ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน โดยพระราชพรหมยาน ตอน หลวงปู่คำแสน วัดดอนมูลไปนิพพาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 29 กันยายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน โดยพระราชพรหมยาน ตอน หลวงปู่คำแสน วัดดอนมูลไปนิพพาน
    [​IMG]
    “..คำว่า “คำแสนนุสรณ์” คำนี้อาจจะเป็นที่สะเทือนใจสำหรับผู้ที่เคารพนับถือหลวงปู่คำแสน ซึ่งเป็นที่เคารพของผู้เขียนและท่านทั้งหลายอยู่บ้าง โดยท่านอาจจะคิดว่าเป็นวาจาที่ปรามาสเกินไป โดยเจตนาของผู้เขียนแล้ว กล่าวเพียงให้สั้นเข้าเท่านั้น ไม่มีเจตนาปรามาสแต่ประการใด ถ้าบังเอิญเป็นที่ไม่ถูกใจท่านผู้ใดบ้าง ผู้เขียนขอประทานอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

    หลวงปู่คำแสน เป็นพระที่น่ารักและเคารพมากของผู้เขียน มีความรู้สึกว่าท่านเป็นที่น่ารักและควรแก่การเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความรู้สึกและอาการสัมผัสแล้ว เข้าใจว่า

    ท่านเป็นพระที่สมบูรณ์ด้วยศีลาจารุวัตรครบถ้วน

    อารมณ์ก็แสนจะเยือกเย็น เป็นที่รักแก่ผู้ที่พบเห็น

    จริยาก็เรียบร้อย ไม่โดกเดกรุ่มร่ามเหมือนผู้เขียน

    ส่วนลึกของความสามารถ เรื่องนี้ถ้าจะพูดกันให้จบต้องใช้หนังสือสัก ๕๐๐ หน้า ก็ไม่แน่ว่าจะครบถ้วนตามความสามารถ ขอพูดโดยย่อว่า ท่านมีความสามารถดังนี้

    ๑) เป็นนักธุดงค์ที่มีความสมบูรณ์ในปฏิปทาธุดงค์จริงๆ

    ๒) การตัดอารมณ์ ตัดได้ดีตามที่พระพุทธเจ้าต้องการ

    ๓) ความสามารถพิเศษที่ท่านหวงและห้ามไม่ให้พูดก่อนท่านตาย คือ

    อารมณ์ทรงตัวในด้านตัดอารมณ์ เรื่องนี้ขอพูดย่อแต่เพียงว่า ท่านมีความสบายทุกอย่างในอารมณ์

    ความสามารถพิเศษ วันหนึ่งนั่งคุยกันตามลำพัง ท่านชวนเล่นสนุกกันสองต่อสอง ได้กราบเรียนท่านว่า ท่านเป็นพี่ขอให้ท่านเล่นให้ดูแต่ผู้เดียว ท่านค้านว่าถ้าอย่างนั้นน้องก็จะเอาเปรียบ

