เรื่องเด่น การอุบัติของพระพุทธเจ้า (พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.)

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ธรรมวิวัฒน์, 11 มิถุนายน 2018.

  1. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,428
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,467
    20799188_203004656901195_5993800386332465132_n.jpg

    การอุบัติของพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในช่วงแต่ละครั้งเป็นเรื่องที่ยากที่สุด สิ่งที่เกิดได้ยากที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็มี กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากยิ่งเหลือแสน ท่านเปรียบว่าเหมือนเอาเต่าตาบอดตัวหนึ่งโยนไว้กลางทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลม แล้วมีแอกเล็ก ๆ ที่ใหญ่พอจะสวมหัวเต่าได้ โยนลงไปอันหนึ่ง

    ร้อยปีเต่าตัวนั้นโผล่ขึ้นมาทีหนึ่ง..ร้อยปีเต่าตัวนั้นโผล่ขึ้นมาทีหนึ่ง จนศีรษะเต่าสวมแอกนั้นได้เมื่อไร เท่ากับคนมีโอกาสเกิดได้ ๑ คน ร้อยปีได้เกิดคนหนึ่งก็แย่แล้วนะ แต่นี้ไม่รู้อนาคตว่านานเท่าไรถึงจะได้เกิด

    กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตฺตํ การจะดำรงชีวิตอยู่รอดมาเป็นเรื่องที่ยากเหลือแสน คนเรามีชีวิตอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้นเอง หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย เพราะฉะนั้น..มีโอกาสตายได้ทุกเวลา รอดมาได้ถือว่าโชคดีมากแล้ว

    กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ การจะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้านั้นแสนจะยาก กว่าจะอุบัติขึ้นแต่ละพระองค์นี่รอกันหายห่วงไปเลย"

    "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราในสมัยที่เป็นสุเมธดาบส ได้มีโอกาสพบสมเด็จพระพุทธทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รับพุทธพยากรณ์ว่าอีก ๔ อสงไขยกับหนึ่งแสนกัป ดาบสนี้จะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่าโคตมะ

    หลังจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรปรินิพพานไปแล้ว ระยะเวลาผ่านไป ๑ อสงไขยกัป ถึงได้เกิดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโกณฑัญญะ ขึ้นมาอีก ๑ พระองค์ รอกัปเดียวก็แย่แล้ว

    อสงไขยกัปนั้นเป็นมหากัปนะ ไม่ใช่อันตรกัป มหากัปเดียวก็เกิดจนกระทั่งกระดูกกองเลยภูเขาแล้ว โบราณาจารย์ท่านเปรียบเอาไว้ว่า ๑ รอบอันตรกัปคือช่วงอายุของคนนั้น ต้องตั้งเลข ๑ ขึ้นมาแล้วต่อด้วย ๐ ไปอีก ๑๔๐ ตัว

    พอเริ่มมีความชั่วเข้ามา อายุก็ลดน้อยลงไปเรื่อย ๑๐๐ ปีลดลง ๑ ปีไปเรื่อย ๆ ลดจนกระทั่งไม่ต้องนับหรอกว่านานเท่าไร จนกระทั่งอายุขัยเหลือประมาณ ๑๐ ปีเป็นประมาณ อย่างยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา มนุษย์มีอายุขัย ๑๐๐ ปีเป็นประมาณ ก็คือมีเกินบ้าง มีขาดบ้าง ตามแต่กรรมที่สร้างมา

    ๑๐๐ ปีผ่านไปลดไป ๑ ปีเรื่อย ๆ ผ่านมา ๒๕๕๐ ปี ลดไปประมาณ ๒๕ ปีครึ่ง เพราะฉะนั้น..คนสมัยนี้อย่างเก่งก็อายุ ๗๔ ปีหน่อย ๆ เมื่ออายุขัยมนุษย์เหลือแค่ ๑๐ ปี จะเกิดมิคสัญญี ยุคที่ไม่สนใจว่าใครเป็นใคร ฆ่าฟันกันแหลกแม้กระทั่งพ่อแม่พี่น้อง ท่านที่เห็นแล้วเกิดความสลดใจขึ้นมาก็พยายามสร้างความดีใหม่ พอมีความดีมากขึ้น อายุขัยของมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นใหม่ ๑๐๐ ปี เพิ่มขึ้น ๑ ปี ๆ เพิ่มขึ้นเป็นระยะเวลานานเท่าไรบอกไม่ถูก

