การด่าว่าผู้อื่น จิตต้องประกอบด้วยโทสะ โมหะ ลงนรกได้ง่าย ๆ เลย

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 9 เมษายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,194
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,510
    ค่าพลัง:
    +26,343
    IMG_3065.jpeg

    พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้พระพุทธศาสนาของเราค่อนข้างจะสั่นคลอน เพราะว่าสื่อสังคมต่าง ๆ ทำให้ข่าวไปถึงได้เร็วแล้วก็ง่าย แต่การรับข่าวของพวกเราก็ควรที่จะรับอย่างมีสติ คำว่ามีสติในที่นี้ก็คือ อย่าไปใส่อารมณ์ตามเนื้อข่าว ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ตาม ถ้าเราไปใส่อารมณ์ตามเนื้อข่าวเมื่อไร โอกาสที่เราจะขาดทุนมีสูงมาก

    โดยเฉพาะบรรดาท่านทั้งหลายที่ไปลงความเห็นในลักษณะของการตำหนิติเตียนหรือด่าว่าพระสงฆ์ การที่เราตำหนิติเตียนหรือด่าว่าพระสงฆ์ ท่านยิ่งบริสุทธิ์เท่าไร โทษก็ยิ่งหนักเท่านั้น

    ถ้าหากว่าจะดูตัวอย่างในพระธรรมบท ซึ่งเศรษฐีไปด่าพระที่ต้องอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระไปแล้ว ปรากฏว่าเศรษฐีต้องไปเกิดเป็นเปรตอยู่ในหลุมขี้ ก็เพราะว่าคนอื่นทำผิดทำชั่วก็จริง แต่พอเราไปด่าว่า เราก็ทำชั่วไปด้วย ก็คือทำชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจนั่นเอง การไปจ้องจับผิดผู้อื่นเป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำอยู่แล้ว การด่าว่าจิตก็ต้องประกอบไปด้วยโทสะ โมหะ

    ดังนั้น...เมื่อตายไปเศรษฐีก็เลยกลายเป็นเปรต เหมือนอย่างกับว่าคนอื่นหาทางลงอบายภูมิ เราเห็นเข้าเราก็โดดตามลงไปด้วย ทั้ง ๆ ที่ตัวเราไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น

    ถ้านึกเอาตามพุทธภาษิต ก็คือ อกตํ ทุกฺกฏํ เสยฺโย ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง อย่างที่โบราณว่า ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ เพราะว่าสิ่งที่เราทำมีแต่จะเกิดโทษมากกว่าจะก่อประโยชน์

    ข่าวบางข่าวก็เป็นข่าวในลักษณะที่ไม่เป็นความจริง ถ้าหากว่าพระท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้ผิด แต่ว่าโดนสังคมตราหน้าไปแล้วว่าผิด เราไปด่าว่าเข้าก็เกิดโทษมาก แต่ต่อให้ท่านผิด ก็มีพระธรรมวินัย มีวิธีการต่าง ๆ ที่จะแก้ไข ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทานให้ ดังนั้น...จึงไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะไปด่าไปว่าในลักษณะอย่างนั้น

    เรื่องของพระเรื่องของนักบวชต้องบอกว่ามีคุณอนันต์ ขณะเดียวกันก็มีโทษมหันต์ ปฏิบัติดีทำได้ถูกต้อง ก็เกิดคุณประโยชน์มหาศาลอย่างคาดไม่ถึง เพราะว่าท่านเป็นปูชนียบุคคล เป็นทักขิเณยบุคคล แต่ถ้าหากว่าทำไม่ดีทำไม่ถูกต้อง ก็จะเกิดโทษมหันต์

    จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะ ต้องสำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ ใช้หลักสาราณียธรรม ๖ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ เมื่อจะคิดก็คิดด้วยเมตตา เมื่อจะพูดก็พูดด้วยเมตตา เมื่อจะทำก็ทำด้วยเมตตา หวังประโยชน์ต่อพระศาสนาจริง ๆ ไม่เช่นนั้นแล้วตัวเราก็จะเป็นทุกข์เป็นโทษเอง ต้องลงอบายภูมิไปเอง

    ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องบอกว่า "เสียทีที่เกิดมา" เพราะว่าการที่เราเกิดมานั้น มีโอกาสแม้แต่ความหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน แต่เรากลับเลือกเอาทางลงสู่อบายภูมิไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก"
    .....................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...