ก่อนจะถึงมือจิตแพทย์  ให้นักจิตวิทยาปลอบประโลมคุณก่อน

ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 4 เมษายน 2016.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    จิตแพทย์ต่างจากนักจิตวิทยาอย่างไร  

    จิตแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคและออกใบรับรองแพทย์ได้  จ่ายยา  และให้คำปรึกษาได้  โดยพวกเขาจะเรียนหมอปกติทั่วไปมา 6 ปี  และไปต่อเฉพาะทางจิตวิทยาอีก 3 หรือ 4 ปี


    นักจิตวิทยา  เรียนจิตวิทยาล้วนๆ มาตลอด 4 ปี  เขาจะให้คุณทำแบบทดสอบ  ให้คำปรึกษาคุณได้ทุกเรื่อง รวมถึงทำจิตบำบัดให้คุณ  ซึ่งไอ้อาการเครียด  นอนไม่หลับ  กลัวคนกลัวสังคม รู้สึกชีวิตไม่เป็นของตัวเอง  ต้องฝืนตื่นไปเรียนไปทำงานอยู่ทุกวัน  แค่คุณมาหานักจิตวิทยา  สาวลึกเข้าไปสางปมในจิตใจตัวเองชีวิตก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้โดยไม่ต้องพึ่งยาจากจิตแพทย์เลย


    นั่นคือช่องว่างกว้างใหญ่ในวงการจิตวิทยาของไทย  อาจจะของโลกด้วยซ้ำ

    เวลามนุษย์เรามีปัญหาในใจ  หรือเกิดความเครียด  มักจะปรึกษาคนรอบข้าง  เพื่อนหลายๆ คน  ซึ่งแทนที่จะได้คำตอบที่ดี  หลายครั้งคุณจะยิ่งปวดหัวและคิดหนักกว่าเดิมเพราะความเห็นมากมายเต็มไปหมดดังก้องอยู่รอบๆ  


    คุณจะพยายามหาทางออกไปเรื่อยๆ  คลำทางแก้ไขจัดการปัญหาไปเรื่อยๆ  โดยไม่รู้ตัวว่าสมองของคุณต้องหลั่งสารอะไรออกมาช่วยในกระบวนการต่างๆ  นั้นบ้าง  ยิ่งหนักเข้า  หนักเข้า  สุดท้ายระบบในสมองของคุณก็เป๋ไป  อาการผิดปกติเริ่มมา  คุณจะเริ่มเศร้านานขึ้น  ทำงานไม่ได้ ไม่อยากอาหาร  ความมืดมิดเหมือนหมาดำหรือวิญญาณเด็กเกาะไหล่คุณไปทุกที่  เดินไปทางไหนก็เหนื่อย  ก็หนัก 

    และนั่นแหละ  คุณถึงมาหาจิตแพทย์

    เพื่อพบว่าตัวเองป่วยถึงขนาดต้องกินยาเสียแล้ว


    เมื่อมีปัญหา  เกิดความสับสนในใจที่รู้สึกว่าหาทางออกไม่ได้  ทำไมคุณไม่ตรงเข้ามาหาคนที่ช่วยคุณค่อยๆ  หาคำตอบนั้นจากในตัวของคุณเองได้จริงๆ  อย่างนักจิตวิทยาล่ะ

    ก่อนมันจะลุกลามเรื้อรัง

    ในอดีต  อาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย  เช่น  เส้นเลือดในสมองแตก  หัวใจวาย  อาจเคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นฝีมือของเวทมนต์  ภูติผีปีศาจ

    เราใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะกล้าศึกษาภายในร่างกายของตัวเอง  และพบว่าอาการเจ็บป่วยที่เกิดข้างในนั้นมีจริง

    นานกี่ร้อยกี่พันปี  กว่าเราจะเริ่มผ่าตัดเพื่อรักษามนุษย์

    ขอบคุณสงครามโลกครั้งที่ผ่านมาได้ไหม  ที่ทำให้การแพทย์พัฒนารุดหน้าขึ้นจากการทดลองที่โหดร้าย  การทดลองที่ใช้มนุษย์จริงๆ  ในการศึกษา  ซึ่งวงการจิตวิทยาอยากทำอย่างนั้นแต่ทำไม่ได้เพราะคำว่า  มนุษยธรรม  จิตสำนึก  หรือคำอื่นอีกมากมายที่เราจะเลือกมาใช้


    วงการจิตวิทยาไม่สามารถเอาทารกคนหนึ่งมาเลี้ยงดูเขาโดยกำหนดสภาพแวดล้อม  เพื่อศึกษาว่าอะไรกันแน่ที่หล่อหลอมเด็กขึ้นมาเป็นฆาตกร  เป็นพระ  เป็นคนอ่อนโยน  เป็นคนแข็งกร้าว  ทำไมฝาแฝดจึงมีทั้งคู่ที่เหมือนกันและไม่เหมือนกัน


