อาจาร์ยหม่อม นิรนาม และอื่นๆหลากหลาย

ในห้อง 'ร้องเรียนและปัญหา' ตั้งกระทู้โดย ดูท่านอยู่นะครับ, 17 สิงหาคม 2010.

  1. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    บูชาหลวงปู่โลกอุดร
    จุดธูป ๑๐ ดอก – เทียนขาว ๑๖ เล่ม ดอกมะลิ ๑๖ ดอก ใส่พาน , น้าเปล่า ๑ แก้ว , น้าชา ๑ แก้ว ปูผ้าขาวรอง หมาก พลู ๙ คา ,กระโถน เริ่มวันพระ ว่านะโม ๓ จบ – หลวงปู่พุทสริกปิต เฝ้าพระศพ อหัง วันทามิ พุทธ รักปิตโต – มหากัสสปะ อยู่เนปาล อหัง วันทามิ ธรรม รักปิตโต – หลวงปู่โลกอุดร อยู่ภูเขาถวายน้อย ปท.ลาว อหัง วันทามิ สังฆ รักปิตโต – หลวงปู่สังฆรักปิต ดูแลพระธาตุพนม ประเทศไทย อหัง วันทามิ ทรุโต องค์พระธรรมกังโกฏิ สุดโยชน์พุทโธ อรหัตเตยโย นะโมพุทธายะ สะมาโหมติ อิติพุทโธ ศรีอาริยะเมตตรัยโย นะโมน้อมนอบ สุดคลองพระธรรมชักนาก่อเกิด สั่งสอนทรุกรรมอรหัตน้อมนาสุดธรรมจริงแท้ แม่ธาตุทั้ง ๔ นะมี มะพร้อม อะน้อม ใน องค์ใสคือแก้ว พร้อมแล้วโลกตรัย สวายหายโหมติ มิ ติ มิ ตะ นะมิ สุโธ กะโรพุทธายะ
     
  2. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    โลกุตตระ ธรรมคาถา

    โลกุตตะรัง ฌานัง โลกุตตะรัง มัคคัง ฌานัง โลกุตตะรัง สติปัฏฐานัง ฌานัง โลกุตตะรัง สัมมัปปะธานัง ฌานัง โลกุตตะรัง อิทธิปาทัง วะจะนะ โลกุตตะระตะ อินทระริยัง ฌานัง โลกุตตะรัง โพชฌังคัง ฌานัง โลกุตตะรัง สัจจัง ฌานัง โลกุตตะรัง สะมัตถัง ฌานัง โลกุตตะรัง ธัมนัง ฌานัง โลกุตตะรัง ขันธัง ฌานัง โลกุตตะรัง อายะตะนัง ฌานัง โลกุตตะรัง ธาจุง ฌานัง โลกุตตะรัง อาหารัง ฌานัง โลกุตตรัง ผัสสัง ฌานัง โลกุตตะรัง เวทะนัง ฌานัง โลกุตตะรัง สัญญัง ฌานัง โลกุตตะรัง เจตะรัง ฌานัง โลกุตตะรัง จิตตัง ฌานัง
     
  3. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    [​IMG]

    [​IMG]

    เหรียญสาธุเจ้าคุณต้นบุญ ติกขปัญโญ วัดป่าทุ่งกุลาเฉลิมราช
    จังหัวดร้อยเอ็ด ด้านหน้าเป็นรูปหลวงปู่เทพโลกอุดรซึ่งเป็นอาจารย์
    ของท่านด้านหลังเป็นดวงตรา อัฐวาฏ ซึ่งเป็นดวงตราของพระพุทธเจ้า
    องค์ต่อไป สร้างประมาณปี 2520 กว่าๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2010
  4. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    พระครูวินัยธรปริพัฒน์ ติกขปัญโญ หรือ หลวงปู่ต้นบุญ พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง เจ้าอาวาสวัดป่าทุ่งกุลาเฉลิมราช บ้านโพนตูม ต.ทุ่งทอง อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด ปัจจุบันวัตถุมงคลของท่านหลายรุ่นได้รับความนิยมอย่างมาก ล่าสุดท่านได้จัดสร้างวัตถุมงคลแผนซ้อนแผนรวยซ้อนรวย รุ่นบารมีครูประทานทรัพย์
    [​IMG]
    หลวงปู่ต้นบุญ ติกขปัญโญ สร้างมงคลวัตถุที่แฝงไว้ในหลักธรรม เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติที่แฝงไว้ในหลักธรรม โดยถือเอาหลักขององค์มรรค 8 เป็นที่ตั้ง เหมาะสำหรับนักธุรกิจ พ่อค้า ประชาชน นักร้อง นักแสดง หรือจะพูดโดยรวมก็คือทุกสาขาอาชีพ บูชาเพื่อเป็นการเตือนสติของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ให้พิจารณาและไตร่ตรองทุกครั้งก่อนที่จะประกอบกิจการใด ควรคิดทุกอย่างให้รอบคอบและรัดกุมที่สุด

