไม่ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเดือดร้อนด้วยเรื่องอันใดก็จะได้หลวงปู่เป็นที่พึ่งปัดเป่าทุกข์ร้อนต่างๆ ให้สิ้นไป ต่อจากนี้ไปจะหันหาไปพึ่งใครได้อีกเล่า ยิ่งทำให้บรรยากาศในบริเวณวัดวังเวงยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อบรรดาศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ไกลออกไปทราบข่าวคราว ต่างก็พากันมาที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อย่างเนืองแน่นจากทุกสารทิศเพื่อกราบนมัสการสรีระและบำเพ็ญกุศล ถวายแด่ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร
    ตั้งแต่เช้าจรดค่ำคืน ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน บ้างต้องจอดรถยนต์เดินกันเป็นระยะทาง ๒ - ๓กิโลเมตร
    ในระหว่างงานมีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้น คือ หาใช่เพียงแต่ผู้คนไม่ที่มานมัสการสรีระของหลวงปู่ แม้แต่เต่าที่ท่านได้เคยเลี้ยงและได้ปล่อยไปแล้ว ยังกลับมาที่วัด เสมือนว่ามันจะทราบว่าหลวงปู่ได้ละสังขารแล้ว
    ในวันที่เต่าปรากฏนั้นเกิดพายุหมุนเล่นเอาสังกะสีหลังคาโรงที่สร้างเอาไว้สำหรับรองรับคนที่มาฟังเทศน์ ฟังการสวดพระอภิธรรม กระจัดกระจาย สังกะสีปลิวว่อน แต่ไม่มีใครได้รับอันตรายแต่อย่างใด
    เต่าตัวนี้มีขนาดประมาณ ๑๕ - ๒๐ นิ้วเห็นจะได้ เมื่อมาถึงที่ศาลา มีคนอุ้มเอาขึ้นไปวางไว้ตรงหน้าหีบศพของหลวงปู่ เมื่อวางเสร็จเต่าตัวนี้ก็ทำหัวผงกๆ จากนั้นก็นั่ง มีคนเห็นเต่าน้ำตาไหล อาบแก้มทั้งสอง ข่าวนี้กระจายไปทั่วเมืองชุมพร คนก็เลยมาดูเต่ากันมากขึ้น
    สิ่งที่น่าประหลาด คือ เมื่อนำเต่าออกมาถ่ายรูป หรือจะนำออกมาวางในลักษณะใดก็ตาม พอวางเสร็จสักครู่ เต่าก็จะหันหัว กลับไปที่หีบศพทุกครั้ง แล้วกลับไปนอนนิ่งใต้หีบศพของหลวงปู่
    ความแปลกยังมีอีก จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ จากจำนวนเต่า ๑ ตัว แรก กลายเป็น ๙ ตัว เพราะมีเต่าเพิ่มมาอีก บางตัวมาปรากฏอยู่หน้าลานวัด บางตัวชาวบ้านจับเอา มาส่งที่วัด เพราะ เขาเล่าว่าตอนขณะที่พวกเขาจะเดินทางมานมัสการหลวงปู่ เต่าได้ออกมาขวางหน้ารถ คล้ายกับว่าจะให้พามันมานมัสการหลวงปู่ด้วยนั่นเอง

    <TABLE id=table12 border=0 align=right><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    กิจวัตร





