เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. ชมภูเขา

    ชมภูเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +526

    (b-wow) สวัสดีคะ ที่ตัอนรับ เห็นพี่นักเขียนสั่งพิเศษให้ ถึงหนาก็พอดีตัวคะ
     
  2. ชมภูเขา

    ชมภูเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +526
    ขอบคุณคะ ไม่ชมถูเขาแล้วจะชมอะไรดี ..เอชมถูเราก็แลวกันคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. ชมภูเขา

    ชมภูเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +526

    ขอบคุณคุณนกที่ เมตตาปราณีกับเด็กใหม่ คงต้องระวังคุณมายด์ให้มากๆๆๆ เห็นบอกมาหลายท่านแล้ว...ว่าชอบกินตับจริงๆๆ...เลย
     
  4. ชมภูเขา

    ชมภูเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +526
    ขอบคุณคะคุณพีเฉลย ต้องได้ใช้บริการคุณพี่แน่นอนคะ ชมภูเขา ฟูจิไปก่อนนะคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3185348_1.jpg
      3185348_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.2 KB
      เปิดดู:
      224
  5. ชมภูเขา

    ชมภูเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +526

    วันนี้คุณแก้วทิพย์ ....ครวญเพลงไม่เบาเลยนะ ยังงี้ต้องร้องหน้าชั้น จะเป็นหางเครื่องให้ ขอ Subaru Yo ละกัน เพลงนี้ฟังแล้ว สุดบรรยาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. ชมภูเขา

    ชมภูเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +526
    ไม่เป็นไรคะ เพ่งใหม่คะ
     
  7. ชมภูเขา

    ชมภูเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +526
    ขอบคุณพี่นักเขียน ที่กรุณาเลือกให้ คงเหมาะที่สุดแล้ว หนาๆก็ให้คุณ zipperก็แล้วกัน เห็นมีคนอยากได้ ทางที่ดีต้องั่งหลายๆตัว เห็นๆน้องมายด์ก็น่าจะได้ใช้นะคะ...และอีกคนคุณแก้วทิพย์..สงสัยจะใส่ไปเลี้ยงปลาโลมา
     
  8. ชมภูเขา

    ชมภูเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +526
    เรียนถามพี่นักเขียนเป็นคำถามแรกนะคะของเด็กใหม่ อาจจะเกียวเนื่องกันบ้างกับข้อความข้างบน แต่จะแตกต่าง ตรงที่ว่าเมื่อจิตของเราเข้าสู่ภาวะสงบในระดับหนึ่ง เราใช้มือสัมผัสบุคคลอื่น จะปรากฎภาพที่ชัดเจนเท่ากับการมองเห็นปกติของเราพร้อมกับเล่าเรื่องของที่มาของภาพนั้นทันที ว่าณ.จุดนั้นจุดเดียวจิตสามารถบรรยายออกมาว่าบุคคลที่ปรากฎในภาพนั้นกระทำอะไรจึงมาอยู่ในจุดนั้นได้ ...หลายๆคนที่เคยสัมผัสจะมีการ Display ไม่เหมือนกัน อยากเรียนถามว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการเกิดขึ้นในลักษณะใดของจิตวิญญานของเรากับจิตวิญญานของผู้ที่ถูกเราสัมผัส คะ
     
  9. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ในที่นี้พี่นักเขียนก็ต้องขอออกตัวอีกตามเคยว่า ไม่ใช่ผู้ชำนาญทางด้านพุทธศาสนา แต่นำความเข้าใจจากข้อมูลที่ได้รับจากท่านอาจารย์อนาลัยมาพยายามอธิบายความรู้เดิมบางส่วน หากผู้รู้ทางคัมภีร์ศาสนาจะแสดงความคิดเห็นแตกต่างกับพี่นักเขียน ก็คงต้องขอเรียนเชิญให้อ่านสาระจากหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัยก่อน แล้วค่อยมาแสดงความคิดเห็นร่วมกันนะคะ เพราะมิฉะนั้นแล้วจะไม่อาจสื่อสารหรือทำความเข้าใจร่วมกันได้ เพราะจะเป็นกลายการอ้างอิงจากข้อมูลต่างชุดกัน เสมือนว่าพูดกันคนละภาษา ทำให้เข้าใจกันได้ยากและรังแต่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งซึ่งไม่สนับสนุนให้เรียนรู้ได้ด้วยกันทุกฝ่าย จึงขอชี้แจงไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

    พี่นักเขียนเคยได้ยินคำว่า ฌานสมาบัติ ซึ่งหมายถึงการเป็น ฌาน 5-8 ยาวนานได้ตังแต่ 7-49 วัน อ่านพบและได้ยินได้ฟังมาว่า ผู้ที่เข้าฌานสมาบัติจะมีคุณลักษณะเช่่นเดียวกับที่คุณน้องขจรวรรณกล่าวถึงคือ มีร่างกายคล้ายคนตาย แต่ที่ทราบมาจากพระอาจารย์สอนสมาธิของพี่นักเขียนและได้อ่านพบจากหนังสือเกี่ยวกับการทดสอบพระธิเบตระหว่างเข้าฌานสมาบัติด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์โดยนักวิทยาศาสตร์อเมริกัน ทราบว่าร่างกายของผู้ที่เข้าฌานสมาบัติจะคล้ายกับคนที่ตายใหม่ๆไม่เกิน 3 ชั่วโมง คือตัวไม่ได้แข็งทื่อ ลมหายใจอ่อนจนเสมือนไม่มี ชีพจรอ่อนแต่ก็ยังวัดได้ อุณหภูมิิในตัวลดลงและสีผิวเปลี่ยนไป