    และควรมีการวางแผนสำรองเอาไว้ล่วงหน้าเสมอ ถ้าแผนที่หนึ่งพลาดควรจะนำแผนที่สองมาใช้ แต่สำหรับนักธุรกิจใหญ่ที่ประกอบธุรกิจเป็นร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน เขาหาทางออกไว้ถึงสี่แผน ห้าแผน ด้วยซ้ำไป

    หลายต่อหลายคนที่ประกอบธุรกิจไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะคิดเพียงแผนเดียวคือ การจะทำอะไรก็แล้วแต่จะต้องได้เงินเท่านั้นเท่านี้ แต่ไม่เคยคิดว่าถ้าไม่ได้เงินจะทำอย่างไร หรือการประกอบธุรกิจต่างๆ ไม่เคยคิดคำนวณค่าใช้จ่ายในการทำงาน ระยะเวลาในการทำงาน ก่อนการเริ่มทำงาน ชนิดที่ว่าทำไปจ่ายไป ไม่รู้ว่าอันไหนกำไร อันไหนทุน สุดท้ายเป็นดินพอกหางหมู ถ้าเมื่อไหร่รายได้เกินรายจ่ายก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเมื่อไหร่รายจ่ายเ[​IMG]กินรายได้เมื่อนั้นต้องหยุดคิดพิจารณาให้ดี

    นอกจากแผนซ้อนแผนจะแฝงไว้ด้วยหลักธรรมแล้ว ด้านพุทธคุณนั้นหายห่วง เพราะท่านได้นำมวลสารต่างๆ ที่เก็บสะสมไว้ตั้งแต่เป็นสามเณร

    ไม่ว่าในประเทศไทย พม่า ลาว เขมร และว่านมงคลต่างๆ หลายร้อยหลายพันชนิด ผ่านพิธีเทวามหาพุทธาภิเษกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มาผสมในเนื้อพระทุกองค์ ด้านหลังเป็นรูปนาคสมพงศ์ (นาคเกี้ยว) ตรงกลางลงยันต์นะโมพุทธายะ (พระเจ้า 5 พระองค์) ล้อมรอบด้วยยันต์อิสะวาสุ ด้านบนสุดลงหัวใจขุนแผน สุนะโมโล

    รายการที่จัดสร้างครั้งนี้ประกอบด้วย

    1.เนื้อผงว่าน 108 ล้วน ตะกรุดทอง ตะกรุดสาลิกาเงิน ทองโลหิตธาตุใหญ่ สร้างจำนวน 99 องค์ (แจกกรรมการ)

    2.เนื้อผงว่าน 108 ล้วน พิมพ์ 2 หน้า ฝังตะกรุดสาลิกาเงิน ทอง พลอย สร้างจำนวน 599 องค์

    3.เนื้อ ผงว่าน 108 ชนิด ฝังโลหิตธาตุ ตะกรุดเงิน สร้างจำนวน 999 องค์ เนื้อผงว่านพุทธคุณผสมผงธูปกรรมฐาน สร้างจำนวน 1,999 องค์ เนื้อชินเงิน (ตอกโค้ด เลข) สร้างจำนวน 1,000 องค์ (แจกกรรมการ 2 โค้ดเลข สร้างจำนวน 24 องค์ วัตถุประสงค์ในการจัดสร้างในครั้งนี้

