การภาวนามีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 29 กุมภาพันธ์ 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,794
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    IMG_2489.jpeg

    เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งแรกเลยก็คือนึกถึงพระและลมหายใจเข้าออก เมื่อภาพพระและสมาธิทรงตัวแล้ว ก็เริ่มภาวนาคาถาต่าง ๆ ตามความเคยชินที่ฝึกฝนมา เช่น อิติปิโสฯ ๓ ห้อง พระคาถาชินบัญชร เป็นต้น

    สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น ศึกษาตัวบทพระคาถาต่าง ๆ จากครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เอาไว้มาก สิ่งที่หลวงพ่อท่านสอนและจดจำขึ้นใจก็คือ เมื่อจะเปลี่ยนคาถาใหม่ ต้องทบทวนคาถาเก่าให้คล่องตัวเสียก่อน คำว่า คล่องตัว ในที่นี้ก็คือ เมื่อกำหนดใจภาวนาแล้ว ต้องเกิดผลตามคาถานั้น ๆ

    จึงต้องมีการภาวนาทบทวนพระคาถาแต่ละบท เมื่อมีมาก ๆ เข้า ก็ต้องจัดเป็นชุดการภาวนาเฉพาะของตนเอง เช่น การเริ่มต้นด้วย อิติปิโสฯ ๓ ห้อง ๓ จบ พระคาถาชินบัญชร ๗ จบ พระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ๑๐ จบ เป็นต้น

    ทำให้กำหนดเวลาได้คร่าว ๆ ว่า ในช่วงนี้ของวันเราภาวนาไปถึงพระคาถาไหนแล้ว ถ้าหากว่าหลงลืมก็สามารถนึกได้ว่า ในระยะเวลานี้เราจะภาวนาถึงพระคาถาบทนี้ ถ้าภาวนาไปแล้วกี่จบ เกิดหลงลืมจำไม่ได้ ก็จะขึ้นต้นใหม่ที่จบแรกเสมอ เมื่อโดนบ่อย ๆ เข้าก็เข็ด ต้องเอาสติเข้าไปกำหนดจดจำ ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าต้องเริ่มต้นใหม่อยู่เรื่อย ก็จะเหนื่อยมาก

    เหตุที่ต้องหมั่นภาวนาทบทวนอยู่ทุกวัน ก็เพื่อความคล่องตัวในการใช้งานในพระคาถาต่าง ๆ เหมือนกับเราลับมีดบ่อย ๆ ถึงเวลาจะใช้งานก็มีความคล่องตัว เพราะว่ามีดไม่ขึ้นสนิม ถ้าไม่หมั่นภาวนาเอาไว้ ถึงเวลาอาจจะหลงลืมได้ว่า พระคาถาแต่ละบทสำหรับใช้งานใดบ้าง

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อสชฺฌาย มลา มนฺตา อนุฏฺฐาย มลา ฆรา มนต์ไม่ท่องบ่นเป็นมลทิน ผู้ครองเรือนไม่ขยันเป็นมลทิน ดังที่โบราณาจารย์แต่งไว้เป็นโคลงว่า

    เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม.......ดนตรี
    ห้าวันอักขระหนี...........เนิ่นช้า
    สามวันจากนารี............เป็นอื่น
    หนึ่งวันเว้นล้างหน้า.......หม่นไหม้ หมองศรี

    เมื่อเราหมั่นภาวนาเอาไว้เสมอ เป็นการสะสมกำลังและความคล่องตัว ถึงเวลาก็สามารถใช้งานได้ทันที สมาธิที่ทรงตัวอยู่เสมอจะทำให้มีกำลังมาก ทำให้ใช้พระคาถาต่าง ๆ ได้ผลมากกว่าคนอื่น

    สภาพจิตที่ยึดเกาะการภาวนาจนเคยชิน ยังให้เกิดอัปปนาสมาธิหรือที่เรียกว่า ทรงฌาน เป็นหลักประกันได้อย่างหนึ่งว่า ถ้าเราตายลงไปตอนนั้นก็จะไปสู่สุคติ ถ้าทรงฌานได้มั่นคงก็ไปเกิดเป็นพรหม ถ้าพลัดจากฌานอย่างน้อยก็ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา

    การภาวนาจึงมีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน เมื่อทำเองจนชินก็ไม่ต้องรอให้ผู้อื่นช่วยบอกทางเวลาใกล้ตาย ถ้าสามารถทรงสมาธิได้คล่องตัว ยังช่วยระงับทุกขเวทนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้ เมื่อจิตใจไม่ไปกังวลกับความทุกข์ทางร่างกาย ก็ช่วยให้คติของเราในเบื้องหน้ามั่นคงยิ่งขึ้น

    ยิ่งถ้าท่านสามารถพิจารณาเห็นว่า การเกิดมามีร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีแต่ความทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว สภาพจิตก็จะปล่อยวางจากการยึดเกาะในร่างกายนี้ ถ้าปล่อยวางได้ถึงที่สุดจริง ๆ ท่านก็จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพาน

    ทุกท่านจึงควรที่จะภาวนาไว้ทุกวันจนคล่องตัว ซึ่งจะบังเกิดคุณประโยชน์อย่างอเนกอนันต์ต่อท่านทั้งในโลกนี้และโลกหน้าด้วยประการฉะนี้
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...