    เมื่อพี่นักเขียนอธิบายว่า การจดจ่อให้สติสัมปชัญญะคงอยู่ระหว่าง ฌาน 4 กับ 5 นั้นเป็นภาวะที่เป็นไปไม่ได้นานนั้น เป็นจริงสำหรับทุกคนค่ะ รวมทั้งผู้ที่อยู่ในฌานสมาบัติ เพราะภาวะที่อยู่ระหว่าง ฌาน 4 กับ 5 นั้น ร่างกายจะไม่เข้าสู่ภาวะที่คล้ายคนตาย แต่ละจากประสาทสัมผัสทั้งห้าหมด การกลับมาจดจ่อกับรูปกายอีกก็เป็นไปได้อย่างฉับพลัน ไม่เหมือนกับผู้ที่อยู่ในฌานสมาบัติ ซึ่งอยู่ในภาวะที่เป็นฌาน 5-8 ขึ้นไป แม้พระอาจารย์ที่สอนสมาธิพี่นักเขียน ซึงฝึกปฏิบัติสมาธิมายาวนานกว่า 65 ปีก็ยืนยันว่าภาวะระหว่างฌาน 4 กับ 5 จดจ่อได้เพียงเสี้ยววินาที แต่เมื่อฝึกฝนจนชำนาญแล้ว เข้าสู่ภาวะนี้ได้บ่อยๆ

    การเป็นฌานขั้นที่ 5-8 เป็นภาวะที่จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่ภาวะที่เป็นจิตวิญญาณ หรืออีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่า สติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับตัวตนภายนอก เปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่ทิศทางเดียวกับสติสัมปชัญญะที่จดจ่อกับตัวตนภายใน ร่างกายคงสภาพหรือมีชีวิตต่อไปได้ด้วยสติสัมปชัญญะที่จดจ่อกับรูปกายหรือร่างกายแต่เพียงอย่างเดียว เป็นเหตุให้พระอาจารย์ทั้งหลายต้องกำชับให้ลูกศิษย์เฝ้าร่างของท่านจนกว่าท่านจะกลับมาจดจ่อกับตัวตนภายนอกไดิอีก เพราะหากมีการเคลื่อนย้ายร่างกายหรือเปลี่ยนอิริยาบถ เท่าที่พี่นักเขียนเคยสอบถามพระอาจารย์สอนสมาธิของพี่นักเขียน อาจารย์ลัทธิเต๋า และอ่านพบจากการทดลองพระธิเบต ท่านบอกว่าจิตวิญญาณที่แปลงสภาวะหรือเปลี่ยนวิถีการจดจ่อกลับมาสู่รูปกายจะจำรูปกายนั้นๆไม่ได้หากมีการเคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยนอิริยาบถ ทำให้กลับคืนไปสู่การจดจ่อกับรูปกายเดิมไม่ได้ และจิควิญญาณจะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปรูปกายอื่นๆหรือดำเนินต่อไปเป้นบุคคลอื่นๆ ร่างเดิมนั้นจะตกอยู่ในภาวะนั้นได้ไม่เกิน 49 วัน หากเกินกว่านั้นย่อมถึงแก่ความตายของร่างกาย ตามธรรมเนียมธิเบตจึงไม่เคลื่อนย้ายหรือกระทำการอย่างใดกับรูปกายหรือศพ จนล่วงเลย 49 วันไปแล้ว

    ธรรมเนียมพุทธของไทยเรา ก็เคยใช้กำหนด 50 วันเป็นเกณฑ์ก่อนที่จะทำการเผาศพ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป สภาวะทางสังคมเปลี่ยนไป กำหนดเวลาต่างๆถูกลืมเลือนไปว่ามีเหตุผลมาจากอะไร ผู้คนหันไปกำหนดเวลาเอาฤกษ์สะดวกเป็นเกณฑ์คือตั้งสวดศพ 7 วันก็เผาแล้วก็มี

    วิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ก็ไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับจิตวิญญาณ เมื่อร่างกายหยุดทำงานในทิศทางที่แพทย์เรียกว่าเป็นปกติ รูปกายหรือร่างกายนั้นๆก็ถูกตัดสินว่าถึงแก่ความตาย และก็ได้รับการฉีด Formalin ไม่ให้เน่าเปื่อยทันที ทำให้รูปกายที่ดูเสมือนคล้ายคนตาย อาจต้องตายลงด้วย Formalin ก่อนที่จิตวิญญาณจะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อกลับคืนมาสู่ร่างก็เป็นได้ พระอาจารย์สอนสมาธิของพี่นักเขียนท่านกล่าวว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่มีการตั้งสวดศพ 7 วันมีเหตุผลคือ ผู้ตายกว่าจะรู้ตัวว่าตาย มักจะล่วงเลย 7 วันไปแล้วเป็นอย่างน้อยที่สุด

    การฝึกปฏิบัติในทิศทางที่เรียกว่า ฌานสมาบัตินี้ พี่นักเขียนเข้าใจจากคำอธิบายของพระอาจารย์ผู้สอนสมาธิของพี่นักเขียนมาว่า เป็นหนทางแห่งสายวิปัสสนา ซึ่งเป็นไปด้วยเป้าหมายที่จะบรรลุการเป็นจิตวิญญาณที่ปราศจากรูปกายหรือไปสู่ภาวะที่พระคัมภีร์เรียกว่า นิพพาน

    แต่ผู้ที่ยังมีชีวิตและหน้าที่การงาน ความรับผิดชอบและสัมพันธภาพกับครอบครัว ญาติมิตร มักจะไปไม่ถึงฌานสมาบัติ เพราะต่างก็มีความกังวลห่วงใยมากมาย แม้จะมีเป้าหมายอยากจะนิพพานเพราะเล็งเห็นว่าเป็นเป้าหมายสูงสุด แต่สติสัมปชัญญะก็ไม่อาจเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่ภาวะอันเป็นฌาน 5-8 ได้นานหรือเป็นไปได้โดยปราศจากความปรารถนาที่จะกลับมา ผู้ที่ฝึกสมาธิโดยแสวงหาสัปปายะ แสวงหาความวิเวก และไปได้ถึงฌาน 5-8 บ่อยๆมักพบว่า เมื่อกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติจะเบิื่อโลก และปรารถนาความสงบสุขทางจิตแต่อย่่างเดียว บางคนถึงกับมีความรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิต เพราะภาวะอันเป็นไปในฌานสมาบัตินั้น พี่นักเขียนเข้าใจตามคำอธิบายของท่านอาจารย์อนาลัยที่ว่า เป็นการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่การเป็นภาวะที่เป็นจิตวิญญาณ ปราศจากรูปกาย ทำให้หมดความปรารถนาในระดับกายภาพ