    รายได้จากการบูชาจะนำไปจัดสร้างดังต่อไปนี้

    1.ทำถนนคอนกรีต จากถนนใหญ่ถึงวัด ระยะทาง 3 กิโลเมตร

    2.นำไฟฟ้าเข้าไปในวัด ซึ่งขณะนี้ทางวัดยังต้องใช้เครื่องปั่นไฟอยู่

    3.สร้างพระธาตุเจดีย์ศรีทศพลญาณเฉลิมราชชัยมงคล

    รายนามพระเกจิที่นั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสก 1.หลวงปู่หนูอินทร์ กิตติสาโร รองเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ วัดป่าพุทธมงคล จ.กาฬสินธุ์ 2.สาธุเจ้าสุริยันต์ โฆษะปัญโญ วัดป่าพุทธวราราม จ.กาฬสินธุ์ 3.พระ ครูอัมพรสุน ทอน สุนทราจาโร เจ้าอาวาสวัดป่าสามัคคีธรรม จ.สกลนคร 4.หลวงพ่อนิภา นิภาธโร วัดป่าบ้านดงหนองตอ จ.อุบลราชธานี 5.สาธุเจ้าหลวงปู่ต้นบุญ ติกขปัญโญ วัดป่าทุ่งกุลาเฉลิมราช จ.ร้อยเอ็ด
     
  5. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    [SIZE=+2]ประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร และหลวงปู่ต้นบุญ ติกขปัญโญ[/SIZE]
    [​IMG]
    หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร

    ข้อมูลโดย พ่อหลวงจิตตคุรุวัน จากหนังสือพุทธสยาม

    ประวัติขององค์หลวงปู่ใหญ่บรมครูเทพโลกอุดรที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ข้าพเจ้าได้รวบรวม เรียบเรียงจากการให้ข้อมูล และการให้สัมภาษณ์ของ หลวงปู่ต้นบุญ ติกขปัญโญ แห่งวัดพระธาตุศรีจำปามหารัตนาราม อ.พังโคน จ.สกลนคร ซึ่งท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทพโลกอุดรอีกองค์หนึ่งที่ออกมาทำงานประกาศธรรม และสืบสานต่ออายุพระพุทธศาสนาตามโอวาทบัญชาจากองค์หลวงปู่ใหญ่ จากวาสนาบารมีที่เกี่ยวเนื่องกันมาหลายชาติพันภพนำพาให้ หลวงปู่ต้นบุญซึ่งสมัยนั้นยังเป็นสามเณรน้อยๆ ได้พบกับบรมครูผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค และได้ศึกษาศิลปวิทยาในสำนักของท่านเป็นเวลา ๓ ปีกว่า จึงได้ออกมาทำงานสืบสานพระพุทธศาสนา และเป็นเสาหลักสำคัญอีกต้นหนึ่ง

    การพบกับบรมครูหลวงปู่เทพโลกอุดรโดยบังเอิญ

    หลังจากที่เณรน้อยต้นบุญได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดดงเชียงเครือ อ.วาริชยภูมิ จ.สกลนคร เณณน้อยได้ไปขอบวชกับหลวงพ่อโดยไม่มีใครพาไปเพราะใจคิดอยากจะบวช และบวชอยู่ได้ไม่นานก็มีความกลัดกลุ้มใจกับการรบเร้าของญาติๆ ให้สึกไปเพื่อเรียนหนังสือชั้นมัธยมต่อ แต่ตนเองนั้นไม่อยากสึกเท่าไรนัก เพราะรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตความเป็นอยู่ในโลกีย์วิสัยแบบโลกๆ มันทำให้อึดอัดขัดข้องในใจยิ่งนัก เมื่อลุง และป้ามาขอร้องให้สึกเพื่อไปเรียนต่อทางโลกเพราะเกรงว่า “การบวชนั้นไม่มีความมั่นคง และหลักประกันที่แน่นอนกับอนาคตได้ หากสึกมากลางคันโดยไม่มีวุฒิความรู้จะไปสู้กับคนอื่นไม่ได้ กลายเป็นภาระของสังคมอีก” แต่ใจของเณรน้อยไม่อยากสึก อยากจะหนีไปให้ไกลให้พ้นจากที่นี่โดยเร็ววัน เพื่อไม่ต้องให้ญาติๆมารบเร้าอีก