    คุณไม่สามารถเอาเด็กมาทดลองทางจิตวิทยา  เหมือนอย่างที่คุณเอาหนูมาขังในกรงแล้วฝึกให้กดคานได้  แต่เชื่อไหม  กลยุทธ์ทางจิตวิทยาแทรกซึมอยู่แทบทุกตารางนิ้วที่เรามองออกไปรอบตัว  ทั้งการโฆษณาในภาคธุรกิจ  การชวนเชื่อ  แม้แต่ระบอบการศึกษาตั้งแต่ประถมก็คือกระบวนการทางจิตวิทยา  คุณต้องการประชาชนในอีกสิบปีข้างหน้าอย่างไร  ให้คิดเองเป็นไหม  หรือให้เป็นคนเงียบๆ  ไม่ค่อยตั้งคำถาม  ให้เชื่อในเรื่องอะไร  มันใส่ลงไปในหลักสูตรได้  อบรมให้ครูปั้นเด็กขึ้นมาอย่างนั้นได้


    กลุ่มผู้ก่อการร้ายเขาหาพรรคพวกที่กล้าตาย  กล้าระเบิดพลีชีพได้อย่างไร  ถ้าไม่มีการปลุกใจ  การหล่อหลอมบุคลิกลักษณะนั้นด้วยวิธีการทางจิตวิทยาตั้งแต่ยังเล็ก


    ดูเหมือนจะไปไกลแล้ว  กลับมาสู่เรื่องของเรา

    ลุลลาแค่อยากจะตั้งคำถามว่า  ถ้าหากมีสงครามครั้งใหม่ที่เราใช้กลยุทธิ์ทางจิตวิทยาโจมตีกัน  และมีการทดลองทางจิตวิทยาในคนจริงๆ  วงการสมองจะก้าวหน้าไปแค่ไหน

    เพราะตอนนี้  เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรทำให้คนๆ  หนึ่งเป็นโรคไบโพล่าร์  เป็นโรคซึมเศร้า  ต้นเหตุของมันคืออะไร  เรารู้แค่สารที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติ  แต่อะไรไปกระตุ้นสารนั้นล่ะ



    นั่นแหละ  ถ้าเรารู้  เราคงสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาแล้วใส่อุปนิสัยรักความยุติธรรม  ใส่ใจประชาชน  ดาวน์โหลดกฏหมายใส่สมองแล้วเอาไปยืนตามทางด่วนแทนคนจริงๆ  แล้้ว


    เพราะความที่ทุกอย่างเป็นทฤษฏีที่มีข้อยกเว้นมากมายเต็มไปหมด    เหมือนอย่างที่เวลามีไข้แล้วไปหาหมอ   กินคลีนป้องกันมะเร็ง  ลดหวานวันนี้ลดความเสี่ยงเบาหวานในวันหน้า  อะไรทำนองนั้น


    ควรป้องกันก่อนมันจะเกิดขึ้น


    ใครๆ  ก็มีแผล  มีความเจ็บปวดในหัวใจ  มีอดีตอันรวดร้าว  ตั้งแต่ถูกเพื่อนล้อว่าอ้วน  โดนขโมยไพ่ยูกิ  โดนเปิดกระโปรงสมัยประถม  หกล้มตอนวิ่งมาเข้าแถวแล้วโดนเพื่อนหัวเราะ  สิ่งเหล่านี้ก็อาจเป็นแผลได้ทั้งนั้น  และมันอาจส่งผลถึงตัวคุณในวันนี้  วิธีการรับมือกับปัญหาของคุณ  อารมณ์ของคุณ  คววามยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต  แม้แต่ว่าทำไมคุณถึงเลือกหยิบปากกาด้ามนั้นขึ้นมาก็เป็นเรื่องของจิตวิทยาทั้งนั้น


    ขอให้คุณมาหานักจิตวิทยาอย่างเป็นปกติเพื่อปรึกษาปัญหาปัญญาอ่อนทั่วๆไป เช่น ทำไมผมถึงหาแฟนไม่ได้ จะขึ้นคานตลอดชีวิตไหม ทำไมทำการบ้านไม่ได้ ทำไมนอนไม่หลับ ทำไมทะเลาะกับเพื่อนเรื่องเดิมๆ อยู่เรื่อย พ่อแม่บังคับให้เรียนคณะนี้แต่หนูไม่อยากเรียนจริงๆ หรือแม้กระทั่งความลับอย่าง "ผมเครียดมากเลยหมอ แอบมีเมียน้อยอยู่สามบ้าน แบ่งวันไม่ทันจริงๆ ทำไงดี"