    จนกระทั่งอายุขัยมนุษย์กลับไป เป็นจำนวนที่เขียนเลข ๑ ขึ้นมาแล้วตามด้วย ๐ จำนวน ๑๔๐ ตัว เป็นเลข ๑๔๑ หลัก ระยะเวลายาวนานขนานนั้นเป็น ๑ รอบอันตรกัป"

    "อรรถกถาจารย์ท่านเปรียบ ๑ รอบอันตรกัปเอาไว้ว่า ถ้ามีภูเขาหินล้วน ๑ ลูก กว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ๑ โยชน์เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร ก็แปลว่าภูเขาหินล้วนนั้นหน้าตาเหมือนลูกเต๋า กว้าง ๑๖ กม. ยาว ๑๖ กม. สูง ๑๖ กม. ระยะเวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี เทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาเช็ดครั้งหนึ่ง ผ่านไปอีก ๑๐๐ ปีมาเช็ดครั้งหนึ่ง เช็ดจนภูเขาลูกนั้นสึกเสมอพื้นจึงได้ ๑ อันตรกัป แล้ว ๖๔ อันตรกัป ถึงจะได้ ๑ อสงไขยกัป

    คำว่า "อสงไขย" มาจากบาลีว่า อสํขยา แปลว่า นับไม่ได้ แต่ความจริงแล้วเรื่องของพระ พรหมหรือเทวดา ท่านอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์ ท่านรู้ว่าเป็นระยะเวลายาวนานแค่ไหน ที่บอกว่านับไม่ได้หมายถึงคนทั่วไปนับไม่ได้ และที่นับไม่ได้เพราะว่าอยู่ไม่นานถึงขนาดนั้น

    ๖๔ อันตรกัป เท่ากับ ๑ อสงไขยกัป ๔ อสงไขยกัป เท่ากับ ๑ มหากัป ก็แปลว่า ๒๕๖ อันตรกัปถึงเท่ากับ ๑ มหากัป เราต้องเช็ดภูเขาหินให้สึกเสมอพื้นไป ๒๕๖ ลูก จึงจะได้ ๑ มหากัป เช็ดทีละลูกนะ ไม่ใช่เช็ดรวดเดียว แล้วระยะเวลาที่ผ่านไป ๔ อสงไขยของมหากัปกับอีกหนึ่งแสน พระพุทธเจ้าของเจ้าถึงได้ตรัสรู้ เป็นระยะเวลายาวนานขนาดไหน ? โอกาสที่จะได้ฟังธรรมถึงได้ยากขนาดนั้น

    แล้วข้อที่ยากที่สุดข้อสุดท้ายก็คือ กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้านั้นยากเหลือแสน พวกเราถือว่าโชคดีมาก ๆ ที่ยังเกิดทันพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น..อย่าทิ้งโอกาสความโชคดีของตัวเอง เร่งขวนขวายให้เต็มที่ เมื่อถึงเวลาความดีจะได้ส่งผลให้พวกเราเกิดในสถานที่ดี ๆ ได้พบกับพระพุทธศาสนาอีก"

    เมื่อเช้ามีโยมท่านหนึ่งถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าท่านจึงต้องลงมาตรัสรู้เฉพาะในโลกมนุษย์เท่านั้น เหตุที่ท่านต้องมาเกิดในโลกมนุษย์เกิดจากหลายอย่างด้วยกัน

    อย่างแรก กาละ คือเวลาช่วงอายุขัยของมนุษย์เราไม่ยาวเกินไป สามารถที่จะเห็นได้ว่าความไม่เที่ยงเป็นอย่างไร และมนุษย์เราก็ทุกข์สุขปะปนกัน ถ้าพูดถึงทุกข์ก็เข้าใจได้ ไม่ใช่ว่าเกิดที่ดาวพุธ มนุษย์ที่นั่นมีอายุ ๓๐,๐๐๐ ปี พอบอกว่าร่างกายมีความไม่เที่ยงเป็นปกติ อีกกี่ชาติเขาถึงจะเห็น

    อย่างที่สอง ทวีป ก็คือพื้นที่ที่เหมาะสม ชมพูทวีปสมัยนั้นมีคนรวยสุด จนสุด สบายที่สุด ลำบากที่สุดอยู่ด้วยกัน สามารถเห็นความทุกข์ เห็นความไม่เที่ยงได้ง่าย