    คืนหนึ่งหลังจากเณรน้อยสวดมนต์เย็นแล้วเข้านอนจำวัดตามปกติ หูก็ได้ยินเสียงแว่วๆ มีคนตะโกนเรียกตนอยู่ข้างนอกหน้าต่าง “น้อยๆๆๆๆ” จึงลุกขึ้นมา และชะเง้อมองลงไป เห็นเป็นชีปะขาว หวนดเครารุงรัง แต่งตัวมอซอ ยืนโบกมือเรียกแล้วถามว่า “จั่วน้อยเจ้าอยากไปธุดงค์บ่ พรุ่งนี้จะมีพระไปหนองคาย ให้ไปกับท่านนะ แล้วข่อยสิมารับไปธุดงค์” พอกล่าวเสร็จก็หายวับไปในบัดดล เณรน้อยได้แต่ยืนงงด้วยสงสัยว่าชีปะขาวตนนี้เป็นใครมาจากไหน แล้วทำไมจึงมาบอกตน และก็ผลอยหลับต่อจนรุ่งสาง หลังจากภัตตาหารเช้าแล้ว ก็ล้างบาตร มีพระรูปหนึ่งท่านมาจากหนองคายท่านมาพักที่วัด และกำลังจะกลับได้ชวนเณรน้อยต้นบุญไปเที่ยวหนองคาย และชักชวนให้ไปเรียนนักธรรมบาลีที่ีวัดอรุณรังษีด้วย เณรน้อยได้รับปาก และเดินทางร่วมไปกับพระรูปนั้น

    หลังจากไปเรียนนักธรมบาลีที่วัดอรุญรังษี จ.หนองคายอยู่ไม่นาน ก็เกิดความเบื่อหน่ายขึ้นในใจ ไม่อยากเรียน ด้วยว่าอาจารย์ที่สอนก็มีแต่ดุ และตี เวลาท่องตำราจิตใจก็อึดอัดขัดข้องตลอด ตอนแรกก็ตั้งใจใฝ่เรียนอยู่หรอก แต่พออยู่ไปๆ ใจชักไม่อยากเรียน อยากจะไปธุดงค์มากกว่า ช่วงนั้นได้มีเพื่อนสามเณรรุ่นพี่ชวนไปเที่ยวที่วัดศรีสะเกษ และไปเดินเล่นแถวริมโขงบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว บ่อยครั้งที่เณรน้อยออกมานั่งริมโขงทอดสายตาปล่อยจิตให้ไหลไปตามสายน้ำเกิด ความสงเยือกเย็นนิ่ง และสายตาของเณรน้อยได้เหลือบไปเห็นพระองค์หนึ่งนั่งสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ ตนจึงได้เข้าไปทักทายถามไถ่ ได้ความว่า ท่านชื่อพระอาจารย์คำสิงห์ ข้ามมาจากฝั่งลาว มาพักรักษาตัวอยู่ที่หนองคาย เพราะท่นเป็นโรคกระเพาะ พรุ่งนี่ท่านจะไปรับยาที่อุดร เณรน้อยก็ซักถามถึงสภาพความเป็นอยู่ในลาว การสนทนาระหว่างพระอาจารย์กับเณรน้อยเป็นไปอย่างออกรสออกชาติประหนึ่งรู้จัก กันมานานหลายปี ท่านเห็นว่าเณรน้อยอยากไปธุดงค์ จึงชวนเณรน้อยต้นบุญออกธุดงค์ข้ามไปฝั่งลาว โดยท่านนัดแนะให้เณรน้อยมารอท่านที่วัดหายโศก ประมาณ ๓ วันหลังจากนี้ เวลาหนึ่งทุ่มท่านจะมารับ


    [​IMG]
    ออกธุดงค์ผจญภัยในป่ากว้าง

    เณรน้อยได้กลับไปเตรียมสัมภาระในการธุดงค์ด้วยความตื่นเต้น ไฟฉาย รองเท้า บริขารที่จำเป็นอื่นๆ และเสบียงมี มาม่า เซี่ยงไฮ้ และลูกอม อีกจำนวนหนึ่ง เมื่อถึงเวลานัดหมายได้มีเรือลำเล็กๆลำหนึ่งนั่งได้ประมาณ ๔ คนมาจอดเทียบท่า พระอาจารย์คำสิงห์ก็มา “อาจารย์เรือลำน้อยแค่นี้จะข้ามไปได้หรือ น้ำโขงตั้งกว้างใหญ่ คลื่นก็แรง?” เณรน้อยถาม “เรือเล็กสิดี ตำรวจจะได้ไม่เห็นเรา” ว่าแล้วคนพายก็แล่นเรือออกจากฝั่ง ตะวันตกดินควมมืดมิดได้มาเยือนอีกครั้ง เณรน้อยนั่งอยู่ด้วยจิตใจที่โปร่งสบายยิ่งนัก เพียงแค่ ๕ นาทีเรือก็แล่นถึงฝั่งลาวอย่างน่าอัศจรรย์ “หายใจยังไม่ทั่วท้องเลย ถึงแล้ว”