    ขอให้คุณมองโรคทางจิตเวชเป็นเหมือนมะเร็งในหัวใจ

    ที่ต้องดูแลและระมัดระวังเอาไว้ก่อน  ยิ่งหาพบเร็วยิ่งรักษาได้ง่าย

    เราไม่รู้แน่ชัดว่ามะเร็งทุกชนิดเกิดขึ้นได้อย่างไร   และการรักษามันก็มีผลข้างเคียงต่อร่างกายไม่ใช่น้อย  เหมือนกับเวลาคุณเริ่มกินยารักษาโรคทางจิตประสาทนั่นแหละ


    เรื่องอะไรก็มาหานักจิตวิทยาได้ 
    เหมือนอย่างที่คุณเลือกกินอาหารสุขภาพเพื่อป้องกันมะเร็ง
    มาเม้าท์กับนักจิตวิทยากันเถอะค่ะ
    คุณจะหาเพื่อนคนไหนปิดความลับได้ดีเท่าพวกเขาล่ะ  


    การมาพบนักจิตวิทยา นอกจากจะเป็นการดูแลรักษาหัวใจของคุณเอง  ยังเป็นการคัดกรองผู้ป่วยก่อนส่งต่อไปให้จิตแพทย์   ช่วยลดภาระหมอซึ่งทุกวันนี้ก็มีไม่ค่อยจะพออยู่แล้ว


    ลดภาระของหมอลง เพื่อให้จิตแพทย์รักษาแต่ละเคสได้เต็มที่มากขึ้น  ไม่ใช่จ่ายยาแล้วปล่อยไปเพราะมีอีกยี่สิบห้าคิวรออยู่  การพบจิตแพทย์ตามปกติแล้วควรใช้เวลาประมาณ 30 นาทีต่อคน  เพื่อให้มีโอกาสได้พูดคุย  ให้จิตแพทย์สังเกตอาการ  บางคนที่รักษากันมานานจนอาการดีขึ้นบวกกับไม่มีอะไรให้คุยอาจใช้เวลาน้อยกว่านั้นนิดหน่อย 


    โรคทางจิตนั้น  กินยาเท่าไหร่  ถ้าแก้ปมในใจที่กระตุ้นให้เกิดความกดดันไม่ได้  ยาก็แค่ยาควบคุมอาการ  ไม่ได้ทำให้คุณหายขาดจากโรค

    โรคที่เกิดขึ้นจากใจ  จะหายได้ก็ด้วยใจของคุณเอง


    สำหรับลุลลา  จิตบำบัดและการพูดคุยระหว่างผู้ให้คำปรึกษาและผู้ขอคำปรึกษา  เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้คุณหายป่วย (ถ้าตอนนั้นคุณป่วยแล้ว)  ทำให้คุณหาทางออกที่พอจะสมดุลได้ (ถ้าตอนนั้นคุณแค่เครียดๆ)


    *แต่ในบางกรณีที่ป่วยเพราะพันธุกรรมหรือสารเคมีในสมองไม่สมดุลก็มีนะคะ   ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยาเป็นสิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้  บางคนไม่ได้มีปมอะไรที่คิดว่าหนักถึงขั้นจะทำให้ฉันป่วย  แต่กลับมีอารมณ์ขึ้นๆ  ลงๆ  ควบคุมไม่ได้  นั่นอาจไม่ใช่เพราะคุณนิสัยไม่ดี  แต่เป็นเพราะเคมีในสมองไม่สมดุลเท่านั้นเอง



    การป้องกันผู้ป่วยฆ่าตัวตายโดยให้ยาและควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด  
    เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ
    แล้วต้นเหตุล่ะ
    ทำอย่างไรเราจึงจะป้องกันต้นเหตุของความเศร้าได้? 


    คำถามนี้ถูกถามในงานเสวนา depression ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อวันไบโพล่าร์โลกที่ผ่านมา  

    แน่นอน หลังจากความเงียบอึดใจหนึ่ง  คือคำตอบที่ไม่ค่อยตรงคำถามเท่าไหร่

    เพราะเราต่างก็ยังไม่รู้



    ดังนั้น  ได้โปรดรักษาหัวใจของคุณเหมือนกับที่รักษาร่างกาย

    มีอะไรก็มาหานักจิตวิทยานะคะ  

    นักจิตวิทยาหล่อๆ  มีเยอะกว่าพวกจิตแพทย์มากๆๆๆๆ อะ  เท่าที่ลุลลาเก็บข้อมูลเอาไว้ 555555


    ปัจฉิมลิขิต  ภาพประกอบเซฟจากพินเทอเรสเอาไว้ในเครื่องนานเป็นชาติแย้วอะ

    เครดิต.https://storylog.co/story/56ffc3189e7697c17a5aa04d
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...