*** วัตถุมงคล - เครื่องรางของขลัง ทั่วไป #พระสุปฏิปันโน ,ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หน้า 4-5

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย adiosnkid, 5 เมษายน 2011.

  1. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    สวัสดีครับ...

    พระเครื่อง - วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง หลายรายการ ถ้าสนใจรายการไหน อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม สอบถามได้นะครับ


    ขอบคุณครับ
    เอก (087-5143947)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Info.JPG
      Info.JPG
      ขนาดไฟล์:
      12.3 KB
      เปิดดู:
      131
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2011
  2. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    1. ชุดหลวงปู่สุภา กันตสีโล

    (สอบถามครับ ไม่แพง)

    - พระบูชาหน้าตักประมาณ 5 นิ้ว (เนื้อเรซิน)
    - สมเด็จปู่เฒ่า (เนื้อออกดำ)
    - พระพิมพ์ขุนแผน
    - แมงมุม ขนาดบูชา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06108.jpg
      DSC06108.jpg
      ขนาดไฟล์:
      84.3 KB
      เปิดดู:
      234
    • DSC06110.jpg
      DSC06110.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.5 KB
      เปิดดู:
      240
    • DSC06134.jpg
      DSC06134.jpg
      ขนาดไฟล์:
      107.2 KB
      เปิดดู:
      210
    • 01.jpg
      01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.1 KB
      เปิดดู:
      132
    • DSC06096.jpg
      DSC06096.jpg
      ขนาดไฟล์:
      96.5 KB
      เปิดดู:
      129
    • DSC06098.jpg
      DSC06098.jpg
      ขนาดไฟล์:
      103.3 KB
      เปิดดู:
      107
  3. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    2. ชุดหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

    (นอก web ปิดรายการครับ)

    - นางกวัก (พิมพ์ใหญ่ หายาก)
    - ลูกอม

    ด้านเมตตา - ค้าขาย ครบเลยครับ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06126.jpg
      DSC06126.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.4 KB
      เปิดดู:
      160
    • DSC06129.jpg
      DSC06129.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.9 KB
      เปิดดู:
      141
    • DSC06104.jpg
      DSC06104.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44 KB
      เปิดดู:
      140
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2011
  4. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    3. พระบูชา หลวงตามหาบัว พิมพ์ยืน

    ( สอบถามครับ ไม่แพง)


    - สูงประมาณ 12 นิ้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06113.jpg
      DSC06113.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.6 KB
      เปิดดู:
      119
    • DSC06115.jpg
      DSC06115.jpg
      ขนาดไฟล์:
      118.5 KB
      เปิดดู:
      110
    • DSC06118.jpg
      DSC06118.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53.8 KB
      เปิดดู:
      112
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2011
  5. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    4. หลวงปู่หมุน วัดบ้านจาน

    (ปิดให้คุณ Magicbunny ครับ)

    - เหรียญรุ่นแรก วัดบ้านจาน หลังหนุมาน
    - เหรียญวัดคลองทราย (เก่าเก็บไม่ได้ล้าง)


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06120.jpg
      DSC06120.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.4 KB
      เปิดดู:
      180
    • DSC06122.jpg
      DSC06122.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.6 KB
      เปิดดู:
      138
    • DSC06124.jpg
      DSC06124.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.8 KB
      เปิดดู:
      127
    • DSC06136.jpg
      DSC06136.jpg
      ขนาดไฟล์:
      88.5 KB
      เปิดดู:
      96
    • DSC06140.jpg
      DSC06140.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95.1 KB
      เปิดดู:
      90
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2011
  6. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    [​IMG]


    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี

    วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ต.โขงเจียม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี


    ๏ นามเดิม

    คำคะนิง จุลมณี


    ๏ สถานที่เกิด

    บ้านหนองบัว แขวงคำม่วน ประเทศลาว เมื่อวันพุธ เดือน ๔ ปีกุน พ.ศ. ๒๔๓๗


    ๏ โยมบิดา-โยมมารดา

    นายคินทะโนราช และนางนุ่น จุลมณี


    ๏ การบรรพชา

    (หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ก่อนจะบวชเป็นพระภิกษุ ท่านเคยเป็นฤาษีชีไพรมาก่อน ๑๕ ปี ) ท่านบรรพชาเมื่ออายุได้ ๑๘ ปี บวชได้ ๙ วัน เพื่อทดแทนคุณบิดามารดาที่ตายไป หลังจากนั้นพบครบก็ต้องลาสึก แม้ว่าอยากจะบวชต่อเพียงไรแต่เพราะมีหน้าที่ความจำเป็นต้องเลี้ยงดูครอบครัว (ท่านแต่งงานเมื่ออายุ ๑๘ ปี มีบุตร ๒ คน ) แต่ท่านก็ยังยึดมั่นในการปฏิบัติธรรมโดยการทำงานหาเงินให้เมียกับลูกตอนกลาง วัน พอกลางคืนท่านก็ไปนอนที่วัด ถือศีลปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรภาวนาไม่กลับไปอยู่ที่บ้าน เพียงดูแลลูกและเมียไม่ให้อดอยาก ทำเช่นนี้จนภรรยาทนไม่ได้ที่เห็นสามีปฏิบัติตัวแบบนี้ จึงอนุญาตให้ท่านบวชได้ตามใจปรารถนา

    เมื่อเป็นดังนั้น ท่านจึงกลับไปวัดที่ตนเคยบวชสามเณรอีกครั้ง เพื่อพักอาศัยปฏิบัติธรรม อยู่ต่อมาได้ไม่นาน ท่านก็ได้เพื่อนสหมิกธรรมอีกสองคน จึงมีความดำริที่คิดจะออกแสวงหาครูบาอาจารย์ ก่อนจะบวชก็เคยออกสืบเสาะแสวงหาพระอาจารย์ด้านกรรมฐานเก่งๆ ได้มีสหาย ๒ คนร่วมเดินทางไปหาอาจารย์สีทัตถ์ เมืองท่าอุเทน แต่ก็ผิดหวัง เมื่ออาจารย์สีทัตถ์กล่าวปฏิเสธ แต่ก็แนะนำให้ไปหาอาจารย์เหม่ย ทั้งหมดรีบมุ่งไปหาอาจารย์เหม่ย เพื่อมอบตัวเป็นศิษย์ อาจารย์เหม่ยนิ่งฟังแล้ว กล่าวด้วยเสียงห้วนๆ

    “ถ้าจะมาเป็นศิษย์เรา ทั้งสามคนนี้จะมีคนตายหนึ่งคน มีใครกลัวตายบ้าง” อาจารย์เหม่ยชี้ถามรายตัว เพื่อนอีกสองคน ยอมรับว่ากลัวตาย ครั้นมาถึงนายคำคะนิง เขาได้ตอบอาจารย์ออกไปว่า “ไม่กลัวตาย”

    อาจารย์เหม่ยเลยให้เพื่อนอีกสองคนที่กลัวตายกลับไป แล้วหันมาทางนายคำคะนิงแล้วพูดว่า “การเรียนวิชากับอาจารย์นั้น มีทางตายจริงๆ เพราะมันทุกข์ทรมานอย่างที่สุด” ให้นำเสื้อผ้าที่มีสีสันทิ้งไป ใส่ชุดขาวแทน เป็น “ปะขาว” ในฐานะศิษย์

    ในสำนักมีแต่ข้าวตากแห้งกับน้ำเพียงประทังชีวิตพออยู่รอดไปวันๆ เวลานอนก็เอามะพร้าวต่างหมอน นายคำคะนิงอยู่ได้ไม่นานก็เกิดเรื่องการตายขึ้น ของชายผู้หนึ่งที่มาฝากตัวเป็นศิษย์ คนผู้นี้นั่งสมาธิจนตาย อาจารย์สั่งนายคำคะนิงให้แบกศพที่ตายเข้าป่า โดยมีอาจารย์เดินนำหน้า ข้ามเขาลูกหนึ่งไปสิบกว่ากิโลเมตรไปถึงต้นไม้ใหญ่สองคนโอบ แล้วสั่งให้เขามัดศพกับต้นไม้นั้น จากนั้นสั่งกำชับว่า “เจ้าจงเดินเพ่งศพนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งวันทั้งคืน อย่าได้หยุด ให้พิจารณาอสุภกรรมฐานอย่างถ่องแท้ พรุ่งนี้เช้าค่อยเจอกัน”

    นายคำคะนิงจึงได้เริ่มพิจารณาศพตามที่อาจารย์เหม่ยสั่งไว้ ถึงรุ่งเช้านายคำคะนิงจึงกลับไปสำนักตามที่อาจารย์กำหนด อาจารย์เหม่ยถามขึ้นเป็นประโยคแรกเมื่อเจอหน้า “เป็นอย่างไงบ้าง”

    “ศพนั้นก็เหมือนตัวศิษย์ครับอาจารย์ ไม่มีอะไรแตกต่างตรงไหนเลย” นายคำคะนิงบอก

    “กลัวไหม” อาจารย์ถาม

    “ไม่กลัวครับ เพราะเขาก็เหมือนเรา เราก็เหมือนเขา”

    อาจารย์ไม่ถามอะไรอีก สั่งให้ไปเอามีดเล่มหนึ่งทั้งศิษย์และอาจารย์ต่างเดินทางกลับไปหาศพ ณ ที่เดิมพอไปถึง ก็สั่งให้แก้มัดเอาศพออกมานอนราบกับพื้นดิน แล้วสั่งให้นายคำคะนิงผ่าท้องเอาศพออก จากนั้นอาจารย์ก็กล่าวว่า ให้หยิบอะไรออกมา ต้องอธิบายอวัยวะนั้นได้ และต้องบอกดังๆ เมื่อนายคำคะนิงชำแหละศพ ตัดหัวใจ ตับ ปอด ไต กระเพาะ และสิ่งต่างๆ ก็จะตะโกนบอกอาจารย์ด้วยเสียงอันดัง จนครบหมดถูกต้อง

    “เอ๊า...คราวนี้ชำแหละเนื้อลอกออกให้เหลือแต่กระดูก” อาจารย์เหม่ยสั่งให้เขาทำต่อ และนั่งดูจนเสร็จเรียบร้อย จึงได้สั่งอีกเอากองเนื้อและเครื่องในไปเผาให้หมด เอากระดูกรวมไว้ต่างหาก แล้วเอาไปต้มล้างให้สะอาด เหลือแต่กระดูกล้วนๆ อย่าให้มีอะไรติดอยู่

    นายคำคะนิงปฏิบัติตามที่อาจารย์สั่งทุกประการ เนื้อตัวของนายคำคะนิงเต็มไปด้วยรอยเปื้อนเลือด, น้ำเหลือง และมีกลิ่นศพติดตัวเหม็นคละคลุ้ง อาจารย์เหม่ยยังไม่เลิกรา สั่งต่อไปให้เขานับกระดูกและเรียงให้ถูก เขาลงมือปฏิบัติตามทันที

    “กระดูกมีสองร้อย แปดสิบท่อนครับ อาจารย์”

    อาจารย์เหม่ยอธิบายอีกว่า คนที่จะบรรลุธรรมด้วยความเพียรบำเพ็ญ ต้องมีกระดูกครบสามร้อยท่อนกระดูก คือ พระวินัย เนื้อหนังมังสาเป็นพระวินอก ส่วนระเบียบคือ หู ตา จมูก ปาก มือ เท้า หลังจากได้เรียนรู้วิชาจากอาจารย์เหม่ยหลายสิ่งหลายอย่าง อาจารย์ก็ไล่ให้ไปสืบเสาะหาความรู้เพิ่มเติมเอาเอง นายคำคะนิงจึงยึดเอาโยคีเป็นรูปแบบภายนอก และถือศีลภาวนาอย่างพระภิกษุตั้งแต่บัดนั้นมา

    ท่านได้ออกจาริกธุดงค์ในปีหนึ่ง เดินธุดงค์คราวนี้หลวงพ่อปาน (พระครูวิหารกิจจานุการ) วัดบางนมโค อ.สนา จ.พระนครศรีอยุธยา ได้นำศิษย์เอก ๔ รูป ไปด้วยมีหลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง) หลวงพ่อฤาษีลิงขาว หลวงพ่อฤาษีลิงเล็ก และพระเขียน หลวงพ่อปานพาลูกศิษย์ธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม มุ่งหน้าไปทางภาคเหนือ ข้ามเขตชายแดนลึกเข้าไป กระทั่งเข้าเขตเชียงตุง

    วันหนึ่ง...คณะของหลวงพ่อปานได้ผ่านไปถึงถ้ำแห่งหนึ่ง และได้พบกับปะขาวคำคะนิง ขณะนั้นท่านปล่อยผมยาวรุงรังมาถึงเอว หนวดเครางอกยาวรุ่ยร่าย นุ่งห่มด้วยผ้าซึ่งดูไม่ออกว่าเป็นผ้าสีอะไร เพราะปุปะและกระดำกระด่าง หลวงพ่อปานจึงเปรยขึ้นว่า

    “นี่พระหรือคน ?”