    เป็นอันว่าวันนั้นตกลงกันไม่ได้ ต่อมาอีกหลายเดือน เมื่อมีโอกาสพบกันครบคณะคือ หลวงปู่คำแสน หลวงปู่ชุ่ม หลวงปู่ทิม การพบกันคราวนั้นเป็นการพบกันอย่างบังเอิญไม่มีใครเจือปนอยู่เลย พบกันแบบนักบวชซุกซนไปชนกันเข้าโดยที่มิได้ตั้งใจ แต่ละท่านต่างก็ปรารภเหตุและผลในการปฏิบัติรู้สึกดีใจที่ทุกท่านเปิดเผยความจริงอย่างไม่มีอะไรปิดบัง เรื่องนี้พูดให้ฟังไม่ได้ ต่อมาท่านก็ทำสนุกให้ดูโดยหลวงปู่ชุ่มเริ่มต้นก่อน โดยท่านกล่าวหาว่าหลวงปู่คำแสนว่ามีดีแต่ชอบคุดดี เมื่อโต้เถียงกันอยู่ครู่หนึ่งหลวงปู่คำแสนก็สรุปสั้นๆ ว่า เราโตแล้วอย่าเล่นอย่างเด็กเลย ท่านหนึ่งในที่นั้นก็พูดว่า คนที่ไร้ความสามารถเท่านั้นที่เขาจะพูดอย่างนี้ คนที่มีความสามารถไม่มีใครเขาพูดอย่างนี้ เพราะเวลานี้มีด้วยกัน ๔ คน หลวงปู่คำแสนท่านยิ้ม ไม่ยอมพูดอะไรทั้งหมด ท่านหาเรื่องคุยเรื่องอื่น เมื่อคุยกันไปสัก ๒ นาที ปรากฏว่าหลวงปู่คำแสนหายไปจากที่คุย กายหายแต่เสียงยังปรากฏ คุยกันตามปกติแต่มองไม่เห็นตัว ต่อมาปรากฏว่าหลวงปู่ชุ่มก็กายหายแต่เสียงมี สำหรับหลวงปู่ทิมก็กลายเป็นหนุ่มขาวสวยกว่าปกติมาก ผู้เขียนงงเต็มที่

    ในที่สุดเวลาผ่านไปสัก ๕ นาที ก็มีสภาพปกติ ถามท่านว่า หลวงปู่ทั้งสามเล่นกลแบบไหนครับ ท่านก็ตอบว่าเล่นแบบเด็กอมมือ ท่านถามว่า คุณทำไมไม่เล่น ผู้เขียนก็กราบเรียนท่านตามความจริงว่าเล่นไม่เป็น ไม่เคยฝึกวิชากล แล้วต่างคนต่างก็หัวเราะ หลวงปู่ชุ่มท่านต่อว่า หลวงน้องเอาเปรียบหลวงพี่ คนอย่างนี้บาปหนัก จึงกราบเรียนท่านว่า บาปมันหนักมันก็วิ่งตามผมไม่ทัน ผมสามารถหนีมันพ้น เท่านี้ผมสบายใจแล้ว ท่านทั้งสามก็หัวเราะพร้อมกัน

    เป็นอันว่าหลวงปู่คำแสนท่านมีดีมาก เรื่องที่พูดให้ฟังนี้เป็นเกร็ดความดีที่พระพุทธเจ้าท่านถือว่าเป็นความดีที่มีสาระน้อยจึงห้ามติดและห้ามเล่นดีประเภทนี้ให้คนอื่นเห็น ท่านทรงห้ามนั้นดีแล้ว ถ้าไม่ห้าม ผู้ที่พบความดีประเภทนี้เพียงเล็กน้อยก็จะลืมตัว ในที่สุดก็จะเป็นเหยื่อความชั่วคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต้องจมอยู่ในวัฏฏะต่อไป มีอีกนิดหนึ่ง ความจริงมีมากแต่เกรงใจคนจัดพิมพ์จะต้องจ่ายเงินมาก ที่เขียนมานี้เห็นว่ามากเกินไปหรือไร้สาระ จะตัดทอนหรือทิ้งไปเลยไม่เอาลงพิมพ์เลยก็ได้ ด้วยคุณบุญรับไปหาขอให้เขียน น้ำกำลังเข้าท่วมวัด ขณะเขียนเป็นวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๒๓ น้ำกำลังขึ้นเต็มที่ระบาดเข้ามาในที่นอน ขณะที่เขียนนี้นั่งแช่น้ำเขียนเป็นเรื่องหรือไม่เป็นเรื่องก็ช่าง เพราะแฉะก็แฉะ หนาวก็หนาว ไม่เขียนมาให้เกรงว่าคุณบุญรับจะเสียกำลังใจ มาว่าเรื่องของหลวงปู่กันต่อไป