    อย่างที่สาม ตระกูล ต้องลงมาเกิดในตระกูลที่เขาถือว่าสูง ซึ่งไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหน ตระกูลที่เขาถือว่าสูงจะเป็นนักบวชหรือพระมหากษัตริย์ ยุคของพระพุทธเจ้าเราท่านเกิดในตระกูลกษัตริย์ แต่พระพุทธเจ้าองค์ก่อน ก็คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสปะ ท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์

    อย่างที่สี่ พุทธมารดา ต้องหาผู้หญิงที่เหมาะสมมาเป็นแม่ให้ได้ หายากกว่าพระพุทธเจ้าอีก คนที่จะเป็นแม่พระพุทธเจ้าได้จะต้องเป็นเบญจกัลยาณีและประกอบไปด้วยอิตถีลักษณะที่เหมาะสมอีก ๖๔ ประการ อ้วนเกินไปไม่ได้ ผอมเกินไปไม่ได้ สูงเกินไปไม่ได้ ต่ำเกินไปไม่ได้ ขาวเกินไปไม่ได้ ดำเกินไปไม่ได้ ไม่รู้ว่าอีกกี่กัปกว่าจะเกิดมาสักท่านหนึ่ง

    เขาบอกว่า ถ้าสูงเกินไปลูกจะต้องยืดคอกินนม ทำให้เสียบุคลิก เตี้ยเกินไปก็ต้องก้ม หลังค่อมอีก แต่ว่าในส่วนหลัก ๆ ก็คือ ชมพูทวีปของเราสามารถเห็นในส่วนของความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์อย่างชัดเจน

    ดังนั้น..พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ต้องมาเกิดทีนี่ จึงเรียกว่ามงคลจักรวาล จะไม่ไปเกิดที่จักรวาลอื่น มีดวงดาวเป็นหมื่นเป็นแสนที่มีมนุษย์อยู่ก็ไม่ไป เพราะว่าบางดวงดาวอายุเป็นแสนปี พอไปบอกว่าไม่เที่ยงแล้วอีกกี่ชาติเขาถึงจะได้เห็น"

    "วาระที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิด จะต้องเป็นกัปต่าง ๆ ที่เป็นมงคลเท่านั้น ถ้าเป็นสารกัป จะเป็นกัปที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๑ พระองค์ อย่างเช่น องค์สมเด็จพระพุทธโกณฑัญญะสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ เป็นต้น

    ถ้าเป็นมัณฑกัป จะเป็นกัปที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๒ พระองค์ ถ้าเป็นวรกัป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๓ พระองค์ ถ้าเป็นสารมัณฑกัป มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๔ พระองค์ ถ้าเป็นภัทรกัป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๕ พระองค์

    ช่วงที่เราเกิดอยู่ปัจจุบันนี้เป็นภัทรกัป ๒ ภัทรกัปต่อเนื่องกันพอดี ไม่มีอีกแล้ว..ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้หรือหลังจากนี้ เพราะฉะนั้น..ใครที่เกิดในโลกยุคนี้ถือว่าโชคดีที่สุดและซวยที่สุด โชคดีที่สุดก็คือ พระพุทธเจ้ายังจะมาตรัสรู้อีก ๖ พระองค์ ถ้าไปนิพพานไม่ได้ก็เอาหัวทิ่มลงอเวจีไปเลย ไม่ต้องขึ้นมาอีก..! ส่วนที่ซวยที่สุดก็คือ ถ้าไม่สนใจในเรื่องของบุญกุศล ถึงเลย ๖ พระองค์ผ่านไป ก็ไม่รู้จะได้เห็นธรรมกับเขาบ้างหรือเปล่า ?

    ถ้าอยากทราบรายละเอียดพวกนี้ไปดูในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ก็ได้ หรือไม่ก็ไปดูในพระไตรปิฏก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ก็ได้ เขาจะให้รายละเอียดเอาไว้ แล้วก็ยังมีในพระสุตตันตปิฏก มหาปทานสูตร ไปอ่านดูแล้วจะมีความมันในชีวิตมาก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี่ยิ่งกว่าวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกหลายเท่า"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,726
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,136
    ค่าพลัง:
    +70,531
    ขอให้ข้าพระพุทธเจ้า และหมู่มิตร ทุกชีวิตที่เกี่ยวข้องกับข้าพระพุทธเจ้า ได้มีโอกาสสร้างบารมีเพิ่มเติมอย่างเต็มที่ในยุคสมัยของทุกพระองค์ที่กำลังมี กำลังจะอุบัติ ไม่พลาดในทุกยุคทุกสมัยที่มีพระพุทธองค์มาอุบัติในภพสาม เทอญ สัจจะสัจจังอธิษฐามิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...