    “ไอ้พระมันอยู่ที่ไหน ? เฮ้ย ! พระมันอยู่ที่ไหนวะ ?” พูดสวนด้วยน้ำเสียงขุ่นเหมือนไม่พอใจ

    “อ้าว...ก็เห็นผมยาว ผ้าก็อีหรุปุปะ สีเหลืองก็ไม่มี แล้วใครจะรู้ว่าเป็นคนหรือพระล่ะ ?”

    “พระมันอยู่ที่ผมหรือวะ ?”

    “ไม่ใช่” หลวงพ่อปานตอบยิ้มๆ

    “แล้วพระมันอยู่ที่ไหนเล่า ?”

    “พระน่ะอยู่ที่ใจใสสะอาด”

    “ถ้าอย่างนั้นละก้อ เสือกมาถามทำไมว่าเป็นพระหรือคน”

    “เห็นผมเผ้ารุงรังอย่างนั้นนี่ ใครจะไปรู้เล่า ?”

    “ก็ในเมื่อพระไม่ได้อยู่ที่ผม ไม่ได้อยู่ที่ผ้าแล้วเสือกมาถามทำไม ทำไมไม่ดูที่ใจคน ไอ้พระบ้านพระเมืองกินข้าวชาวบ้านแบบนี้อวดดี มันต้องเห็นดีกันละ”

    พูดจบ ปะขาวคำคะนิงก็หยิบเอาหวายยาวประมาณหนึ่งวาโยนผลุงไปตรงหน้า หวายเส้นนั้นกลายสภาพเป็นงูตัวใหญ่ยาวหลายวาน่ากลัว ชูคอร่าก่อนจะเลื้อยปราดๆ เข้ามาหาหลวงพ่อปานพระลูกศิษย์เห็นอย่างนั้นต่างถอยไปอยู่เบื้องหลังหลงพ่อ ปาน

    หลวงพ่อปานไม่ได้แสดงอาการแปลกใจหรือตื่นกลัวท่านก้มลงหยิบใบไม้แห้งขึ้นมา ใบหนึ่งแล้วโยนไปข้างหน้า ใบไม้นั้นก็กลายเป็นนกขนาดใหญ่คล้ายเหยี่ยวหรือนกอินทรี

    นกซึ่งเกิดจากอิทธิฤทธิ์โผเข้าขยุ้มกรงเล็บจับลำตัวงูใหญ่เอาไว้แล้วกระพือ ปีกลิ่วขึ้นไปเหนือทิวยอดไผ่ ต่อสู้กันเป็นสามารถงูฉกกัดและพยายามม้วนตัวขนดลำตัวรัด ขณะที่นกใหญ่จิกตีและจิกขยุ้มกรงเล็บไม่ยอมปล่อย แต่ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแพ้ชนะ ตราบกระทั่งร่วงหล่นลงมาทั้งคู่พอกระทบพื้นดิน งูกลายเป็นช้างป่าตัวมหึมา งายาวงอนส่วนใบไม้แห้งแปรรูปเปลี่ยนเป็นเสือลายพาดกลอน แล้วสองสัตว์ร้ายก็โผนเข้าสู้กันใหม่ เสียงขู่คำรามของเสือเสียงโกญจนาทของพญาคชสารแผดผสานกึกก้องสะท้านป่า

    นี่ไม่ใช่ภาพมายา แต่เกิดจากฤทธิ์อภิญญา! ครั้นสองตัวประจัญบานไม่รู้แพ้ชนะได้ครู่หนึ่งก็หายไป ปะขาวยาวหนวดยาวเครารุงรังได้บันดาลให้เกิดไฟลุกโชติช่วงประหนึ่งจะมีเจตนา จะให้ลามมาเผา แต่หลวงพ่อปานก็บันดาลพายุฝนสาดซัดลงมาดับไปเกิดฝุ่นตลบคลุ้งไปทั้งป่า

    ลองฤทธิ์กันหลายครั้งหลายครา ปรากฏว่าไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ แทนที่ทั้งสองฝ่ายจะโกรธเกรี้ยว กลับทรุดลงนั่งหัวเราะด้วยความขบขัน

    คณะศิษย์ของหลวงพ่อปานพากันประหลาดใจ หลวงพ่อปานจึงอธิบายว่า “เขากับฉันเป็นเพื่อนกัน” พร้อมกันนั้นก็หันไปพูดกับปะขาวผมยาวหนวดเครารุงรังว่า ลูกศิษย์ของท่านนั้น “เอาจริง” หมายถึงปรารถนาบรรลุสู่พระนิพพานกันจริงๆ ทุกรูป การที่ท่านและปะขาวผมยาวเล่นฤทธิ์ประลองกันก็เพื่อให้ศิษย์ทุกคนได้เห็น “ของจริง”

    แล้วหลวงพ่อปานก็ให้คณะศิษย์ของท่านเข้าไปทำความเคารพ ซึ่งปะขาผมยาวก็ได้นอบน้อมถ่อมตนว่าท่านไม่ได้เก่งกาจเกินว่าหลวงพ่อปานเลย แม้แต่น้อย

    หลวงพ่อปานและศิษย์ของท่านพักอยู่กับปะขาวผมยาวนานนับครึ่งเดือน เพื่อให้ทุกรูปได้รับคำแนะนำสั่งสอนด้านอภิญญาเพิ่มเติม เมื่อพักอยู่ที่คูหาถ้ำพอสมควรแก่เวลาแล้ว หลวงพ่อปานและคณะศิษย์ก็ออกธุดงค์ต่อไป ปะขาวผมยาวคนนั้นก็คือปะขาวคำคะนิง หรือหลวงปู่คำคะนิงนั้นเอง

    หลังจากหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคและคณะศิษย์ของท่านจากไปแล้ว ปะขาวคำคะนิงก็ออกเดินทางต่อไป โยคีคำคะนิงดั้นด้นไปยังภูอีด่าง ซึ่งสมเด็จลุนพระอริยเจ้าแห่งราชอาณาจักรลาวจำพรรษาอยู่ พร้อมแจ้งวัตถุประสงค์ของตนให้ท่านทราบ สมเด็จให้ความปราณีมอบคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ให้โยคีคำคะนิงไปค้นคว้าศึกษา ครั้นท่านโยคีคำคะนิงศึกษาธรรมจากพระคัมภีร์เรียบร้อยก็เอาเก็บไว้ที่เดิม มิได้นำมาเป็นสมบัติส่วนตัว โยคีคำคะนิงลงจากภูเขาได้พบชาวบ้าน และได้ทำการรักษาคนป่วยจนหายทุเลา ท่านเดินทางไปเรื่อย เจอใครก็รักษาโรคภัยให้หมด


    ๏ การอุปสมบท

    เรื่องของโยคีตนนี้ ทราบถึงพระกรรณของพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา เจ้ามหาชีวิตของประเทศลาวถึงกับสนพระทัย จึงได้โปรดให้โยคีคำคะนิงเข้าเฝ้าท่ามกลางพระญาติและเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย แล้วพระองค์ทรงตรัสถาม “ท่านเก่งมีอิทธิฤทธิ์มากหรือไม่”

    “ไม่” โยคีคำคะนิงตอบสั้นๆ

    “ถ้าไม่เก่งแล้วทำไมคนจึงลือไปทั่วประเทศ” ตรัสถามอีก

    “ใครเป็นคนพูด” โยคีคำคะนิงไม่ตอบแต่ถามกลับ

    “ประชาชนทั้งประเทศ” พระองค์บอก

    “นั่นคนอื่นพูด อาตมาไม่เคยพูด” โยคีคำคะนิงตอบออกไป

    พระเจ้าศรีสว่างวัฒนาทรงแย้มพระสรวล ในการตอบตรงๆ ของโยคีคำคะนิง จึงตรัสถามว่า

    “ขอปลงผมท่านที่ยาวถึงเอวออกได้ไหม”

    คำคะนิงถึงกับอึ้งชั่วครู่ จึงได้กราบทูลไปว่า “ถ้าปลงผม หนวดเคราก็ต้องอุปสมบทเป็นพระภิกษุ”

    “ยินดีจะจัดอุปสมบทให้ท่านเป็นพระราชพิธี” เจ้ามหาชีวิตยื่นข้อเสนอให้ โยคีคำคะนิงจึงได้กล่าวตกลง และได้บวชตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    ณ วัดหอเก่าแขวงนครจำปาศักดิ์ คือศาสนสถาานที่กำหนดให้เป็นวัดอุปสมบทของปะขาวคำคะนิง มีประกาศป่าวร้องให้ประชาชนทั่วไปได้รู้ถึงวันอุปสมบทปะขาวคำคะนิง โดยพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา ทรงมีพระบรมราชานุเคราะห์ให้จัดขึ้น

    พอถึงวันอุปสมบท ประชาชนทุกชนชั้นทุกอาชีพ ตลอดจนข้าราชการทุกหมู่เหล่าต่างมาร่วมในงานพระราชพิธีแน่นขนัดเป็น ประวัติการณ์ แต่ละคนเตรียมผ้าไหมแพรทองมาด้วยเพื่อจะมาปูรองรับเส้นเกศาของปะขาวคำคะนิง ตอนแรกจะมีการแจกเส้นเกศาให้แก่ประชาชนโดยทั่วถึงกันหม ครั้นถึงเวลปลงผมจริงๆ ประชาชนกลัวจะไม่ได้เส้นเกศาจึงแออัดยัดเยียดเข้ายื้อแย่งกันอลหม่าน เกินกำลังเจ้าหน้าที่รักษาการจะห้ามปรามสกัดกั้นได้ ในที่สุดเหตุการณ์ก็สงบลงเมื่อเส้นเกศาถูกแย่งเอาไปจนหมด

    จากนั้นพระราชพิธีอุปสมบทก็ดำเนินต่อไปโดยมีสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นองค์ ประธานฝ่ายสงฆ์ เจ้ามหาชีวิตพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา ทรงเป็นองค์ประธานฝ่ายฆราวาส มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่เข้าร่วมพิธี ๒๘ รูป เมื่อพิธีการอปุสมบทเสร็จสิ้นปะขาคำคะนิงซึ่งครองเพศพรหมจรรย์ เป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนาแล้ว ได้รับฉายาว่า “สนฺจิตฺโตภิกขุ” หรือ “พระคำคะนิง สนฺจิตฺโต”

    หลังจากเป็นพระภิกษุ พระคำคะนิง สนฺจิตฺโต ก็กลับขึ้นไปจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำบนภูอีด่างเช่นเดิม ดำรงวัตรปฏิบัติตามแนวทางของพระป่าอย่างเคร่งครัด และนับตั้งแต่เป็นพระภิกษุคำคะนิง สนฺจิตฺโต ประชาชนก็ยิ่งหลั่งไหลไต่ภูเขาขึ้นไปกราบนมัสการ และขอความช่วยเหลือจากท่านจนไม่มีเวลาปฏิบัติภาวนาบำเพ็ญธรรม