    พี่นักเขียนเชื่อคำสอนของท่านอาจารย์อนาลัยที่ว่า จิตวิญญาณมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังเพื่อแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิต เมื่อการแสวงหานี้เติมเต็มแล้วการถือกำเนิดในวงจรของชาติภพจะจบลง และจิตวิญญาณจะดำเนินชีวิตต่อไปในวงจรชีวิตนอกเหนือชาติภพ แต่ท่านก็กล่าวว่า ทั้งหมดนี้เป็นการอธิบายถึงความเป็นไปของจิตวิญญาณตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก แต่ตามธรรมชาติแล้วจิตวิญญาณอยู่นอกเหนือช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ซึ่งหมายความว่า ชีวิตทุกชาติภพ วงจรชีวิตของชาติภพ และวงจรชีวิตนอกเหนือชาติภพ มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันเป็นปัจจุบัน การพัฒนาของจิตวิญญาณก็เป็นไปอย่างเป็นระบบ ไม่ได้เป็นไปทีละล่าง ทีละชาติภพ

    เมื่อการแสวงหาช่องว่างแห่งประสบการณ์ชีวิตตามเส้นทางแห่งกาลเวลาของเรายังเป็นไปไม่เติมเต็ม จิตวิญญาณยังคงเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะแสวงหาประสบการณ์ทางกายภาพต่อไป ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าเราจะฝึกฌานสมาบัติจนเบื่อโลกเพียงใด เราก็ยังไม่ได้ไปถึงภาวะที่อิ่มตัว หรือเติมเต็มประสบการณ์ชีวิตได้มากพอที่จิตวิญญาณจะเลือกที่จะเลิกมาถือกำเนิดในวงจรของชาติภพอีก ต่อเมื่อจิตวิญญาณได้เติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตจนสมบูรณ์์แล้ว จิตวิญญาณจึงสามารถดำเนินต่อไปนอกเหนือวงจรของชาติภพ เป็นภาวะอันเป็นจิตวิญญาณที่ปราศจากรูปกายได้ หรือกลับไปสู่ภาวะต้นกำเนิดอันเป็นแก่นแท้อันบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณ คืิอเป็นความรู้

    หากเราพิจารณาเรื่องราวต่างๆจากพุทธประวัติ เช่น การบำเพ็ญบารมี ๑๐ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นำไปสู่การเป็นพุทธ เราจะพบเรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงชาติภพที่การเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ของจิตวิญญาณและการค้นพบคุณค่าอันเป็นอมตะของพระพุทธองค์เป็นไปอย่างบริบูรณ์ การปรารถนาในชีว้ตที่ปราศจากรูปกายนอกเหนือชาติภพจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ส่วนประวัติของพระเยซูก็แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัตอันเป็นอมตะของจิตวิญญาณไม่น้อยไปกว่ากัน

    ในที่นี้พี่นักเขียนแสดงความคิดเห็นส่วนตัวตามความเข้าใจส่วนบุคคลว่า ท่านอาจารย์อนาลัยสอนให้เราแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิต เพื่อค้นให้พบคุณภาพอันเป็นอมตะของจิตวิญญาณ ซึ่งแม้ว่าท่านอาจารย์อนาลัยจะไม่ได้แจกแจงไว้ในหนังสือ อมตะของจิตวิญญาณว่า คุณค่าอันเป็นอมตะเหล่านั้นมีอะไรบ้าง แต่่ท่านได้กล่าวย้ำเสมอว่า จิตวิญญาณมาถือกำเนิดเพื่อเรียนรู้คุณค่าของความรัก อันเป็นแก่นแท้ของจิตวิญญาณที่เสมอเหมือนกับต้นกำเนิด และเรียนรู้ที่จะให้อภัย หรือเปลี่่ยนความเกลียดเป็นความรัก และท่านได้กล่าวย้ำว่า เป้าหมายหลักของจิตวิญญาณคือ การเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ ทั้งหมดนี้เป็นคุณสมบัติที่พี่นักเขียนเข้าใจว่า พวกเราคงจะมองเห็นได้ไม่มากก็น้อยว่า ล้วนเป็นคุณสมบัติอันเป็นอมตะของจิตวิญญาณที่เรารู้เห็นได้ในชีวิตประจำวัน เมื่อเราได้รับความรักและการให้อภัย หรือเป็นผู้ให้ความรักและให้อภัยผู้อื่น เราตระหนักได้ด้วยกันทุกคนว่า คุณสมบัติด้งกล่าวนี้เป็นสิ่งล้ำค่าและพบได้ในทุกศาสนา และเป็นคุณสมบ้ติที่ไม่ใช่ว่าจะมีพร้อมกันได้ทุกคนได้โดยง่าย เพราะเรามักจะรักหรือให้อภัยอย่างมีเงื่อนไข การรักหรือให้อภัยโดยปราศจากเงื่อนไขจึงเป็นคุณสมบัติอันเป็นอมตะของจิตวิญญาณที่เข้าถึงไม่ได้ง่ายๆ เราอาจต้องเรียนรู้หลายชาติภพที่จะเข้าให้ถึงคุณสมบัติเหล่่านี้และคุณสมบัติอื่นๆอีก เช่น การเสียสละ การเห็นแก่ประโยชน์สุขของผู้อื่นเป็นที่ตั้ง การชื่นชมยินดีในนความสำเร็จของผู้อื่น ฯลฯ ล้วนเป็นคุณสมบัติอันเป็นอมตะที่จิตวิญญาณต้องเรียนรู้อีกมาก เพราะเรายังยึดติดกับความเชื่อมากมายที่ทำให้เราเสียสละไม่เป็น เห็นแก่ประโยชน์สุขของผู้อื่นเป็นที่ตั้งได้ยาก ชื่นชมยินดีในนความสำเร็จของผู้อื่นได้ยาก เป็นต้น