    วันหนึ่งนั่งคุยกัน ท่านถามว่า บอกได้ไหมว่าได้อะไรไว้ ผู้เขียนได้กราบเรียนท่านว่า ผมไม่ได้อะไรเลยและก็ไม่อยากได้อะไร ท่านยิ้มแล้วท่านบอกว่า เท่านี้พอแล้ว ผู้เขียนก็ไม่เข้าใจความหมายของท่าน ท่านคงไม่คิดว่า “ผู้เขียนเป็นพระอรหันต์” เพราะผู้เขียนเป็นเพียงพระกังหันหมุนไม่หยุด ท่านอาจจะคิดว่าเจ้าเบื๊อกนี่คิดว่าจะดีที่แท้ก็เป็นลิงป่าธรรมดานั่นเอง คุยกันไปสักประเดี๋ยวท่านก็เล่นกลอีก ตอนนี้ไม่ขอบอกว่าเล่นอะไร เป็นการเล่นแบบทบทวนความรู้ ในที่สุดท่านก็ต่อว่า ว่าไม่ได้อะไรทำไมรู้ จึงกราบเรียนท่านว่า ผมอ่านหนังสือมาก ผมรู้ตามหนังสือเขียนไว้

    ท่านยิ้มแล้วพูดว่า ใครๆ เขาก็รู้ตามหนังสือเหมือนกันทั้งนั้นแหละ ท่านทำท่าเหมือนไม่เชื่อ แต่ความจริงผู้เขียนไม่มีดีอะไรเลย ที่รู้ก็เพราะจากหนังสือจริงๆ สำหรับหลวงปู่ท่านจะคิดอย่างไรเป็นเรื่องของท่านแต่คิดว่าท่านคงไม่คิดว่าผู้เขียนเป็นคนรู้ นอกจากจะเข้าใจถูกว่า เจ้าลิงป่าเอ๋ย จงเจียมตัวเจียมตนกับเขาบ้างจะได้พ้นจากความเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าท่านคิดอย่างนี้ก็ต้องขอบพระคุณท่านที่ท่านคิดตรงคิดถูกตามความเป็นจริง

    พูดมากรำคาญคนอ่าน ขอสรุปว่าหลวงปู่ที่รักท่านตายไปแล้ว อีกไม่นานผู้เขียนก็ตาย ท่านตายไปคงดีที่สุด อย่างนี้ก็เพราะไม่รู้ว่าท่านไปไหน แต่ด้วยความรักและเคารพในท่านก็เลยคิดเอาเองตามใจคนที่รักกัน คิดว่าท่านคงไปดี สำหรับผู้เขียนนี้ยังไม่แน่ใจเลยว่าเมื่อตายแล้วจะไปอยู่นรกขุมไหนดี

    ด้วยอำนาจพระพุทธบารมีและความดีของหลวงปู่ที่สั่งสมไว้มากและบำเพ็ญมานาน ขอให้หลวงปู่ช่วยดึงผู้เขียนให้พ้นจากนรกเมื่อผู้เขียนตายด้วย และอาศัยความดีที่หลวงปู่ประทานแสดงให้ปรากฏบางประการ และกรุณาแนะนำธรรมที่ควรปฏิบัติไว้หลายประการ ผู้เขียนจะขอน้อมเกล้ารับไว้ปฏิบัติตามจนวันตาย

    คณะกรรมการขอให้ผู้เขียนมาเป็นกรรมการด้วย พิจารณาตัวแล้วเห็นว่าไม่สมควร จึงขอเพียงเป็นผู้อุปถัมภ์ในงานศพ ในงานทำศพถ้าไม่ป่วยจะมาอยู่ตลอดงาน

    ขออนุโมทนาที่ทุกท่านเมตตาเจ้าภาพ ช่วยเป็นภาระและธุระกันคนละอย่างสองอย่างจนงานนี้ลุล่วงไปด้วยดี สมศักดิ์ศรีที่เป็นเชื้อชาติไทยแท้..”

    พระมหาวีระ ถาวโร

    วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

    ๑๓ ตุลาคม ๒๕๒๓
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     
  2. นาย หวังดี

    นาย หวังดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2013
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +1,272
    กราบหลวงพ่อครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...