    วันหนึ่ง พระคำคะนิง สนฺจิตฺโต ก็หายไปจากภูอีด่าง และไม่กลับมาอีกเลย ประชาชนลาวรู้แต่ว่าท่านออกธุดงค์สาบสูญไปแล้ว ต่างพากันร่ำไห้โศกเศร้าอย่างน่าสงสาร

    หลวงปู่ชอบจารึกธุดงค์ฝั่งลาวเพราะหมู่บ้านยังไม่เยอะเท่าฝั่งไทย ป่ายังมีความอุดมสมบูรณ์ และในช่วงปลายชีวิตท่านก็ตัดสินใจจำพรรษา วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เป็นที่สุดท้ายของท่าน


    ๏ การมรณภาพ

    หลวงปู่ป่วยเป็นโรคปอดบวม และได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๘ เวลา ๑๑.๑๓ น. ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์ ท่านได้อยู่ในเพศฤาษีได้ ๑๕ ปี และอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ได้ ๓๒ พรรษา


    ๏ พระธรรมเทศนา

    จงพยายามละกิเลสที่อยู่ในตัวเรา อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรม

    “อด” คือความอดทนวิริยะในธรรมอันบริสุทธิ์ เช่นหนาวก็ไม่ให้พูดว่าหนาว ร้อนก็ไม่ให้พูดว่าร้อน เจ็บก็ไม่ให้พูดว่าเจ็บ เพราะมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาได้ทุกรูปทุกนาม ครบอาการ ๓๒ อย่างบริบูรณ์นั้นก็ด้วยธรรม ได้แต่งให้เกิด อันมีศีล ๕ เป็นพื้นฐาน ทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ย่อมจะรู้และเห็นอยู่ทุกวันว่า มีคนเกิดแก่ เจ็บ ตาย เพราะเป็นกฎธรรมชาติ ไม่ว่ามนุษย์และสัตว์ เมื่อเกิดมีขันธ์ ๕ ย่อมมีดับ

    ทุกสิ่งในโลกมักจะมีคู่ เช่น หญิงกับชาย ดีกับชั่ว ในทำนองนี้ พระพุทธเจ้าเองปรารถนาอย่างยิ่งคือคำว่าหนึ่งไม่มีสอง ก็หมายความว่า เมื่อมีเกิดย่อมมีตาย เมื่อไม่มีตาย ย่อมไม่มีเกิด อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้ถึงการหลุดพ้นจากกิเลสหมดสิ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ให้รู้จักตัวเจ้าของเองให้มากที่สุด อย่าไปสนใจในสิ่งที่ห่างจากตัว ให้อ่านตัวเองให้ออก เพราะธรรมที่ทุกคนอยากได้ อยากเห็นนั้นมันอยู่ในตัวของแต่ละบุคคล แต่ที่เรามองไม่เห็น อ่านมันไม่ออกก็เพราะกิเลสมันบังอยู่ อุปมาดังตัวเรานี้เหมือนแก้วน้ำที่ใสสะอาด บรรจุไปด้วยน้ำสกปรกอันมีกิเลสตัณหา ความอยาก โลภโมโทสัน ความอยากร่ำอยากรวย ความไม่รู้จักพอนี้สะสมอยู่ในจิต ก็ย่อมจะมีแต่ความมืดมน ถ้าทุกคนพยายามหยิบและตักตวงเอาสิ่งทั้งหลายที่กล่าวมาออกจากจิตออกจากใจ ในไม่ช้าก็จะพบแต่ความสว่างไสวแห่งธรรมที่ปรารถนา เหมือนดังแก้วน้ำที่ล้างจากใจ ในไม่ช้าก็จะพบแต่ความสว่างไสวแห่งธรรมที่ปรารถนา เหมือนดังแก้วน้ำที่ล้างสะอาดไม่มีสิ่งใดบรรจุ นั่นคือ ตัวธรรมที่แท้จริง

    ส่วน “อัด” คืออะไร ทุกคนที่เกิดมาในโลกย่อมจะรู้จะเห็นว่าอะไรเป็นเรื่องของทางโลก เช่น คนพูดกันหรือทะเลาะกัน คนฆ่ากัน รถชนกัน สิ่งเหล่านี้ เราไม่ต้องไปสนใจ ปิดหู ปิดปาก ปิดตา ไม่ให้ได้ยิน ไม่ให้เห็น ไม่ให้พูด ไม่ต้องรับรู้จากสิ่งที่จะทำให้เป็นตัวกั้นความดี ให้วางให้หมด ดูแต่ใจเจ้าของแต่ผู้เดียว รู้แต่ลมเข้าออกเท่านั้น จะทำอะไรก็ให้อยู่ในศีลธรรมให้ระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา เราต้องอัดไม่ให้เสียงเข้ามาในหู ไม่ให้รูปเข้ามาทางตา ไม่พูดสิ่งที่ต่ำไป สูงไป ให้พูดแต่สิ่งที่พอดี นี่คือธรรมตัวจริง

    “อุด” คืออะไร หมายถึง เมื่อเราอด เราอัด ปิดกั้นความเลวร้าย ความชั่ว ความวุ่นวายทั้งหลายไม่ให้เข้ามาทางตา หู ปาก ของเราแล้วก็อุดความดีเอาไว้ในตัวของเราไม่ให้มันไหลออกไป กาย วาจา ใจของเราก็จะบริสุทธิ์ในธรรม ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ ปฏิบัติชอบ ตาอย่าได้ดูในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม หูอย่าได้ฟังในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ปากอย่าได้พูดในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม อุดความดีทั้งหลายเอาไว้ ให้เกิดความบริสุทธิ์ในธรรม ถ้าทุกคนพยายามตั้งอกตั้งใจปฏิบัติก็จะพบแต่ความสำเร็จปรารถนาไว้ทุกประการ

    อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรม คือ การปฏิบัติส่งเสริมคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รู้ซึ้งถึงธรรมของพระพุทธองค์ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นตัวธรรมะที่พาให้เห็นธรรมอันแท้จริง อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรม คือ การปฏิบัติที่ทำให้เราระลึกชอบ ตั้งใจชอบ ปฏิบัติชอบ อยู่ชอบ กินชอบ นั่งชอบ นอนชอบ ไปชอบ มาชอบ วาจาชอบ อด อัด อุด เป็นขันติบารมีธรรม คือความอดทนให้เกิดปัญญามีที่เป็นปรมัตถ์ มัดหูมัดตา มัดจิต มัดใจ มัดมือ มัดตีนให้เป็นธรรม อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรมนี้ดีเลิศทำให้หน่ายในโลกจักรวาล มีจิตเบิกบาน ถ้าเข้าใจดีปฏิบัติด้วยจิตที่ตั้งมั่น จะหันหน้าเข้าสู่สวรรค์นิพพาน ไม่หนึ่งเกิด สองตาย อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรมไม่มีตาย ไม่มีเฒ่า ไม่มีเข้าพยาธิ

    หลวงปู่สั่งสอนให้มีศรัทธาในพระพุทธธรรม ทำใจให้เป็นหนึ่งให้ได้ จึงจะเห็นดวงธรรม หลวงปู่ไม่กลัวผิดใจคน แต่กลัวผิดพระธรรมวินัย

    ( ข้อมูลจาก http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8772 )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2011
  7. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    5. ชุด หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี

    (1,000 บาท)

    - เหรียญรุ่นแรก (ออกต่างวัด)
    - เหรียญรุ่นแรก (วัดถ้ำคูหาสวรรค์) พิมพ์ครึ่งองค์
    - เหรียญรุ่นแรก (วัดถ้ำคูหาสวรรค์) พิมพ์เต็มองค์

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05998.jpg
      DSC05998.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.4 KB
      เปิดดู:
      93
    • DSC05999.jpg
      DSC05999.jpg
      ขนาดไฟล์:
      102.5 KB
      เปิดดู:
      118
    • DSC06001.jpg
      DSC06001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76.1 KB
      เปิดดู:
      118
    • DSC06002.jpg
      DSC06002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      87.1 KB
      เปิดดู:
      92
    • DSC06003.jpg
      DSC06003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      73 KB
      เปิดดู:
      107
    • DSC06004.jpg
      DSC06004.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.9 KB
      เปิดดู:
      100
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2011
  8. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,676
    ค่าพลัง:
    +53,127
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ครับ
     
  9. Magicbunny

    Magicbunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +614
    ขอจองนะครับ
    ไม่เกิน 3วัน
    เดี๋ยวโอนแล้วจะแจ้งให้ทราบครับ
    ขอบคุณครับ

     
  10. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    6. ชุด หลวงปู่เปลื้อง วัดลาดยาว จ.นครสวรรค์

    (300 บาท)

    - รูปหล่อ (มีจารที่ฐาน)
    - แถมเหรียญหลวงพ่อพวง + พระผงหลวงปู่เปลื้อง

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06149.jpg
      DSC06149.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.6 KB
      เปิดดู:
      130
    • DSC06150.jpg
      DSC06150.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.8 KB
      เปิดดู:
      83
    • DSC06174.jpg
      DSC06174.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63.8 KB
      เปิดดู:
      94
    • DSC06175.jpg
      DSC06175.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.1 KB
      เปิดดู:
      90
    • DSC06151.jpg
      DSC06151.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.6 KB
      เปิดดู:
      69
    • DSC06152.jpg
      DSC06152.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.6 KB
      เปิดดู:
      90
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2011
  11. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    7. ชุด หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร จ.นครสวรรค์


    (2,300 บาท)

    - พระบูชา หน้าตักประมาณ 5 นิ้ว
    - เหรียญกะไหล่ทอง
    - ล็อกเก็ต ปี 2527
    - พระผง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06142.jpg
      DSC06142.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.6 KB
      เปิดดู:
      112
    • DSC06143.jpg
      DSC06143.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76.9 KB
      เปิดดู:
      92
    • DSC06144.jpg
      DSC06144.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69.3 KB
      เปิดดู:
      78
    • DSC06169.jpg
      DSC06169.jpg
      ขนาดไฟล์:
      73.5 KB
      เปิดดู:
      102
    • DSC06172.jpg
      DSC06172.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80.6 KB
      เปิดดู:
      84
    • DSC06170.jpg
      DSC06170.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80.8 KB
      เปิดดู:
      92
    • DSC06173.jpg
      DSC06173.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.8 KB
      เปิดดู:
      81
    • DSC06176.jpg
      DSC06176.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.8 KB
      เปิดดู:
      81
    • DSC06177.jpg
      DSC06177.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.4 KB
      เปิดดู:
      96
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2011
  12. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    ประวัติ หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข

    [​IMG]