    อย่างไรก็ตาม ท่านอาจารย์ก็ไม่ได้กล่าวว่า จิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังจะบรรลุเป้าหมายไม่ได้ หากแต่ว่าท่านสอนให้พวกเราตระหนักว่า เราสามารถทำหน้าที่ของเราได้อย่างดีที่สุดที่จะบรรลุเป้าหมายทางจิตวิญญาณได้โดยการแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตให้สมบูรณ์ได้ด้วยการตระหนักว่า จิตวิญญาณก่อเกิดประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดได้ด้วยการจดจ่อและความเชื่อของเราเอง หากเราตระหนักได้ เราจะพบว่าการการแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตให้สมบูรณ์เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และเราทำได้เสมอ ชีวิตจะไม่ใช่ของยากที่เราจะต้องรีบเบื่อหน่าย แต่เราจะพบว่าเราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างร่าเริ่งเบิกบานเพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตให้ได้อย่างดีที่สุด

    พี่นักเขียนได้รับฟังการแสดงความรู้สึกส่วนตัวจากคนรู้จักกันที่บอกกับพี่นักเขียนว่า ผมเบื่อโลกแล้ว ชาตินี้ขอเป็นชาติสุดท้าย จะได้ไม่ต้องลำบากอีก จะตั้งจิตขอนิพพานให้ได้ในชาตินี้ แล้วเขาก็ถามว่า พี่นักเขียนจะขอนิพพานหรือไม่ชาตินี้

    พี่นักเขียนตอบว่า ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า เราทั้งหลายมาถือกำเนิดในโลกนี้ เพราะเรารักที่จะมาแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตในโลกอันเป็นกายภาพ หากการแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตยังเป็นไปไม่สมบูรณ์ เราก็จะกลับมาแล้วกลับมาอีกจนกว่าจะเติมเต็มและสมบูรณ์

    พี่นักเขียนเชื่อว่า พี่นักเขียนจะเกิดแล้วเกิดอีกในชาติภพต่างๆมากมายจนกว่าจะเติมเต็ม พูดง่ายๆได้ว่า อิ่มแล้วจึงจะเลิก เลิกเมื่อไรก็ละได้ แม้ชาติภพนี้ก็ยังอยากเรียนรู้อีกมากมาย ยังไม่สามารถเติมเต็มความรู้และประสบการณ์ที่จะทำให้รู้จักคุณค่าชีวิตอีกมากมาย เมื่อพิจารณาตามที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า ทุกชาติภพมีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป พร้อมกันหมดเป็นป้จจุบัน พี่นักเขียนจึงเชื่อต่อไปอีกว่า ณ จุดยืนอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติภพนี้ของเราแต่ละคน เราจะพบว่า เราตระหนักได้ในส่วนลึกไม่วันใดก็วันหนึ่งว่า หน้าที่และเป้าหมายที่แท้จริงที่เราเลือกมาถือกำเนิดในชาติภพนี้คืออะไร และเมื่อพบแล้ว สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือ ทำหน้าที่นั้นอย่างดีที่สุด คือแสวงหาความรู้ให้ได้มากที่สุด และอยู่ในตำแหน่งหน้าที่อันมีจุดยืนเป็นเอกลักษณ์ของตนอย่างดีทีึ่สุด เพราะการเป็นบุคคลตัวตนนั้นๆอย่างดีที่สุดในระบบเครือข่ายของจิตวิญญาณ จะสนับสนุนให้การเป็นบุคคลตัวตนอื่นๆในระบบก้าวหน้าไปด้วยกันทั้งหมด เหมือนที่พวกเราห้องวิทย์ฯกำลังทำหน้าที่ของแต่ละคนอย่างดีที่สุดที่จะสนับสนุนซึ่งกันและกันอยู่ในขณะนี้ ฟาดกันแรงไปนิดก็ไม่ว่ากัน แบ่งขนมกันหน่อย แบ่งรอยยิ้มและเสียงเพลงกันนิด แบ่งปันความรักให้กันรายวัน ระบบห้องวิทย์ฯของเราก็พัฒนาก้าวหน้าไปได้ 1 เดือน เหมือน 10 ปี เรียกว่าเติมเต็มได้อย่างรวดเร็ว


    ขอสรรเสริญ คุณ Mead หัวหน้าห้องผู้ก่อตั้งห้องวิทย์ฯ อีกรอบค่ะ ตะเบ๊ะ (rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2007
  10. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พูดถึงจิตวิญญาณเสมือนร่วมร่างต่างมิติในอดีด-ปัจจุบ้น-อนาคต พี่นักเขียนเข้าใจว่าคำว่ามนุษย์ต่างดาวในความหมายของนักวิทยาศาสตร์นั้น แตกต่างกับความหมายในนัยของจิตวิญญาณเป็นอันมาก

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ใน โนวา อนาลัย ขยายความธรรมชาติของชาติภพว่า ภพภูมิไม่จำเป็นจะต้องเป็นดาวเคราะห์ต่างๆเสมอไป ภพภูมิไม่ได้เป็นสถานที่ ไม่กินเนื้อที่และสามารถอยู่ซ้อนกันกับโลกของเราได้ แต่ดาวนพเคราะห์บางดวงก็เคยถูกใช้เป็นภพภูมิมาแล้ว

    คำว่ามนุษย์ต่างดาวในนัยของนักวิทยาศาสตร์ (alien) ระบุถึงความแตกต่างหลายประเด็นด้วยกันคือ มาจากต่างท้องที่ และ เป็นบุคคลหรือตัวตนที่ไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมและวัฒนธรรมท้องที่นั้นๆ ถูกกำหนดแปลกแยกไปจากกฏเกณฑ์หลักของสังคมท้องถิ่น เช่น พี่นักเขียนเป็น legal alien ของอเมริกา ก็ต้องถือ green card จึงจะทำงานได้ถูกต้องตามกฏหมายและได้รับการเอื้อเฟื้อหรือชดเชยต่างๆจากรัฐบาลเหมือนคนทัองถิ่น ในขณะที่คนอเมริกันท้องถิิ่นเขาไม่ต้องมีบัตรนี้ก็ได้รับการเอื้อเฟื้อหรือชดเชยต่างๆจากรัฐบาล และพี่นักเขียนก็ยังไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งกะเขา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแปลแยกโดยสิ้นเชิง ส่วนพวกที่เป็น illegal alien คือเข้ามาอยู่ในอเมริกาโดยไม่มี visa ไม่มี green card ก็ยิ่งแปลกแยกและหมดสิทธิ์หลายอย่างไปกว่าอีก พอดีพอร้ายถูกจับได้ก็ถูกส่งกลับถิ่นเดิม