    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ที่เป็นอย่างนี้เพราะเหตุว่า เมื่อตอนหลวงปู่ยังอยู่นั้น หากชาวบ้านพบเต่าคลานอยู่หรือว่าจับได้ ก็จะนำมาถวายหลวงปู่ที่วัด ท่านก็จะเอาสีเขียนทาลงไป เขียนชื่อท่านบ้าง เขียนชื่อวัดบ้าง บางตัวก็จะมีอักขระขอม เป็นที่รู้กันว่านี่คือเต่าของหลวงปู่ เป็นเต่าพันธุ์เต่าหก มีลักษณะ ๖ ขา เป็นเต่าพันธุ์เฉพาะถิ่นในแถบเมืองชุมพรนี้ บางตัวหากจะยกต้องให้ผู้ชายกำลังดีๆ ถึง ๔ คนจึงจะยกได้
    มีเรื่องแปลกอีกว่า หลวงปู่ไปเข้าฝันชายคนหนึ่งแถวบ้านสามแก้วว่าให้ไปช่วยลูกของท่านที่ตกบ่อด้วย ชายคนนั้นไปดูตามบ่อต่างๆ ก็พบเต่ากำลังตะเกียกตะกาย จะขึ้นจากบ่อมาให้ได้ เขาก็ช่วยมาจากบ่อ พอดูที่กระดองเต่าก็เห็นอักษรเขียนว่า ว.ศ.ล. คือ เป็นตัวย่อของวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนั่นเอง ก็เลยนำมาที่วัด มีชาวบ้านที่ได้มานมัสการหลวงปู่ เมื่อมาพบเห็นเต่าก็นำไปตีเป็นตัวเลข นำไปแทงหวย ในงวดวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ถูกกันเกือบทั้งเมืองชุมพร ข่าวเรื่องเต่าของหลวงปู่เป็นที่เกรียวกราวมากในจังหวัดชุมพร
    หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร
    ท่านได้เข้าพำนักอยู่ประจำที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย นี้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๒ จนถึง วันอังคารที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ตรงกับแรม ๙ ค่ำ เดือน ๘ ปีกุน เวลา ประมาณ ๑๐.๐๐ น. เศษๆ ท่านก็ได้มรณภาพ รวมสิริอายุได้ ๙๔ ปี ๓ เดือน ๒ วัน

    <TABLE id=table13 border=0 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    สรีระหลวงปู่ประดิษฐานในโลงแก้ว





    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    รวมท่านอยู่ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยเป็นเวลา ๖๔ ปี ทางศิษยานุศิษย์ ได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพของหลวงปู่ ตั้งแต่วัน ๒ - ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ และได้ทำพิธีปิดศพในคืนวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ หลังจากนั้นทุกๆ คืนจะมีการสวดพระอภิธรรมโดยพระภิกษุภายในวัด และโดยเฉพาะในวันอังคาร ซึ่งกับวันคล้ายวันเกิด และวันมรณภาพ ของหลวงปู่ท่าน จะมีการสวดพิเศษคือ การสวดในบท อนัตตลักขณสูตร และอาทิตตปริยายสูตร สลับกันไปทุกๆ วันอังคาร ของแต่ละสัปดาห์ และจะมีการสวดครบรอบวันมรณภาพในแต่ละปี โดยตรงกับ วันที่ ๒ สิงหาคม ของทุกๆ ปี จะมีการนิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ในจังหวัดชุมพร มาสวดเป็นประจำทุกๆ ปี
    ปัจจุบัน สรีระของหลวงปู่ได้ประดิษฐานอยู่ บนศาลาธรรมสังเวช เพี่อให้พุทธศาสนิกชนและศิษยานุศิษย์ได้กราบสักการบูชาตลอดไป
    คำให้พรของหลวงปู่ที่ได้ยินบ่อยครั้ง จงบังเกิดมีแด่ญาติโยมทุกๆ ท่านเทอญ....

    [​IMG]
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  20. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    เหรียญหลวงปู่ทวดห้าเหลี่ยม วัดช้างไห้ กระไหล่ทอง ฐานมีขีด พิมพ์นิยม

    [​IMG]

    แนะนำ
    เหรียญดีๆหลักๆอาจารย์ทิมสวยๆพุทธคุณล่ำเลิศ ประสบการณ์ยอดเยี่ยม

    พระไม่ดีไม่แท้ไม่นำมาลงให้ศึกษากันผิดๆครับ

    บูชาพระไม่ต้องเสี่ยงพร้อมใบเซอร์ พลังชาตรี 13

    รับประกันพระแท้ไม่มีกำหนด องค์ใหนเก็ บวกให้ 2000 บาท
     

แชร์หน้านี้

Loading...