    ชาติกำเนิด – ภูมิลำเนา
    เกิด เมื่อวันเสาร์ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ ที่ตำบลพุคา อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ท่านเคยชี้ตำบลเกิดของท่านขณะขึ้นรถไฟผ่าน อยู่เหนือสถานีโคกกระเทียมเล็กน้อย เป็นหมู่บ้านเล็กห่างจากทางรถไฟไปทางทิศตะวันตกราว ๒ กม. ท่านบอกว่า หมู่บ้านหนองเต่า คงเป็นชื่อหมู่บ้านเดิม บิดาของท่านชื่อ น้อย มงคลทอง มารดาของท่านชื่อ อึ่ง มงคลทอง มีพี่น้องทั้งหมด ๗ คน ยังเหลือน้องชายคนเล็กชื่อ เหลือ มงคลทอง นอกนั้นถึง แก่กรรมไปหมดแล้ว
    อุปสมบท
    วัน เสาร์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๔๖๕ ที่วัดเนินยาว ต.โพนทอง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี มีพระครูธรรมขันธสุนทร (ม.ร.ว. เอี่ยม บ้านเดิมท่านอยู่ กทม.) เป็นอุปัชฌาย์ และมีคณะสงฆ์ ๒๕ รูป เป็นพระอันดับ ซึ่งหลวงปู่บุดดา ถาวโร นับถือว่าเป็นอาจารย์ท่าน
    ประวัติทั่ว ๆ ไป
    ชีวิตตอนเยาว์ ชีวิตตอนต้นของหลวงปู่บุดดา ก็เหมือนกับชีวิตเด็กลูกชาวนาบ้านนอกทั่วไป ในสมัยนั้นที่ไม่มีโรงเรียนใกล้เคียง จึงไม่มีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือ มีแต่ทุนเดิมที่ได้ฝึกฝนอบรมมาดีในอดีตชาติ จึงเป็นผู้ระลึกชาติได้แต่เด็ก ท่าได้ไปพบเห็นสิ่งที่ปรากฏตามภาพนิมิต ของอดีตได้ถูกต้อง และได้มีบุคคลที่เกี่ยวข้อง จนท่านต้องขุดกระดูกของท่านที่ถูกฝังไว้ในอดีต
    การเห็นภาพในอดีตนั้นท่านเห็นได้หลายภพ ในกรณีหลวงปู่บุดดา อดีตชาติท่านเกิดเป็นชายทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ตัวหนังสือที่ใช้เป็นตัวหนังสือแบบเดียวกับสมัยพ่อขุนรามคำแหง มิใช่ตัวหนังสือเดียวกับเมื่อหลวงปู่บุดดา เป็นเด็ก ท่านจึงอ่านหนังสือไม่ออก แต่พอเป็นทหารท่านได้เรียนหนังสือ ท่านก็สามารถเรียนได้เป็นอย่างดี ทั้งที่หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติในการรับราชการเป็นทหารเกณฑ์นั้นหนักมาก ทั้งนี้น่าจะเนื่องมากจากสาเหตุสองประการ ที่ทำให้สามารถรู้หนังสือได้ดีเพราะท่านรู้หลักของหนังสือเดิมดีอยู่แล้ว พอเทียบตัวถูกท่านก็อ่านได้ และสมาธิจิตของท่านเข้าอันดับญาณจึงสามารถทำอะไรได้ง่าย
    อดีตสัญญา
    ถ้า สอบถามถึงอดีตชาติแล้ว ท่านมักปรารภเสมอว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ท่านรู้สึกเบื่อหน่าย เช่น เล่าว่านับถอยหลังปัจจุบันไป ๗ ชาติ ท่านได้เกิดเป็นบุรุษทุกชาติ และเสียชีวิตตั้งแต่อายุไม่มากรวมทั้งไม่มีครอบครัวเลย ตลอด ๗ ชาติ ที่ผ่านมาส่วนมากท่านเกิดฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงมากกว่าฝั่งขวา มีชาตินี้เท่านั้นที่ท่านมีอายุยืน พี่ชายของท่านในอดีตชาติทั้งรักและตามใจทุกอย่าง ตั้งแต่เด็กจะไปไหน ก็พาท่านไปด้วย ได้สัญญากับท่านไว้ว่าจะไม่ทิ้งเป็นอันขาด ท่านจึงเกิดเป็นบุตรในชาติปัจจุบัน
    ฉะนั้นเมื่อบิดาของท่านตีท่านในสมัยเด็ก ท่านเล่าว่า ท่านวิ่งออกไปนอกบ้านแล้วตะโกนว่า “พ่อโกหก ๆ ๆๆ” ไม่ยอมหยุดจนมารดาของหลวงปู่บุดดาเห็น ผิดสังเกต จึงไปปลอบถามว่า “พ่อโกหกเรื่องอะไร” ท่านจึงได้เล่าเรื่องอดีตสัญญาให้มารดาของท่านฟังว่า “พ่อไม่รักษาคำพูด” ผู้ใดสามารถเฉลยอดีตสัญญาแบบนี้ให้เป็นธรรมและยอมรับกันได้ทั่วไปบ้าง ?
    เรื่องอายหมา
    หลวงปู่บุดดา เล่า ว่า ตั้งแต่เด็กท่านมักจะบอกกับมารดาของท่านเสมอว่า โตขึ้นท่านจะไม่มีครอบครัว เพราะท่านละอายใจดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ อดีตชาติหนึ่งในหนหลังเมื่อท่านเป็นหนุ่มเกิดพอใจหญิงสาวชาวบ้านใกล้เคียง กันผู้หนึ่งจึงไปอู้สาวผู้นั้น แทนที่ฝ่ายหญิงจะพูดดีกับลำเลิกอดีตชาติว่า “หลวงปู่ที่เป็นชายหนุ่มในชาตินั้นเป็นผู้ทำให้เขาถูกทุบตี และถูกจับผูกทรมานอดอาหารจนท้องกิ่วตาย พอมาชาตินี้มารักเขาทำไม”
    หลวงปู่บุดดา ใน ชาตินั้นก็มองเห็นอดีตตนเอง ได้ว่าตอนนั้นท่านเป็นสมภารเจ้าวัดอยู่ประเทศลาว ขณะนอนป่วยอยู่มีหมาตัวเมียขึ้นมาลักลอบอาหารที่เด็กเก็บไว้ ท่านจึงร้องบอกเด็ก พวกเด็กจึงไล่ตีหมา และพวกเด็กไม่เพียงแต่ไล่ตี คงได้ไล่จับหมาตัวนั้นไปผูกกับรั้ว และกว่าจะถูกจับได้คงต้องไกลกว่าที่สมภารนอนเจ็บประการหนึ่ง และทุกคนก็คงสนใจแต่ความป่วย และการตายของสมภาร ในเวลาต่อมาจึงลืมนึกถึงการจับหมาตัวนั้นไปผูกไว้จนต้องอดถึงตายไป
    เมื่อ ชายหนุ่มระลึกอดีตชาติได้ก็เกิดความสลดและละอายใจว่า “นี่เรากำลังจะเอาหมามาเป็นเมียแล้วหรือ ? ” และเป็นการประทับฝังอยู่ในจิตใจต่อมาทุกชาติ การป่วยและการตายในคราวนั้น หมาตายภายหลัง จึงจองเวรและติดตามถูก
    ส่วนการที่เด็กไปตีหมาที่ถูก จับไว้จนหมาตาย ต้องมิใช่คำสั่งของสมภาร หมาจึงจองเวรได้เพียงหมาถูกตีเพราะเสียงร้องบอกของสมภารเป็นเหตุ หมาจึงทำให้สมภารในอดีตชาติเดือดร้อนเพราะลำเลิกของหญิงนั้นตามอดีตเหตุที่ สมภารได้ทำไว้เท่านั้น เรื่องความผูกพันหรือการจองเวรในอดีตชาติทำนองนี้หลวงปู่บุดดา ปรารภเสมอว่าเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตแล้ว ท่านมีความรู้สึกเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดมาตั้งแต่เด็ก
    รับราชการทหาร ๒๔๕๘ ท.บ.๓ ล.๑๐
    หลวงปู่บุดดา รับ ราชการทหาร ๒ ปี โดยมีหลักฐานการเป็นทหารปรากฏบนท้องแขนขวาดังนี้ ๒๔๕๘ ท.บ.๓ ล.๑๐ การเกณฑ์ทหารสมัยนั้น เมื่อผู้มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ถึงแม้ถูกเกณฑ์แล้วจับ ใบดำได้ไม่ต้องรับราชการทหารในปีนั้นแล้วก็ต้องถูกเกณฑ์ไปทุกปีจนกว่าจะอายุ ๓๐ ปี หลวงปู่เป็นทหารในกองทัพ ๓ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดลพบุรี
    ในสมัยนั้น เรื่องการเป็นทหารเกณฑ์ของหลวงปู่บุดดานั้น ท่านถูกเกณฑ์ทุกปีและในปีที่มีการคัดเลือกทหารอาสา ไปราชการสงคราม ณ ทวีปยุโรปในสงครามครั้งที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๐ หลวงปู่ก็เคยเล่าว่า ท่านได้อาสาสมัครกับเขาเหมือนกันแต่ท่านกินเหล้าไม่เป็น เขาจึงไม่รับท่าน เนื่องจากผู้บังคับบัญชาบอกท่านว่า ในทวีปยุโรปอากาศหนาวจัดต้องดื่มเหล้า เพื่อช่วยให้คลายหนาวท่านจึงไม่ได้ไปราชการสงคราม ณ ทวีปยุโรป
    พรรษาแรก ความมุ่งมั่นอดทนของพระใหม่
    เมื่อหลวงปู่บุดดาอุปสมบท แล้ว ท่านจำพรรษาอยู่ ณ วัดเนินขาว จังหวัดลพบุรี ปฏิบัติอุปัชฌาย์ตามแบบแผนของภิกษุสมัยนั้น ไม่มีการศึกษาเล่าเรียนทั้งทางปริยัติหรือปฏิบัติ คงทำวัตรท่องหนังสือสวดมนต์และปาฏิโมกข์ แต่ท่านอ้างเสมอว่าอุปัชฌาย์ทุกองค์ท่านสอน ปัญจกรรมฐานให้แล้วในวันอุปสมบท (นั่นก็คือ อุปัชฌาย์ท่านสอนให้ว่า เกศา – ผม โลมา – ขน นักขา – เล็บ ทันตา – ฟัน และ ตโจ – หนัง และทวนกลับ) ว่าให้พิจารณาสิ่งเหล่านี้ในร่างกายของตนและคนอื่น ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนเป็นบ่อเกิดของทุกข์ทั้งกายและจิตใจ เป็นของหาที่ยึดถือเป็นตัวตนไม่ได้มานานแล้วทุกคน
    และในพรรษาที่หลวงปู่บุดดาบวชนั้น ได้มีการสร้างศาลามุงสังกะสีขึ้น ซึ่งในการมุงหลังคาคราวนั้นมีเรื่องเล่าความมหัศจรรย์ทางอำนาจจิตของหลวงปู่บุดดา ตั้งแต่ สมัยบวชเดือนแรกทีเดียว เพราะในการมุงหลังคาและตามปกติในฤดูร้อน แดดก็ร้อนจัดในตอนบ่ายอยู่แล้วและเมื่อเครื่องมุงเป็นสังกะสีด้วยก็ยิ่งทวี ความร้อนมากยิ่งขึ้น พอตกตอนบ่ายทั้งพระและชาวบ้านต่างทนความร้อนไม่ไหวต้องลงมาพักกันหมด คงเหลือแต่หลวงปู่บุดดา ซึ่งเป็นพระบวชใหม่ยังไม่ครบเดือน มุงหลังคาอยู่ข้างบนองค์เดียวจนสำเร็จ
    เมื่อรับกฐินแล้วแต่พรรษาแรก หลวงปู่บุดดา ท่านออก จาริกแสวงหาสถานที่วิเวกเจริญสมรธรรมตามอัธยาศัยองค์เดียวโดยไม่มีกลดมีมุ้ง แบบอุทิศชีวิต และเลือดเนื้อเป็นทานอยู่นานจนเลือดแดงฉานติดจีวรและบินไปไม่ไหว
    พรรษาที่ ๒ ธุดงค์เดี่ยว
    เมื่อ กลับจากธุดงค์พอใกล้เข้าพรรษาท่านเข้ามาจำพรรษาที่วัดผดุงธรรม จังหวัดลพบุรี พอออกพรรษาท่านก็ธุดงค์ไปองค์เดียวอีกเหตุอัศจรรย์ผจญวัวป่า หลวงปู่บุดดา ท่าน เดินธุดงค์ไปหนองคายโดยออกจากจังหวัด ลพบุรีไปทางจังหวัดเพชรบูรณ์ ผจญเข้ากับวัวป่าฝูงหนึ่ง มันคงแปลกใจว่า เอ๊ะ ? อะไรนะ เป็นอันตรายกับพวกเขาหรือเปล่า หัวหน้าฝูงนั้นเข้ามาดม ๆ ดู แล้วก็ร้องมอ ๆ คล้ายกับจะบอกพรรคพวกว่า ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีอันตราย เข้ามาได้แล้ว ตัวอื่นก็เข้ามาดมจนครบทุกตัวแล้วก็เลยไป
    คุณธรรมของท่านนั้นแม้แต่เดรัจฉานก็ส่งภาษาใจให้ผู้รู้เรื่องกันได้ หลวงปู่บุดดา พูดเสมอว่าภาษาธรรมนั้น ก็คือภาษาใจ อยู่ที่ไหนก็รู้กันได้ มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตรธรรม
    พบซากศพตนเองในอดีต
    คราว นี้ท่านได้สอบดูนิมิตสมัยเด็ก ๆ ของท่านว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่นอกนครเวียงจันทร์ไม่ไกลนัก ซึ่งเมื่อถึงแก่กรรมแล้ว เขาก็นำเอาศพในอดีตชาติของท่านไปฝังไว้ และไม่ได้เผา ในนิมิตนั้นท่านเห็นกะโหลกศีรษะขาวโพลน โผล่ดินขึ้นมาตรงตอพุดซา ท่านจึงไปสอบดูตามนิมิต และได้พบกะโหลกศีรษะมนุษย์ ในภูมิประเทศคล้ายคลึงกัน แต่กะโหลกที่พบจริงไม่ขาวเท่าในนิมิต และตอพุดซาไม่มีแล้วท่านจึงได้เผากระดูกนั้นด้วยตนเอง
    พรรษาที่ 3 จาระพระไตรปิฎก
    ขณะ ที่ไปสอบดูตามนิมิตก็ใกล้เข้าพรรษาแล้ว ท่านได้จำพรรษา ณ วัดบ้านทุ่ง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย และในขณะที่ข้ามไปเวียงจันทร์ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์และวัดพระแก้วที่เวียง จันทร์ ท่านระลึกถึงอดีตชาติเมื่อเห็นตู้พระไตรปิฎกและจารด้วยตนเอง แต่สมัยเป็นสามเณรต่อมาเป็นภิกษุและเป็นสมภารเจ้าวัดในที่สุด ได้จารพระไตรปิฎก บรรจุไว้จนเต็ม 3 ตู้ ท่านว่าได้เป็นสมภารเจ้าวัดในฝั่งลาว 3 สมัย ตายตั้งแต่ยังไม่พ้นวัยกลางคน ที่ท่านไปพบตู้ที่สร้างไว้นั้นไม่มีพระไตรปิฎกแล้ว
    ขณะที่ท่านพัก อยู่ ณ วัดบ้านทุ่ง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย คราวหนึ่งท่านต้องไปกิจนิมนต์ร่วมกับภิกษุหลายรูปด้วยกัน ไปทางเรือตามลำน้ำโขงปรากฏว่าเรือเกิดจมลง พระรูปอื่นต่างว่ายน้ำหนีจากเรือหมด เหลือแต่ท่านองค์เดียวในเรือ และน้ำท่วมเกือบถึงคอแล้วพอดีชาวบ้านเอาเรือไปรับนิมนต์ท่านขึ้นเรือแล้ว เรือก็จมหายไป
    พบบิดาในอดีตชาติ
    พอ ออกพรรษารับกฐินเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ออกเดินทาง และในระหว่างทางนั้น ท่านได้พบกับหลวงพ่อสงฆ์ พรหมสโร ซึ่งออกจาริกไปตามป่าเขาทำนองเดียวกับท่าน หลวงพ่อสงฆ์ผ่านพรรษา ๔ แก่กว่าหลวงปู่บุดดาหนึ่ง พรรษา แต่อายุหลวงพ่อสงฆ์แก่กว่าท่านหลายปี เพราะท่านบวชภายหลังมีครอบครัวแล้ว และเมื่อท่านพบหลวงพ่อสงฆ์ ท่านก็ระลึกได้ว่า เคยเป็นบิดาของท่านในอดีตชาติ ท่านก็เรียกคุณพ่อสงฆ์ตั้งแต่แรกพบจนถึงที่สุดแห่งวาระของท่านเอง
    ถ้ำนี้มีคุณ
    ท่าน ทั้งสองได้ร่วมจาริกแสวงหาที่วิเวกอันเหมาะแก่การเจริญภาวนาเรื่อยมา จนมาพบถ้ำคูคา ตำบลหัวหวาย อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นถ้ำกว้างมีปล่องทะลุกลางเขาลูกย่อม ๆ อยู่ในดงยาง เป็นชัยภูมิร่มรื่น มีหนองน้ำใหญ่อยู่ห่างจากหน้าถ้ำไปทิศตะวันออกของทางรถไฟสายเหนือห่างประมาณ ๑ กิโลเมตร อยู่ระหว่างสถานีดงมะกุและสถานีหัวหวายห่างจากหมู่บ้านทั้ง 2 ตำบล ข้างละประมาณ ๒ กม. เศษ ปากถ้ำอยู่ทางตีนเขา ภายในถ้ำลมถ่ายเทได้ดี
    ท่าน ได้อาศัยภายในถ้ำนี้และแยกกันอยู่คนละฟาก ได้อาหารบิณฑบาตจากหมู่บ้านดังกล่าว ถ้ำภายในเขาภูคานี้เป็นที่สงบและวิเวกปากถ้ำเรียบเป็นดิน เชิงเขาลาดขึ้นพอบรรจบถึงเขาก็เป็นปากถ้ำพอดี กว้างราว ๖-๗ เมตร สูง 3 เมตรเศษ เป็นดินราบขึ้นไปจนถึงยอดมีแท่นราบตรงกลางปล่องตรงกับยอดเขาพอดี ปล่องถ้ำเหมือนรูปงอบใบใหญ่สูงกว่าปากถ้ำเล็กน้อย ขอบล่างลาดลงโดยรอบเป็นช่องและชอกมากบ้าง น้อยบ้าง
    สถานที่ท่านใช้ พักผ่อนและจำวัด ปรากฏว่าตรงที่ท่านใช้ภาวนานั้น มีปล่องลมหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ส่วนที่จำวัดก็หลบเข้าไปในช่องไม่ถูกลมเลย ก่อนที่ท่านจะมาอยู่ในถ้ำนี้ มีแคร่ร้างแสดงว่ามีบุคคลอื่นมาใช้สถานที่นี้ก่อนแล้ว
    สถานที่ท่าน ใช้เป็นที่เดินจงกรมในตอนบ่ายและพักผ่อนสนทนาธรรมกันตอนเย็นนั้น เป็นบริเวณสันเขาตอนใต้ เป็นทางลาดขึ้นปากถ้ำได้สะดวก ใช้ด้านตะวันออกเป็นที่ลาดเดินจงกรม มีต้นไม้และสันเขาช่วยกำบังแดดในตอนบ่าย
    พรรษาที่ ๔ ตัดกิเลสบรรลุธรรม เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๖๘ พอใกล้เข้าพรรษา ท่านทั้งสองได้ไปจำพรรษา ณ วัดป่าหนองคู จ.นครสวรรค์ และพอออกพรรษาก็กลับมาร่วมปฏิบัติธรรม ณ ถ้ำภูคา จ.นครสวรรค์ โดยต่างเร่งความเพียรเจริญสมณธรรม อย่างเต็มที่เกือบจะไม่ได้พักผ่อน และในคืนวันหนึ่งเวลาประมาณระหว่าง ๒๐.๐๐ น. ถึง ๒๓.๐๐ น. ซึ่งเป็นเวลาสนทนาธรรมของทั้งสองท่าน หลวงพ่อสงฆ์ได้ถามหลวงปู่บุดดาว่า “...ยังถือวินัยอยู่หรือ” หลวงปู่บุดดา ตอบ ว่า “...ไม่ถือวินัยได้ไง ถ้าเราจะเดินผ่านต้นไม้-ของเขียวก็ต้องระวัง...มันจึงเป็นอุปาทานทำความ เนิ่นนานต้องช้ามาถึง ๔ พรรษา” หลวงพ่อสงฆ์ว่า “วินัยมันมีสัตว์-มีคนรึ” หลวงปู่บุดดาว่า “มีตัวซี ถ้าไม่มีตัวจะถือวินัยได้ยังไง...วินัยก็ผู้ถือนั่นเอง ...เสขิยวัตร ๗๕ เป็นตัวไม่ได้หรอก ...เนื้อหนัง กระดูก ตับไต ไสพุง มันไม่ใช่ตัวถือวินัย...ตัวถือวินัยเป็นธรรมนี่” ....เถียงกันไป เถียงกันมาชั่วระยะหนึ่ง... พอปัญญา-บารมีเกิดขึ้นตกลงกันได้ว่า “เอ๊ะ ! ไม่มีจริง ๆ เน้อ ...ผู้ถือไม่มี มีแต่ระเบียบของธรรมเท่านั้น ไปถือมั่น-ยึดมั่นไม่ได้นี่”
    พอหยุดความลง ทันใดนั้นเองหลวงพ่อสงฆ์เพ่งมองดูเห็นหลวงปู่บุดดา จู่ ๆ ก็นิ่งเงียบนัยน์ตาลืมค้างอยู่ ไม่กระพริบตา เบิกตาโพลงอยู่อย่างนั้น เนิ่นนานอยู่ประมาณสองชั่วโมงกว่าถึง กลับมาพูดได้-ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลวงปู่บุดดาได้ใช้ปัญญาตัดกิเลสได้แล้วใน ขณะที่นั่งลืมตา ซึ่งหลวงปู่บุดดา บอกว่าถ้าเกิดปัญญาขึ้น ในอิริยาบถทั้ง ๔ ซึ่งขณะนั้นถ้าลืมตาตัดก็ต้องลืมตาตัด ถ้านั่งตัดก็ต้องนั่งตัด ถ้ายืนตัด เดินตัดหรือนอนตัดก็ต้องยืนตัด-เดินตัด หรือนอนตัด ขึ้นอยู่ว่าใครจะตัดกิเลสได้ขณะไหน... อย่างพระอานนท์ตัดได้ตอนเอนกายขณะกำลังจะนอนนั่นเอง...
    สำหรับหลวงปู่บุดดา ขณะมีอายุได้ ๓๒ ปี-พรรษาที่ ๔ ซึ่งถ้ายังใช้กรรมไม่หมดก็ไม่ถึง โลกกุตระ แต่พอใช้หนี้กรรมหมดแล้วก็เป็นอโหสิกรรม ขณะนั่งลืมตาอยู่ก็บรรลุธรรมได้
    หลวงปู่บุดดา บอกว่า “ขณะนั้นอวิชาดับหมด รู้สึกสว่างแจ้งขึ้นมาเอง ความไม่มีตัวตนเห็นได้ชัดเจนทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบ ๆ ตัว เป็นปรมัตถธรรม ธรรมทุกอย่างเป็นธรรมชาติส่วนกลาง คงอยู่ในจิตของตนเอง กิเลสหลุดไปเอง แต่ชีวิตยังคงอยู่มีความเป็นปรกติทุกอย่าง ทั้งกายสังขาร-จิตสังขารก็หยุด รูปก็หยุดหมด ไม่มีสัตว์เกิดสัตว์ตาย กิเลสไม่มีในตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ขันธ์ของกิเลสก็ไม่มีในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ...สุดชาติของอาสวะของสังโยชน์ ๑๐ อนุสัย ๗ ออกวันเดียวกันและเวลาเดียวกันนั่นแหละ...”
    หลวงพ่อสงฆ์ท่านนั่งเฝ้าหลวงปู่บุดดาอยู่ นานกว่าสามชั่วโมงแล้วจึงออก “นิมนต์เถอะครับ...แน่นอนแล้ว” พอรุ่งเช้าถึงเวลาออกบิณฑบาต หลวงพ่อสงฆ์บอกว่า “โลกกุตระธรรมแล้วขอนิมนต์ให้หลวงปู่บุดดาเดินหน้า”แต่หลวงปู่บุดดาว่า“หน้าก็หน้าคุณธรรม แต่พรรษาอ่อนกว่าต้องเดินหลังซี !” ตกลงหลวงปู่บุดดาคงเดินตามหลังหลวงพ่อสงฆ์เหมือนเดิม
    ต่อ มาอีกไม่กี่วันหลวงพ่อสงฆ์ ซึ่งเร่งปรารภความเพียรมาอย่างหนักก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ณ ถ้ำภูคาเช่นเดียวกัน ท่านไม่ถือทั้งนามและรูป เพราะการหลงนาม หลงรูป มันก็หลงเกิด หลงตาย ไม่มีสิ้นสุด (ในช่วงบั้นปลายของชีวิตท่านได้มาพักจำพรรษาที่วัดอาวุธวิกสิตาธรรม เขตบางพลัด กทม. ตลอดมา จนถึงแก่มรณภาพ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙)
    พระพุทธเกษแก้วจุฬามณี
    เมื่อหลวงปู่บุดดาและ หลวงพ่อสงฆ์ได้รู้แจ้ง เห็นจริงในอริยสัจธรรมแล้ว ต่างองค์ต่างก็แยกกันไปประกาศพระสัทธรรม ตามสำนักและหัวเมืองต่าง ๆ เป็นเวลามากกว่า ๔๐ ปี แต่เมื่อจวนเข้าพรรษาของทุกปี ท่านทั้งสองก็จะกลับมาจำพรรษาร่วมกัน ที่วัดบ้านป่าหนองคู
    ครั้นออก พรรษาก็ต่างแยกทางกันไป ซึ่งบางครั้งก็จะมาอยู่ร่วมกัน ณ ถ้ำของเขาภูคาเป็นครั้งคราวจนล่วงย่างเข้าสู่วัยชราภาพประมาณเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ทั้งสองท่านพบกันก็ได้ปรารภถึงสถานที่ที่มีบุญคุณมากที่สุดคือ ถ้ำภูคา จ.นครสวรรค์ ซึ่งเป็นสถานที่ท่านทั้งสองได้อาศัยบำเพ็ญเพียรจนบรรลุถึงอริยสัจธรรม สมควรจะได้จัดสร้างพระพุทธปฏิมากรจำลองพระพุทธลักษณะมาจากพระเกศแก้วจุฬามณี ณ แดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้ตกลงให้ขนาดบ่ากว้าง ๖ วา ๒ ศอก สูง ๙ วา สร้างแบบเครื่ององค์ประดิษฐาน ณ ยอดเขาภูคา เพื่อเป็นอนุสาวรย์ทัศนา นุตริยะปูชนียสถานของพระพุทธศาสนิกชนทั่วไปและเป็นอนุสรณ์ที่ทั้งสององค์ได้ พำนักอาศัยบำเพ็ญบุญบารมี จนบรรลุถึงอริยสัจธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมศาสดาเองของโลก ดังนั้นท่านทั้งสองพร้อมคณะศิษย์ผู้ศรัทธาจึงได้เริ่มจัดสร้าง “พระพุทธเกษแก้วจุฬามณี” ขึ้นประจำยอดภูเขาภูคา ต.หัวหวาย อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ จนเสร็จเรียบร้อยโดยใช้ช่วงเวลาสร้างไม่นาน (พระครูพลอย แม่ชีผวน พระเงิน เป็นผู้จัดดำเนินการหาทุนสร้างเป็นอนุสรณ์ให้กับหลวงพ่อสงฆ์ พรหมเถระ – หลวงปู่บุดดา ถาวโร)
    หลวงปู่บุดดา ไปเมืองเพชร