    ในทางตรงกันข้าม คำว่ามนุษย์ต่างดาวในนัยของจิตวิญญญาณน่าจะหมายถึง สิ่งมีชีวิตต่างมิติ คุณ zip อ้างอิงคำนิยามที่ท่านอาจารย์อนาลัยเรียกว่าเป็นจิตวิญญาณเสมือนร่วมร่างต่างมิติ ก็น่าจะถูกต้องทีเดียว แต่ในนัยของจิตวิญญาณตามที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวถึงว่าเป็นจิตวิญญาณเสมือนร่วมร่างต่างมิติ ซึ่งเป็นรากฐานส่วนหนึ่งของการถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตนของเราในชาติภพนี้และทุกชาติภพ กล่าวได้ว่า มนุษย์ต่างดาว หรือสิ่งมีชีวิตต่างมิติ เป็นส่วนหนึ่งของเรา และเราเป็นส่วนหนึ่งของเขาอย่างแยกกันไม่ได้

    พี่นักเขียนเข้าใจว่า สิ่งมีชีวิตต่างมิติ หรือ รูปกายที่เป็นมนุษย์ต่างดาว หรือ จิตวิญญาณเสมือนร่วมร่างต่างมิติของคุณ Mead และของพวกเราทั้งหลาย ไม่ได้เป็นจิตวิญญาณที่ไม่ยอมมาเกิดในโลกมนุษย์นะคะ แต่พวกเขาน่าจะเป็นจิตวิญญาณที่เลือกไปถือกำเนิดในสภาวะแวดล้อมจำเพาะอื่นๆ เพื่อเผชิญกับความท้าทายและแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตในทิศทางอื่นๆที่โลกมนุษย์ไม่อาจจะเอื้ออำนวยได้ แต่มิติอื่นๆ ภพภูมิอื่น หรือดาวนพเคราะห?ฺ์อื่นๆ หรือเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่นๆเอื้ออำนวยได้ ทำให้จิตวิญญาณรวมสามารถเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิต ครอบคลุมได้กว้างไกลไร้ขีดจำกัด

    มนุษย์ต่างดาวของห้องวิทย์ฯจึงเป็นไปในนัยของจิตวิญญาณโดยแท้ พี่นักเขียนรู้สึกปลื้มจริงๆที่มาอยู่ท่ามกลาง Einstein ที่คุ้นเคยกับสาระของจิตวิญญาณ กับ alien ที่คุ้นโลกมนุษย์ ชักสงสัยเหมือนกันว่าห้องวิทย์ฯของเรานี่อยู่ภพภูมิไหนนะ ทำไม่จึงกว้างขวางไร้พรมแดนดีจัง

    ตอนคุณ Mead แกชวนพี่นักเขียนมาเข้าห้องวิทย์ฯนี่ก็ติดๆขัดๆกว่าจะเข้ามาได้ แต่พอรู้ตัวอีกทีก็ beam มาอยู่กลางวงสั้มตำซะแล้ว ตั้งแต่เข้ามายังหาประตูออกไม่เจอเลยค่ะ เห็นมีแต่ประตูขาเข้าทางเดียวจึงมีสมาชิกใหม่ๆเข้ามาอยู่เรื่อย คุณ zip หาเสื้อแบบใส่แล้วล่องหนแบบ Harry Potter ให้สักตัวสิคะ เสื้อเกราะนี้ตุ้ยนุ้ยจัง ถึงเจอประตูขาออกก็คงออกไม่ได้อยู่ดี คับประตู (rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2007
  11. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พี่นักเขียนเข้าใจว่าประสบการณ์ของคุณน้องชมภูเขาน่าจะเป็นภาวะเดียวกันกับการโทรจิต หรือรับข้อมูลจากจิตวิญญาณสู่จิตวิญญาณได้โดยตรงเหมือนกับกรณีคุณน้องขจรวรรณถามมา ต่างกันตรงที่คุณน้องชมภูเขาใช้สัมผัสเป็นสื่อในการจดจ่อ ส่วนกรณีที่พี่นักเขียนแนะนำคุณน้องขจรวรรณนั้นให้ใช้จดจ่อด้วยความคิดหรือจินตภาพ ??โดยนึกคิดถึงบุคคลที่เราต้องการสื่อสารด้วย หรือรับถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของเขา

    พี่นักเขียนไม่เคยใช้วิธีสัมผัสผู้อื่นด้วยการใช้มือสัมผัสนะคะ แต่หากคิดเปรียบเทียบกับการเป็นแม่และเป็นภรรยาแล้วกอดลูก กอดคนรักเวลาลูกหรือสามีทุกข์กายหรือใจ อารมณ์ที่จดจ่อกับเขาก็ทำให้รับถ่ายทอดความรู้สึกทางกายทางใจของเขาได้ แม้เขาจะยังไม่ได้บอกกล่าว แต่การสัมผัสหรือการกอดก็มักทำให้รับรู้เรื่องราวได้เหมือนกันไม่มากก็น้อย จริงๆแล้วมนุษย์เราก็มักจะทำเช่นนั้นเสมอๆ เช่น เวลาที่เราเห็นใจผู้ใด แม้จะเป็นคนแปลกหน้า เมื่อเขาแสดงให้เราเห็นถึงความทุกข์ บางทีเราก็อดไม่ได้ที่จะจับแขน ลูบหลัง โอบ หรือสัมผัสเขา เพราะการสัมผัสทำให้เราสามารถร่วมรู้สึกกับเขาได้ การร่วมรู้สึกเป็นคุณสมบัติหนึ่งในหลายๆคุณสมบัติของประสาทสัมผัสภายใน ซึ่งท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ในหนังสือ ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ บทที่ 4 ประสาทสัมผัสภายใน หน้า 44

    การที่จะรู้ได้ว่าภาวะของจิตวิญญาณของเราและของผู้ถูกสัมผัสนั้นอยู่ในภาวะใด เราจะต้องรู้ถึงอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตนเอง เพราะการสัมผัสแต่เพียงอย่างเดียวจะรับ-ส่ง หรือถ่ายทอดไม่ได้หากปราศจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด

    อันนี้ต้องขอคุณน้องชมภูช่วยเขาขยายความให้พวกเราฟังอีกหน่อยว่า เมื่อรู้สึกว่าจิตรวมลงเป็นสมาธิแล้วสัมผัสผู้อื่น แล้วเห็นจินตภาพเรื่องราวความเป็นมาของเขานั้น คุณน้องชมภูเขาจดจ่อกับอะไร มีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดอย่างไรในขณะนั้นที่รับรู้ได้ พี่นักเขียนเชื่อว่าเราจะพบ คำตอบในอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดนั้นๆค่ะ พวกเราชาวห้องวิทย์ฯกำลังจะได้ความรู้ใหม่จากน้องใหม่ เชิญพวกพี่ๆมานั่งหน้าห้อง มาชมภูเขากันหน่อยค่ะ ระวังน้องนกหน่อยแล้วกัน ถ้าน้องนกหลับอยู่อาจโดนลูกหลง
    (rose)
     
  12. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    Good Nightค่ะพี่นักเขียน หลับไปแล้วตื่นมาอ่านบอร์ดนี้ตอนตี3
    ขอไปนอนต่อก่อนแล้วกันค่ะ แต่คืนนี้คงไม่ได้ฝันว่าไปฟาดใครอีกนะเนี่ย

    คุณชมภูเขาน่ารักจัง เข้ามาทักทายพวกเราทุกคนเลย คึกคักดีจ้า
     
  13. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พวกเราห้องวิทย์ฯส่วนใหญ่ใช้เครื่อง PC กันใช่ไหมคะ พี่นักเขียนเป็น alien ใช้เครื่อง Apple Macintosh เปิด file ของคุณ zip ไม่ได้ค่ะ ช่วยแนะนำหน่อยนะคะหรือคุณ zip จะทำอย่างไรให้เปิดได้ทั้ง 2 platform เช่นทำเป็น e-Book ที่เป็น pdf ได้ไหมเอ่ย ?(rose)
     
  14. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ความฝัน 17 กันยายน 2007 - ฝันถึงท่านอาจารย์อนาลัย

    คืนวันที่ 17 กันยายน 2007

    พี่นักเขียนฝันว่าท่านอาจารย์อนาลัยมาปรากฏซ้อนกันก้บอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้เป็นหญิง ท่านกำหนดให้พี่นักเขียนไปร่วมงานที่มีการจัดเลี้ยงใหญ่โต พี่นักเขียนตั้งใจว่าจะแต่งกายแบบเรียบง่ายธรรมดาที่สุดไป เพราะตระหนักว่าคนที่มาในงานนี้มีทุกเพศ ทุกวัยและทุกระดับสังคม ผู้คนรอบตัวเตรียมตัวกันใหญ่เพราะเป็นงานสำคัญมาก

    ท่านอาจารย์ได้มอบปิ่นปักผมให้พี่นักเขียน 2 อัน ทั้งสองอันเป็นเงินและทองอยู่ในตัว เมื่อรับมาแล้วก็คิดว่าจะนำไปเก็บ เพราะรู้ว่ามีค่ามาก ไม่กล้านำไปปักผม แต่ท่านกลับสั่งว่าให้รวบผมและใช้ปิ่นปักผมในงานคืนนีี้ พี่นักเขียนก็ยังคิดว่าจะแต่งกายธรรมดาๆอยู่ดี พอคิดเช่นนั้นก็ปรากฏว่า ทำแปลงผมของพี่นักเขียนเป็นทรงที่ประณีตมากและปักด้วยปิ่นปักผมทั้งสองอันอย่างพอดิบพอดีหาที่ติไม่ได้ พี่นักเขียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสวมเสื้อผ้าชุดที่ประณีตที่สุดที่ตนมี เป็นชุดสีทองและเข้ากับปิ่นปักผมและทรงผมที่ท่านนิมิตให้

    ไปถึงงานเลี้ยง เป็นห้องประชุมใหญ่ซึ่งมีเวทีอยู่ด้านหนึ่ง มีคนเนืองแน่นนับพัน สามีของพี่นักเขียนได้โต็ะกลางหน้าเวที ตัวเขาเสียสละหันหลังให้เวที และจัดให้ท่านอาจารย์อนาลัยนั่งหันหน้าเข้าหาเวที ท่านก็ไม่นั่ง แต่กลับนั่งทางด้านขวามือของสามีพี่นักเขียน พี่นักเขียนก็เลยนั่งทางด้านซ้ายมือ ซึ่งตรงกันข้าม หรือหันหน้าเข้าหาท่านอาจารย์อนาลัย

    สักครู่เมื่ออาหารจานแรกมา serve เป็นซุปมีปลาเนื้อขาวบริสุทธิ์อยู่ในถ้วย พี่นักเเขียนยังไม่ทันแตะอาหาร ท่านอาจารย์ก็กล่าวขึ้นว่าให้พี่นักเขียนแลกที่กับสามี พี่นักเขียนก็ลุกขึ้นแลกที่นั่งกับเขาโดยไม่มีข้อข้องใจ เพราะคิดว่าท่านจะสั่งงาน พอนั่งหันหลังให้เวที ท่่านก็กล่าวว่า "เธอจะต้องนั่งในที่ที่คนทั้งหลายแลเห็นเธอได้" พี่นักเขียนตกใจหมด เพราะตระหนักว่าเรานั่งอยู่ตรงโต๊ะหน้าเวทีพอดีและกำลังหันหลังให้เวที กล่าวคือหันหน้าเข้าหาทุกคนในห้องประชุมนั้น

    ไม่ทันจะหายตกใจ ท่านก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงดังเหมือนฟ้าผ่าโดยเอ่ยชื่อจริงของพี่นักเขียนแล้วสั่งให้ยืนขึ้น พี่นักเขียนก็ยืนขึ้นด้วยความงงไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป แล้วท่านกล่าวว่า "เขาได้รับรางวัลที่ 1 และในวันนีัเขาจะมาแบ่งปันรางวัลของเขากับผู้โชคดีคนต่อไป"