    ท่านอาจารย์เหล็งฯ เป็นภิกษุชาวเพชรที่อยู่ ณ วัดสัมพันธวงศ์ เลื่อมใสศรัทธาในองค์หลวงปู่บุดดาและขออาราธนาหลวงปู่บุดดาให้ไปโปรดญาติโยมของท่านทางเมืองเพชรก่อน ต่อใกล้พรรษา จึงค่อยกลับมาวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องอัธยาศัยของหลวงปู่บุดดาอยู่แล้ว การเดินทางคราวนั้น มีท่านอาจารย์สันติฯ ชาวนครสวรรค์ ร่วมติดตามไปด้วย หลวงปู่บุดดาจึง ไปจำพรรษา ณ วัดเนรัญชรา วัดธรรมยุติของจังหวัดเพชรบุรีตั้งแต่ก่อน ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ (การเปลี่ยนแปลงการปกครอง) ในพรรษาต่อมาก็ จำพรรษา ณ วัดสนามพราหมณ์ และวัดเหนือวน จังหวัดราชบุรี ในพรรษาต่อไปและต่อจากนั้นจึงได้เข้ามาจำพรรษา ณ วัดราชาธิวาส ในกรุงเทพฯ เป็นพรรษาแรกในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ หรือ ๗๙ แต่แน่นอนก็คือเป็นปีที่ท่านครูบาศรีวิชัยต้องอธิกรณ์ถูกส่งมาสอบสวนและพัก ที่วัดเบญจมบพิตร