    พี่นักเขียนตกใจว่า เราได้รางวัลที่หนึ่งเลยหรือนี่ และเมื่อท่านกล่าวว่าจะแบ่งปันให้ผู้โชคดีรายต่อไป พี่นักเขียนก็คิดถึงเพื่่อนคนหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนกระทั่งประถมปลาย แต่เนื่องจากครอบครัวของพี่นักเขียนกับครอบครัวของเพื่อนมีพื้นฐานต่างกัน แม่ของเขาจึงสั่งไม่ให้คบกัน เพราะเกรงว่าฐานะทางสังคมของครอบครัวพี่นักเขียนจะทำให้พี่นักเขียนดูถูกลูกสาวของเขาในวันหน้า และไม่อยากให้ลูกของเขาเสียใจ ทำให้เพื่อนซึ่งเคยรักกันมาแต่เล็กๆกลับกลายเป็นห่างเหินจนกลายเป็นคนแปลกหน้า พี่นักเขียนมองหาเพื่อนคนนี้และอยากแบ่งปันกับเขาเป็นคนแรก แต่ก็หาเขาไม่พบ

    เมื่อท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่าจะแบ่งปันให้กับผู้อื่นต่อไป พี่นักเขียนรู้ว่ามีคนจำนวนมากที่รู้สึกเสมือนว่า เขาอยู่เบื้องหลังเราหรือเป็นอดีตของเรา พวกเขายกมือขอรับแบ่งปัน แต่ท่านอาจารย์อนาลัยกลับระบุไปที่กลุ่มชนที่อยู่เบื้องหน้าหรือในอนาคตของพี่นักเขียน

    มีสตรีผู้หนึ่งถูกท่านเรียกชื่อ เขาลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม พี่นักเขียนก็รู้สึกดีใจมากเสมือนว่ามีคนมารับหน้าที่สำคัญต่อแล้ว เราคงจะนั่งลงได้แล้ว ปรากฏว่าเพียงแค่คิด ท่านอาจารย์อนาลัยก็กล่าวชื่อคนอื่นๆต่อไปอีกหลายชื่อ เป็นสิบ เป็นร้อย ทุกคนที่ถูกเรียกก็ยืนขึ้นเต็มไปหมดราวกับ domino effect

    พี่นักเขียนเห็นด้งนั้นก็รู้สึกปลื้มมากๆ แรกเริ่มคิดว่ายินดีจะแบ่งปันกับเพื่อนรักตั้งแต่วัยเด็ก แต่เมื่อมีคนมาแบ่งปันกับเรามากมายปานนั้น ก็ตระหนักว่ารางวัลนั้นยิ่งใหญ่และมากมายมหาศาลขนาดว่าแบ่งปันได้กับคนหลายร้อย

    พี่นักเขียนรู้สึกตื้นตันและหันไปมองท่านอาจารย์อนาลัยอยากจะขอบพระคุณท่าน แต่ท่านก็หายวับไปจากความรู้สึกพร้อมกับทิ้งสารไว้ว่า "เธอสอบผ่าน"

    พี่นักเขียนตกใจตื่นขึ้นอย่างฉับพลันพร้อมกับเสียงที่ยังก้องอยู่ในโสตประสาทว่า "เธอสอบผ่าน"

    รู้สึกว่าเป็นฝันที่ดีเหลือเกิน วันที่ 17 กันยายนก็เป็นวันครบรอบแต่งงาน 27 ปีของพี่นักเขียน จึงรู้สึกว่าช่างเป็นวันดีอะไรเช่นนั้น

    ตอนแรกคิดว่าจะไม่เล่าให้พวกเราฟังเพราะนึกว่าเป็นความฝันส่วนตัวที่เกี่ยวกับวันครบรอบแต่งงาน แต่ยิ่งหวลคิดถึงความฝันก็ยิ่งชัดเจนว่า ความฝันนี้เกี่ยวกับพวกเราทุกคน จะไม่เล่าก็ไม่ได้ อ่านความฝันของน้องนกแล้วก็ยิ่งทำให้เชื่อมั่นว่า ความฝันนี้ซ้อนกันกับความฝันของน้องนก และเป็นความฝันที่มีความหมายสำหรับพี่นักเขียนและห้องวิทย์ฯของเรามาก

    ณ วันนี้ พวกเราอาจจะมองเห็นห้องวิทย์ฯเป็นศูนย์กลางของการชุมนุมเล็กๆ แต่เราก็ไม่รู้ได้ว่านับแต่นี้ต่อไปมันจะกลายเป็นศูนย์กลางของอะไร หัวหน้าห้องของเราจะกลายเป็นอะไร (gas) และพวกเราจะกลายเป็นอะไรในวันหน้า พี่นักเขียนทราบแต่เพียงว่า ไม่ว่าห้องวิทย์ฯของเราจะกลายเป็นอะไรในวันหน้า พวกเราในวันนี้ทุกคนมีส่วนร่วมในการให้มันเป็นไป และขอขอบคุณทุกคนไว้ล่วงหน้า เพราะหากขอบคุณช้าไป จะขอบคุณเท่าไรๆก็อาจจะไม่พอค่ะ (rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2007
  15. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ทำเป็นไฟล์ word แล้วก็แปลงเป็น pdf ได้ครับ จะมีไฟล์ format อื่นที่เปิดได้ทั้งสอง platform อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้แฮะ แต่ถ้าเครื่องพี่นักเขียนเปิด pdf ได้ ก็ทำเป็น pdf ได้