    งานเดียวถูกนิมนต์ ๓ วาระ ใน งานฌาปนกิจศพของคหบดีคนหนึ่งของวัดเจ้าคณะตำบลใกล้วัดถ้ำแกลบนี้เอง ซึ่งบุตร ทั้ง 3 คน เป็นเจ้าภาพร่วมกันพอวันงานปรากฏว่าพระขาดไปรูปหนึ่ง น้องคนเล็กจึงไปนิมนต์หลวงปู่บุดดาจากวัดถ้ำแกลบ พอมาถึงท่านก็นั่งยังอาสนะที่เขาจัดไว้ เจ้าภาพได้เถียงกัน พี่ชายคนกลางว่าไปนิมนต์พระมาเช่นกัน ท่านได้ฟังก็ลุกอาจสนะลงมาข้างล่างและพระที่พี่ชายคนกลางนิมนต์มาก็เข้านั่ง ประจำที่แต่แล้วเจ้าภาพทั้งสองคนก็ตกลงจัดที่เพิ่มและนิมนต์หลวงปู่บุดดาขึ้น ไปใหม่ ต่อพอพี่ชายคนโตมาถึงก็เอ็ดใหญ่ไม่ยอมฟังคำชี้แจงของน้องทั้งสองคน เขาเล่าว่าไม่เห็นท่านแสดงอาการอย่างไร ท่านก็ลุกจากอาสนะอีกครั้งหนึ่ง แล้วเดินผ่านมาทางซ้ายสุด เพราะมีผู้คนมามากแล้ว คราวนี้ท่านไม่หยุดดังคราวก่อนได้เดินผ่านประตูทางออกไปเลย ตอนหลังเจ้าภาพตกลงกันได้จึงวิ่งไปนิมนต์ท่านกลับมาใหม่ หลวงปู่บุดดา ก็เลยกลับมานั่งยังอาสนะเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    แชะ แชะ อีก คราวหนึ่งมีนายทหารถือปืนเข้าวัดมาเพื่อจะยิงนก เข้ามาในวัดจนถึงหน้ากุฏิท่าน ท่านเลยชี้บอกนายทหารคนนั้นว่าโน่นไงนก นกกำลังเกาะกินลูกไม้บนต้นไม้ใหญ่ใกล้กุฏิท่าน ท่านบอกให้ยิงเพียง ๒ ครั้งเท่านั้น นายทหารคนนั้นเอาปืนยิงทันที ครั้งแรกดังแชะไม่ออก ครั้งที่ ๒ ดังแชะอีก ไม่ออก ท่านอาจารย์เหล็กจึงบอกว่า ไม่ได้ อย่ายิงอีกนะปืนจะแตก นายทหารคนนั้นก็เชื่อ และไม่เข้ามาในวัด อีกเลย ส่วนอาจารย์เหล็งนั้นเมื่อติดตามหลวงปู่บุดดามาเพชรบุรีแล้วก็ไม่ได้กลับกรุงเทพฯ ครั้งสุดท้ายท่านอยู่วัดบุญทวี ถ้ำแกลบและมรณะภายที่วัดนี้เอง
    พบครูบาศรีวิชัย
    หลวงปู่บุดดา จำ พรรษา ณ วัดราชานิวาส สมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้นคือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ วัดราชบพิตร ครูบาศรีวิชัยต้องอธิกรณ์ หลวงปู่ได้ไปเยี่ยมท่านครูบาศรีวิชัยที่วัดเบญจมบพิตร ท่านเล่าว่าครูบาศรีวิชัยเห็นหลวงปู่ไม่พาดสังฆาฏิ จึงทักท้วงว่า “เราเป็นนายฮ้อยก็ต้องให้เขารู้ว่าเป็นนายฮ้อยไม่ใช่นายสิบ” นี่คือสาเหตุที่หลวงปู่บุดดา ท่านไปไหนก็ตามท่านจะพาดสังฆาฏิเสมอ ครูบาศรีวิชัยได้ถวายคนโทน้ำที่ท่านใช้ให้หลวงปู่บุดดาลูก หนึ่ง คนโทลูกนั้นคงยังอยู่ที่วัดราชาธิวาสนั่นเอง พอออกพรรษาท่านจากไปก็เพียงบาตร ห่อผ้าอาบน้ำและร่มเท่านั้น ถ้าออกป่าก็มีกาน้ำอีกลูกหนึ่ง
    ท่านพุทธทาสนิมนต์ไปสวนโมกข์
    ระหว่าง ที่ท่านจำพรรษาที่วัดราชาธิวาสนั้น ท่านพุทธทาสได้พบและสนทนาวิสาสะเป็นที่ถูกใจ จึงได้ออกปากนิมนต์ไปจำพรรษาที่สวนโมกข์พลาราม ท่านบอกท่านพุทธทาสว่า อย่าให้ท่านเป็นผู้ทำลายแบบแผนที่วางไว้เลย จากเหตุคราวนั้น ทำให้ท่านพุทธทาสแก้ไขระเบียบที่ว่าผู้ที่จะเข้าพำนักในสำนักของท่านได้ ต้องเป็นเปรียญหรือนักธรรมเอก มาเป็นข้อยกเว้นว่า หากไม่มีประโยคประธานใด ๆ ท่านต้องทดสอบก่อน
    เกี่ยวกับท่านพุทธทาสนั้น เมื่อคราว หลวงปู่บุดดาได้เดินธุดงค์ไปยังเพชรบุรีได้พบกับท่านพุทธทาสอีก ซึ่งต่อมาหลวงปู่บุดดาได้ ไปเยี่ยมท่านพุทธทาสที่สวนโมกข์อีกหลายครั้ง บางครั้งก็พักค้างคืน ครั้งหลังสุดเป็นช่วงก่อนเข้าพรรษาปี ๒๕๓๓ ท่านก็ยังไปเยี่ยมท่านพุทธทาสจวบจนท่านปรารภว่าจะไม่ไปไหนอีกแล้ว
    ไม่ข้ามหมา
    หลวงปู่บุดดา ท่านได้ไปจำพรรษาที่จังหวัดระยอง วันหนึ่งท่านมีธุระที่จะต้องเดินไปกุฏิอีกหลังหนึ่งทาง ที่จะไปนั้น ต้องข้ามสะพานไม้ที่ทอดไป แต่บนสะพานนั้นมีสุนัขตัวหนึ่งนอนขวางทางอยู่ ท่านก็ไม่ข้ามกลับเดินลงไปลุยโคลนแทนที่จะข้ามสุนัขตัวนั้น ท่านว่า ไม่อยากให้ผู้อื่นได้รับความ ขุ่นเคือง และเป็นการเบียดเบียน โดยเห็นแก่ความสะดวกของตนเองแม้เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน ท่านก็ยังไม่ข้าม แสดงถึงคุณธรรมอันสูงส่งในจิตใจของท่าน
    เจ้าคุณ ๘ ประโยค
    หลวงปู่บุดดา ถูกนิมนต์ให้ไปเทศน์คู่กับท่านเจ้าคุณองค์หนึ่ง ท่านก็คงเห็นหลวงปู่บุดดา เป็นพระบ้านนอกรุ่มร่ามทำนองนั้น และไม่มีประโยคประธานใดๆ เพียงพระบุดดาธรรมดาๆ เท่านั้นท่านเจ้าคุณได้ถามหลวงปู่บุดดา ว่า “ท่านจะเทศน์เรื่องอะไร” หลวงปู่บุดดาก็ตอบว่า “เรื่องตัวโกรธ กิเลสตัณหา” ท่านเจ้าคุณก็ถามว่า “ตัวโกรธเป็นอย่างไร” หลวงปู่บุดดาก็พูดว่า “ส้นตีน ไงละ” เจ้าคุณโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง และไม่ยอมเทศน์ร่วมกับหลวงปู่บุดดา หลวงปู่บุดดาท่านต้องเทศน์องค์เดียวเมื่อเทศน์จบแล้วท่านไปขอขมาเจ้าคุณเข้าใจว่าตัวโกรธเป็นอย่างนี้
    หลวงปู่บุดดากับสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรรมหลวงวชิรญาณวงศ์
    หลวงปู่บุดดา ท่านเรียกสรรพนามสมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์นี้ว่า “สมเด็จไส้ออก” เวลาท่านผ่านมาทางวัดบวรนิเวศ ถ้าพระองค์เห็นเข้าก็จะจูงมือหลวงปู่ขึ้นบนกุฎิปิดประตูสนทนากัน และจัดให้หลวงปู่บุดดา จำ วัดในพระตำหนักด้วย ท่านบอกว่า “ท่านบุดดามีพร้อมแล้วไม่ติดที่อยู่ พอออกพรรษาก็ออกไปเหมือนนกกระจอก อ้ายเรามันติดที่อยู่ที่นี่จนออกพรรษาแล้วก็ยังอยู่กับที่”
    ละสังขาร