    อ่านเรื่องความฝันที่พี่นักเขียนเขียนมาแล้ว รู้สึกตื้นตันไปด้วยเลยแฮะ
    ^-^
     
  16. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    ยินดีให้บริการครับ แต่ไม่ตอบคำถามนะ อาจารย์นักเขียน ท่านจะตอบให้ แต่ถ้าให้แบ่งปันประสบการณ์ยินดีครับ ยังต้องระวังเรื่อง การเป็นผู้รู้ ผู้ตอบคำถาม และน้องชมภูเขาต้องถามเยอะๆ ถามเผื่อพี่ๆด้วย ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นคำถาม เชย ๆ พวกพี่ๆกำลังกระหายที่จะเรียนรู้ มันไม่อิ่ม เพราะอาจารย์ตอบแต่ละครั้งก็เป็นความรู้ที่ต้องการทราบ เพราะพี่ก็ไม่รู้จะถามอะไรเหมือนกันถ้าปัญหาไม่ทับอกจริงๆ ก็เหมือนเราเรียนในห้องเรียนเลย ครูถามว่าเข้าใจมั๊ย หลายคนจะตอบว่าเข้าใจ ครูก็ถามอีกว่า เข้าใจว่าอย่างไร หลายคนก็ไม่รู้ว่าจะตอบครูอย่างไร และน้องๆที่เข้ามาอ่านในห้องวิทย์นี้ที่ยังไม่เป็นสมาชิกหรือเป็นแล้วแต่อยากถามคำถาม เกี่ยวกับ ความฝัน มิติ จิตวิญญาณ ก็ถามได้ แบ่งปันประสบการณ์กันได้ ไม่ต้องกลัวว่าคำถามจะล้าสมัย ไม่ว่าการฝึกฝันซึ่งอาจารย์สอนไว้ในหน้าแรกๆ ก็ถามได้ เพราะพี่ๆก็อยากรู้เหมือนกัน เพราะปัจจุบันพี่ๆยังฝึกกันไปไม่ถึงไหนเลย ยังอยู่ชั้นประถมอยู่ฮะ
     
  17. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    แสดงความยินดีกับพี่นักเนื่องในโอกาสครบรอบแต่งงาน และยังได้รับรางวัลพิเศษจากอาจารย์อนาลัยในคืนวันนั้นด้วยครับ พอเห็นเลข 11 หรือ 7 ที่ไรต้องมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวพันกับพี่นักเขียนทุกที เออ..แล้วทำไมเมื่อคีนนี้ผมก็ฝันเรื่อง"รางวัล"ด้วยครับ? แต่ฉากยังอยู่ในเกมส์โชว์หรือรายการ tv ในห้องส่งที่กว้างแบบ Convention Hall มีคนมาร่วมสนุกเล่นเกมส์และเดินผ่านไปผ่านมามาเยอะมาก..ช่วงที่ฝันเรื่องนี้ยาวมาก

    มีอยู่ตอนหนึ่งที่จำได้แม่นครับ มีผมกับเพื่อนสนิทเดินไปเลือกกระบอกไม้สีขาวที่วางเรียงกันอยู่ (เป็นภาระกิจในเกมส์) ผมเลือกกระบอกที่เขียนเลข 545 เพื่อนก็เลือกเลขชุดหนึ่งจำไม่ได้ครับ..ปรากฎว่าเพื่อนคนนั้นถูกรางวัลใหญ่...เราก็ดีใจกะเค้า ก็คิดว่าเราคงไม่ได้แล้ว..แต่ปรากฎพิธีกรก็ประกาศขึ้นอีกครั้งว่าคนที่ถือกระบอกเลข 545 ได้รางวัลพิเศษ..
    ให้เดินออกมาข้างหน้า..แสงไฟสปอตไลท์สว่างจ้าขึ้นมา ผมก็ดีใจเดินขึ้นไปบนเวทีทันที..ข้างบนก็ปรากฎฉากผ้าสีดำเหมือนมีซ่อนอะไรไว้ด้านหลัง..พิธีกรบอกให้เปิดม่านสีดำออก..จึงเห็นเป็นของรางวัลกองใหญ่กองอยู่บนกระบะที่เป็นราวสีเงินๆระยิบระยับ มีของสารพัดอย่าง เช่นเป็นหีบใส่หินสีต่างๆ ยานพาหนะแปลกตาคล้ายรถมอเตอร์ไซด์แต่ล้อเป็นลูกกลมๆ มีม่านพลังงานโปร่งแสงเหมือนฉากอวกาศที่เดินทะลุเข้าไปได้..(คิดว่าเป็นประตูมิติ) ของรางวัลแปลกตามาก ไม่ค่อยจะเหมือนของบนโลกเท่าไหร่..ดูอยู่พักนึงก็เห็นเพื่อนๆเข้ามาห้อมล้อมที่ตรงนั้นเพิ่มขึ้นๆมาอีกหลายคน แล้วก็พากันปรมมือแสดงความดีใจ
    จนผมสังเกตเห็นที่ศรีษะแต่ละคนเปลื่ยนสีเป็นแสงสีฟ้าๆ..ค่อยๆขาวขึ้นๆ..สว่างจ้าเหมือนสปอทไลท์เต็มไปหมด..ตอนนั้นรู้สึกขนลุกไปหมด ว่านี่กำลังเกิดอะไรขึ้น..จำได้อยู่เท่านี้ครับ บางตอนเห็นชัดจำรายละเอียดได้หมด แต่บางตอนก็เลือนหายไปครับ ก็ขอเอามาเล่าให้ฟังด้วยครับ (สำหรับคนนานๆจะฝันสักที) แต่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องรางวัลนี่สิแปลกครับที่มาฝันตรงกับพี่พอดี..หวยจะออกเลขนี้รึเปล่าไม่รู้ ? ปกติไม่ค่อยสันทัดแต่จะลองซิ้อดูสนุกๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2007
  18. Chalhoei

    Chalhoei เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    289
    ค่าพลัง:
    +3,166
    [​IMG] คุณ เมาท์ให้ยืมมอเตอร์ไซค์ ตามหาน้องมายด์แล้วครับ แต่ไม่มีคนขับ เลยขอจุดธูปเรียกเรียกก็แล้วกัน

    [​IMG] น้องมายด์ เอ๊ย กลับห้องวิทย์เถอะลูก ทุกอย่างทางวัดไม่เอาเรื่องแล้ว เดี๋ยวนี้เค้านิยมเอาพวงหรีดประดับบ้านแล้ว
    กายสังขารไม่ต้องสนใจ เอาแต่จิตวิญญาณมาก็พอ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2007
  19. ชมภูเขา

    ชมภูเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +526

    ว่างว่างเชิญเดินชม เชิญเด็ดดมดอกบุษบาลัย ทุกดอกส่งกลิ่นหอมไกล รับลองจะติดใจไปอีกนาน...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • sakurai.jpg
      sakurai.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7 KB
      เปิดดู:
      216
  20. ชมภูเขา

    ชมภูเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +526
    ยินดีคะ พี่ๆอยู่ชั้นประถม ส่วนน้องสงสัยเตรียมอนุบาลคะ ขอเตรียมกระสุนก่อนคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...