    สำหรับพระอรหันต์ถึงแม้ว่ามีคุณวิเศษสามารถแยกจิตกับกายออกจากกันได้แล้วก็ ตาม แต่ย่อมไม่สามารถที่จะบังคับให้กายสังขารทรงความมีชีวิตให้ยิ่งยืนนานตลอดไป ได้ฉันใดกายสังขารของหลวงปู่บุดดา ถาวโร ก็เช่นเดียวกัน

    เมื่อวัน ที่ ๖ ก.พ. ๒๕๓๖ หลวงปู่บุดดา ได้ไปร่วมพิธีทำบุญ ๑๐๐ วัน หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถร (หลวงพ่อฤาษี) ณ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี หลังท่านกลับถึงวัดกลางชูศรีเจริญสุขแล้วเวลาประมาณ ๐๑.๐๐ น. หลวงปู่มีอาการป่วยกะทันหัน พระครูโสภณจารุวัฒน์ (พระอาจารย์ มหาทอง) จึงได้นำส่งโรงพยาบาลสิงห์บุรี นายแพทย์วิศิษฐ์ ถนัดสร้าง ได้นำหลวงปู่บุดดาเข้า เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ที่โรงพยาบาล หมอประเจิดพบว่าสมองด้านซ้ายฝ่อเส้นโลหิตอุดตัน และปอดอักเสบ หลวงปู่หอบเพราะเสมหะตกค้างในปอดมาก แพทย์ตัดสินใจใส่ท่อช่วยหายใจทางปาก

    - ๙ ก.พ. ๒๕๓๖ สมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับหลวงปู่เข้าเป็นคนไข้พระราชูปถัมภ์ คณะแพทย์สิงห์บุรีจึงได้นำหลวงปู่ส่งโรงพยาบาล ศิริราช ณ ห้องไอซียู โดยมี ศ.พ.ญ. นันทา มาระเนตร์ เป็นแพทย์เจ้าของไข้

    - ๑๑ ก.พ. ๒๕๓๖ หลวงปู่บุดดา ได้รับการรักษาที่ห้องอภิบาลการหายใจ (อาร์ซียู) ตึกอัษฏางค์ ชั้น ๒ หลวงปู่อาการดีขึ้นตามลำดับ หายใจได้เอง

    - ๑๔ ก.ค. ๒๕๓๖ หลวงปู่บุดดา ได้ย้ายไปที่ห้องพิเศษ ตึก ๘๔ ปี ห้อง ๘๐๘ โดยอยู่ในความ ดูแลของแพทย์และพยาบาลประจำตึก มีพระอุปัฏฐากอยู่ประจำ ๒ รูป - ๒๖ พ.ย. ๒๕๓๖ หลวงปู่บุดดา มีอากามีอาการทรุดลงทั้งหอบและไอ แพทย์ได้นำเสมหะไปเพาะ เชื้อปรากฏว่าหลวงปู่บุดดาติดเชื้ออย่างแรง
    - ๒ ธ.ค. ๒๕๓๖ แพทย์ได้ย้ายหลวงปู่บุดดา กลับไปที่ห้องอาร์ซียูอีกครั้ง แต่อาการไม่ดีขึ้น
    - ๑๑ ม.ค. ๒๕๓๗ ช่วงกลางคืนอาการหลวงปู่บุดดาสุดวิสัยที่คณะแพทย์จะเยียวยารักษาได้
    วันดับขันธ์แห่งดวงประทีปพุทธศาสนา
    เช้าของวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๗ อาการของหลวงปู่บุดดาได้ทรุดหนักลง พระมหาทอง (พระครูโสภณจารุวัฒน์) เจ้าอาวาสวัดกลางชูศรีเจริญสุข ซึ่งคอยเฝ้าสังเกตอาการของหลวงปู่บุดดาเห็นดังนั้น จึงได้แจ้งให้คณะแพทย์ทราบโดยคณะแพทย์ได้เรียกระดมแพทย์ที่ให้การรักษามาทำการเยียวยาอย่างสุดความสามารถ
    พระมหาทองได้เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ท่านได้เฝ้าดูอาการหลวงปู่บุดดามาอย่างใกล้ชิด จึงคาดว่าไม่ช้านี้หลวงปู่บุดดา คงมรณภาพเพราะอาการขณะนี้มีเปอร์เซ็นต์ให้หวังได้เพียงแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ระบบการหายใจแย่ลงทุกที
    พระครูโสภณจารุวัฒน์ หรือมหาทองได้ กล่าวอีกว่า หลวงปู่บุดดา เคย สั่งเอาไว้ว่าหากท่านมรณภาพไม่ให้จัดพิธีงานศพใดๆ ทั้งสิ้นด้วยเกรงว่าจะเป็นการสิ้นเปลือง แต่แล้วเมื่อเวลา ๑๙.๓๐ น. ทางคณะแพทย์ได้แจ้งให้บรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายได้ที่เฝ้ารอดูอาการของหลวงปู่บุดดา ที่หน้าห้องไอซียู ว่าหลวงปู่บุดดา ได้ละสังขารไปอย่างสงบแล้ว เหมือนสายฟ้าฟาดลงมายังบรรดาสานุศิษย์ที่มารอฟังข่าวของหลวงปู่บุดดา และยังเป็นข่าวร้ายอีกด้วย
    เป็นเวลา ๓๔๐ วัน ที่หลวงปู่บุดดา ต้อง ทน ต่อสู้กับโรคปอดบวม สมองซีกซ้ายฝ่อและเส้นโลหิตอุดตัน ท่ามกลางความเศร้าสลดของบรรดาคณะแพทย์ที่ให้รับการรักษาและสานุศิษย์ทั้ง หลายที่มารอเฝ้าดูอาการจนวาระสุดท้ายก่อนจะสิ้นลม สิริรวมอายุ ๑๐๑ ปี ๗ วัน ๗๓ พรรษา
    ดวงประทีปแห่งพุทธศาสนาได้ดับสูญไปอีกดวงหนึ่งแล้ว แต่สิ่งที่หลวงปู่บุดดาได้ สอนไว้ยังคงอยู่
    "คน เราจะเป็นสุขเมื่อรู้จักพอดี ไม่มีใครได้อะไรตลอดไป หรือเสียอะไรตลอดไป ไม่มีใครหรือสิ่งไหนคงอยู่ตลอดไปโดยไม่สูญสิ้น ขอเพียงแค่รู้จักพอดี ชีวิตจะมีสุข"

    ( ข้อมูลจาก http://maharatamulet.com )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2011
  13. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    ครั้งหนึ่งท่านได้เดินทางไปสนทนาธรรมกับ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก หลวงปู่บุดดา ได้เทแป้งเสกลงในมือหลวงปู่ดู่ และ ทันทีทันใดเหมือนกัน หลวงปู่ดู่รีบเทแป้งเหล่านั้นลงบนศรีษะท่านจนขาวโพลนไปหมด ท่ามกลางความ ตกตะลึง ของเหล่าลูกศิษย์ท่านมากๆ เพราะปกติหลวงปู่ดู่ท่านมีกิริยาที่เรียบร้อยเอามากๆ จนเมื่อหลวงปู่บุดดากลับไป ลูกศิษย์ท่านหนึ่ง ถามหลวงปู่ทันที

    "หลวงปู่ทำไมเทแป้งอย่างนั้นล่ะครับ" ท่านตอบทันที

    "ก็ผง พระอรหันต์ ท่านให้ จะให้เอาไว้ตรงไหนนอกจากบนศรีษะของเรา ไม่งั้นจะเป็นการไม่เคารพ"

    แม้ แต่องค์ หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง พระเถระที่ปกติไม่สรรเสริฐพระองค์ไหนง่ายๆ ในวันหนึ่ง เมื่อท่านทราบว่าหลวงปุ่บุดดา นั่งอยุ่บนรถบัส ท่านถึงพูดกับลูกศิษย์ว่า

    "ไม่ให้ท่านลงมานะ เราจะขึ้นไปกราบหลวงปุ่บุดดาบนรถเอง"

    แล้วท่านก็ขึ้นไปทั้ง กราบ ทั้ง ไหว้ อย่างเคารพและเรียบร้อยที่สุด

    หลวง พ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ท่านเคยบอกให้ลูกศิษย์ไปกราบ หลวงปู่บุดดา ตั้งแต่ที่ท่านยังอยุ่ที่วัดอาวุธ ฝั่งธน กทม. โดยให้เหตุผลว่า

    "รีบไปกราบท่านนะ หลวงปู่องค์นี้ ท่านเป็นพระทองคำ ท่านจะไม่มาเกิดอีกแล้วนะ"

    และ ยกย่องหลวงปุ่บุดดาอีกหลายครั้ง และหากท่านสงสัยในกัปกริยาที่ค่อนข้างจะแหวกแนว และ ล่อแหลมขององค์หลวงปู่ ที่มักทำอะไรที่คนทั่วไปมองว่าผิดปกติ ขอให้คิดเอาเสียใหม่ นี่คือ เนื้อนาบุญของแท้

    ซึ่งแม้แต่ หลวงปู่สิม แห่งสำนักสงฆ์วัดถ้ำผาปล่อง ยังขอถวายสังฆทานและจีวร เป็นการเฉพาะ และบอกว่า

    "หลวงปู่บุดดา ยอดเยี่ยมที่หนึ่ง แก่ทั้งอายุ แก่ทั้งพรรษา และแก่ทั้งมรรคผลนิพพาน"

    หากท่านสงสัยในพุทธคุณที่หลวงปู่บรรจุไว้ในองค์พระแล้ว โปรดอ่าน...

    ครั้ง หนึ่งมีคนนำพระไปให้ท่านเสก ส่งไปแล้วท่านก้อส่งกลับ ทำอย่างนี้ถึง 3 ครั้ง โดยไม่แสดงอาการ เสก แต่อย่างใด ท่ามกลางความงุนงงของผุ้นั้นมาก จนหลวงพ่อองค์หนึ่งที่นั่งอยุ่ที่นั้นบอก

    "พระองค์นี้ออกรบได้แล้วล่ะโยม"

    และ เมื่อมีคนนำพระไปให้ ครูบาสร้อย วัดมงคงคีรีเขต จ.ตาก พระอาคมขลัง ที่ผู้อ่านศักดิ์สิทธิ์คงรุ้จักกันดี ช่วยเสกซ้ำอีกที ท่านได้ปฏิเสธและให้เหตุผลว่า

    "เต็มแล้ว เสกไม่ได้แล้ว"

    แม้แต่องค์ หลวงพ่อพุธ ยังปฏิเสธเหมือนกัน และบอก

    "จะให้เสกทับไปได้อย่างไร หลวงปู่บุดดาก็เป็นครูบาอาจารย์องค์หนึ่งของเราเหมือนกัน"

    ( ข้อมูลจาก www.udon108.com )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2011
  14. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    8. ชุด หลวงปู่บุดดา

    (คุณ ปัญจ ปิดครับ)

    - เหรียญรูปไข่รุ่นแรก (สภาพใช้)
    - รูปหล่อ
    - ประคำ + รูปถ่าย

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05475.jpg
      DSC05475.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.4 KB
      เปิดดู:
      105
    • DSC05476.jpg
      DSC05476.jpg
      ขนาดไฟล์:
      101.8 KB
      เปิดดู:
      81
    • DSC06184.jpg
      DSC06184.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.9 KB
      เปิดดู:
      75
    • DSC06185.jpg
      DSC06185.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.3 KB
      เปิดดู:
      102
    • DSC06186.jpg
      DSC06186.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76.2 KB
      เปิดดู:
      100
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2011
  15. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    9. หลวงปู่ละมัย สวนป่าสมุนไพร เพชรบูรณ์

    (1,500 บาท)

    - เหรียญรุ่นแรก สภาพสวยมาก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05949.jpg
      DSC05949.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.3 KB
      เปิดดู:
      95
    • DSC05950.jpg
      DSC05950.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.9 KB
      เปิดดู:
      102
  16. Magicbunny

    Magicbunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +614
    โอน/sms ไปแล้วนะท่าน
    ที่อยู่จัดส่ง เดี๋ยว pm บอก
    ขอบคุณครับ
     
  17. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    ขอบคุณครับ :d:d:d

    <table id="post4558946" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px">[​IMG] วันนี้, 05:00 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #16 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> Magicbunny
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Dec 2009
    ข้อความ: 161
    พลังการให้คะแนน: 34 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4558946" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> โอน/sms ไปแล้วนะท่าน
    ที่อยู่จัดส่ง เดี๋ยว pm บอก
    ขอบคุณครับ
    __________________
    รอยทาง ที่พ่อสร้างไว้ ดั่งคำสอนให้เราได้รู้ .......
    </td></tr></tbody></table>
     
  18. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    10. หลวงปู่ผาด อภินนฺโท วัดไร่ จ.อ่างทอง

    (900 บาท)

    - เหรียญหลังพระพุทธ 2519 หลวงปู่ผาดวัดไร่


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06203.jpg
      DSC06203.jpg
      ขนาดไฟล์:
      73.8 KB
      เปิดดู:
      98
    • DSC06206.jpg
      DSC06206.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72 KB
      เปิดดู:
      115
  19. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    11.หลวงปู่ฤทธิ์ วัดชลประทานราชดำริ จ.บุรีรัมย์

    (600 บาท คุณ ก้านมะยม จองครับ)

    - สมเด็จรุ่นแรก พอสวย (หายาก)
    - เหรียญรุ่นแรก วัดชลประทานราชดำริ



     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06193.jpg
      DSC06193.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.3 KB
      เปิดดู:
      103
    • DSC06195.jpg
      DSC06195.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.7 KB
      เปิดดู:
      84
    • DSC06197.jpg
      DSC06197.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.2 KB
      เปิดดู:
      74
    • DSC06198.jpg
      DSC06198.jpg
      ขนาดไฟล์:
      92.9 KB
      เปิดดู:
      89
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2011
  20. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    12. เหรียญหลวงปู่ขาว สนง.ทรัพย์สินฯ


    (คุณ ปัญจ ปิดครับ)

    วัตถุประสงค์การสร้างวัตถุมงคล เหรียญพระรูปหลวงปู่ขาว อนาลโย รศ.196

    ด้วยพนักงานสนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และประชาชนผู้เช่าสำนักงาน รวมทั้งอีกหลายฝ่ายหลายท่านที่ร่วมงานได้มีปณิธานแรงกล้า ที่จะร่วมกันจัดหาทุนทรัพย์ขึ้นทูลเกล้าฯถวายเพื่อเสด็จพระราชกุศลสมทบ มูลนิธิสายใจไทย และ สืบเนื่องมาจากความสำเร็จในการจัดสร้างวัตถุมงคลหลวงปู่แหวน สุจิณโณ รุ่นทูลเกล้าฯ จศ.1338 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2519 มอบให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมกับสำนักงานฯ เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศลสมทบมูลนิธิสายใจไทย ด้วยเวลาเพียง 1 เดือนเศษ มีพุทธศาสนิกชนที่เลื่อมใสศรัทธามาขอบูชาอย่างล้นพ้นและวัตถุมงคลนั้นหมดลง ด้วยเวลาอันรวดเร็ว อันเนื่องจากปรากฏการณ์ทางอานุภาพของพุทธคุณอย่างอเนกประสงค์แก่ผู้ได้ไป บูชา
    ด้วยเหตุดังกล่าวจึงมีประชาชนจำนวนมากเรียกร้องขอให้คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาสร้างวัตถุมงคลขึ้นอีก เพื่อสนองความศรัทธาของประชาชนและผู้แสวงหาวัตถุที่พร้อมด้วยพุทธคุณ คณะกรรมการฯ ได้ประชุมทบทวนและคัดเลือกปรมาจารย์ที่อาวุโสและมีพระพุทธคุณสูงประชาชนยอม รับแล้วในปัจจุบัน มีมติเห็นพ้องต้องกันว่า ในบรรดาพระสงฆ์สาวกผู้ดำเนินตามรอยพระยุคลบาทของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในปัจจุบันนี้ ซึ่งมีความเพียรไม่ท้อถอย ดำรงอยู่ในทางสัมมาปฏิบัติ มีข้อกิจวัตรเคร่งครัด ไม่ย่อหย่อนผ่อนตามวัยของสังขาร ปฏิบัติธรรมอยู่เฉพาะในสถานที่เงียบสงบ ห่างไกลฝูงชน เพื่อมุ่งบำเพ็ญเพียรทางจิต ให้ได้รับความสงบสุขภายในยิ่งๆขึ้น พระอาจารย์กรรมฐานที่มีปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ที่สำคัญของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต รูปหนึ่งซึ่งมีอายุมากถึง 92 ปี แต่ยังมีความเพียรปฏิบัติกรรมฐานอย่างเยี่ยมยอดในวงการพระกรรมฐานด้วยกัน ยากที่จะมีผู้ใดเสมอเหมือนได้ในปัจจุบันนี้ ท่านรูปนั้นคือ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล หนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี หลวงปู่ขาว ท่านเป็นปรมาจารย์ ควรที่จะได้พระพุทธคุณขององค์ท่านมาไว้บูชาเป็นที่พึ่ง อันอาจจะนำมาซึ่งความสุข ความสำเร็จ จากเหตุดังกล่าว คณะกรรมการฯซึ่งได้รับความเอื้อเฟื้อจากหัวหน้าฝ่ายตำแหน่งและบรรจุแต่งตั้ง กองการเจ้าหน้าที่ สนง.ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และ คณะเจ้าหน้าที่สนง.ศึกษาธิการจังหวัดอุดรธานี ได้พาไปกราบนมัสการต่อหลวงปู่ขาวและพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี ปรมาจารย์ที่สำคัญยิ่งอีกองค์หนึ่งของ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ศิษย์เอกของพระอาจารย์มั่น เพื่อเรียนรายละเอียดถึงวัตถุประสงค์ ขอสร้างเหรียญพระรูปเหมือนหลวงปู่ขาว มอบให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้โดยเสด็จพระราชกุศลสมทบมูลนิธิสายใจไทย ปรากฏว่า พระคุณท่านทั้ง 2 องค์ ได้เต็มใจร่วมงานการกุศลครั้งนี้ด้วย จึงได้บริกรรมภาวนา ลงอักขระ เลขยันต์ และ ประจุพระพุทธคุณให้ครบถ้วนลงในแผ่นนวโลหะเพื่อนำมาเป็นทองชนวน และ นอกจากนี้คณะกรรมการฯยังได้เดินทางไปกราบนมัสการพระคณาจารย์ที่มีพลัง พุทธคุณสูงอีกหลายจังหวัด เพื่อขออาราธนาให้ลงอักขระเลขยันต์ และ ประจุพระพุทธคุณเพื่อได้นำมารวมกับนวโลหะชุดเดิม ซึ่งมีพลังอานุภาพพระพุทธคุณแรงกล้ายิ่งนัก รวมทั้งหมดเป็น 29 องค์ ซึ่งพระคณาจารย์แต่ละองค์เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่สาธุชนและนอกจากนี้ ท่านประธานคณะกรรมการฯ ได้นำความกราบบังคมทูล ขอพระบรมราชานุญาตอัญเชิญลายเซ็นพระนามาภิไธยของสมเด็จพระเทพรัตนราช สุดาเจ้าฟ้ามหาจักรี สิรินธรฯสยามบรมราชกุมารี จารึกลงในเหรียญหลวงปู่ขาวอีกด้านหนึ่ง เพื่อให้เกิดศิริสวัสดิ์พิพัฒมงคลแก่ผู้บูชา จึงนับว่าเป็นบุญบารมีอย่างสูงของผู้ที่ได้เหรียญรุ่นนี้มาบูชา


    วัตถุมงคลที่จัดสร้างประกอบด้วย เนื้อทองคำและเนื้อนวโลหะ มี 2 พิมพ์คือพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก
    รายนามพระคณาจารย์ที่ได้โปรดลงอักขระเลขยันต์และประจุพระพุทธคุณ
    เจริญบริกรรมภาวนาแผ่เมตตา(นั่งปรก) ลงในแผ่นนวโลหะ (เริ่มตั้งแต่ พศ.2519-2521)

    1. สมเด็จพระสังฆราชพระอริยวงศาตญาณ วัดราชบพิตร
    2. สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศ
    3. หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล
    4. หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง
    5. หลวงปู่เปลื่อง วัดสุวรรณภูมิ สุพรรณบุรี
    6. หลวงปู่อินทโชโตมหาเถร วัดยาง เพชรบุรี
    7. หลวงปู่ธูป วัดสุนทรธรรมทาน
    8. หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว นครปฐม
    9. หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    10. หลวงปู่ใหญ่ วัดสะแก
    11. หลวงพ่อไพฑูรย์ วัดโพธิ์นิมิต
    12. หลวงพ่อเทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง
    13. หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์
    14. หลวงพ่อทองอยู่ วัดหนองพะอง
    15. หลวงพ่อเต๋ วัดคงทอง
    16. หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร
    17. หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โกร่งธนู
    18. หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช
    19. หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี
    20. หลวงพ่อสุด วัดกาหลง
    21. หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
    22. หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน
    23. หลวงพ่อเชย วัดเกาะลอยเอกอุดมธาราราม
    24. หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม
    25. หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม
    26. หลวงพ่อบุญ วัดวังมะนาว
    27. หลวงพ่อเชื้อ วัดใหญ่บำเพ็ญบุญ
    28. หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม
    29. หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม

    และได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกที่วัดบวรนิเวศอีกเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อวันเสาร์ที่ 1 กรากฎาคม 2521
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06208.jpg
      DSC06208.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.8 KB
      เปิดดู:
      93
    • DSC06209.jpg
      DSC06209.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.5 KB
      เปิดดู:
      95
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...