    พอข้ามถึงฝั่งลาวบรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความมืด เณรน้อยจะหยิบไฟฉายมาส่องเพื่อดูทาง แต่พระอาจารย์บอกไม่ต้องให้เดินตามหลังดูแต่ส้นเท้าท่านก็พอ ท่านจะพาไปภูเขาควาย เดินทางประมาณ ๑๕ นาทีท่านบอก “ถึงภูเขาควายแล้วหากไปทางซ้ายสัก ๕๐ หลักก็จะถึงเวียงจันทน์” แต่ท่านพาเลี้ยวขวาผ่านป่าไผ่ไปไม่ไกล ก็พบลานหินกว้าง โล่ง ข้างซ้ายมีบึงน้ำขนาดย่อม ลมโกรกสบาย พระอาจารย์คำสิงห์ให้ไปหาที่ปักกลด แล้วก็พากันแยกย้ายจำวัด “น้อยๆ ตื่นๆๆๆ” อาจารย์ปลุกขึ้นมาดูนาฬิกาตีห้าเศษ ท่านบอกว่า นิมิตไม่ดี เห็นโยมแม่ไม่สบายหนัก จะต้องไปเยี่ยมในกำแพงนครเวียงจันทน์ ให้รออยู่ที่นี่ตอนเย็นท่านจะกลับมา “อาจารย์กลับมาแน่นะ” เณรน้อยถาม “เป็นพระโกหกไม่ได้หรอก ใครจะทิ้งคนทั้งคนไว้ รออยู่ที่นี่แหละ” พระอาจารย์บอก เณรน้อยจึงพูดอีกว่า “ครับ ผมจะรออยู่ที่นี่ อาจารย์ต้องกลับมารับผมนะ”

    ว่าแล้วท่านก็เดินจากไป ทิ้งเณรน้อยไว้ให้อยู่กลางป่าใหญ่องค์เดียว “เราจะทำอย่างไรหากท่านไม่กลับมา” เณรน้อยคิดในใจ พอสายๆหน่อยก็เดินสำรวจรอบๆบริเวณเจอรอยเท้าสัตว์หลายชนิด หลายขนาด หลายสิบรอย เดินไปเรื่อยๆเพื่อรออาจารย์ เวลาก็ผ่านไป บ่ายสอง บ่ายสี่ หนึ่งทุ่มก็แล้ว สามทุ่มก็แล้ว ยังไม่เห็นวี่แววอาจารย์เลย ในใจเริ่มกลัวสารพัด สี่ทุ่มท่านก็ยังไม่กลับ แสดงว่าเณรน้อยถูกทิ้งไว้ในป่าคนเดียวแล้ว ด้วยความกลัวจึงได้แต่สวดมนต์ และนั้งสมาธิ ตั้งแต่สี่ทุ่มถึงตีหนึ่ง ก็ได้กลิ่นเหม็นสาบมากระทบปลายจมูก พอลืมตาดูปรากฏเป็นเสือลายพาดกลอนลำตัวใหญ่เท่าวัว สบัดหางอยู่ข้างกลด เณรน้อยนั่งกลัวทั้งเกร็งเหงื่อแตกปานเม็ดข้าวโพด นั่งกอดบาตรจีวรแนบอก กลั้นใจเพื่อไม่ให้เสือได้ยินถึงตีสองกว่าๆ เสือก็ยังไม่ไปจึงตัดสินใจออกไปให้เสือกินดีกว่ามานั่งทรมานอยู่อย่างนี้ เพิกมุ้งกลดออกหวังจะให้เสือร้ายกัดคอ เมื่อเสือหันมามองข้างหลังเห็นมีแต่หัวคนโผล่มาจากผ้าอยู่ต่อหน้าต่อตาด้วอ ารามตกใจสุดขีด เสือกระโดดหนีวิ่งไปทางที่พระอาจารย์คำสิงห์ไป ส่วนเณรน้อยก็รีบเก็บบาตรเก็บกลด มุ่งหน้าไปอีกทางหนึ่งซึ่งสวนทางกับเสือบุกป่าหญ้าคา ฝ่าม่านเถาวัลย์ตะเลิดเปิดเปิงจนรุ่งสางของวันใหม่ เลือดซึมไหลซิกทั่วร่าง ด้วยความเหนื่อยเพลีย และหิวกระหายเณรน้อยจึงหยุดพักใต้กอหวายลำใหญ่เท่าแขนนั่งกินลูกหวายประทัง ความหิว แล้วเผลอหลับไปด้วยความเพลีย รู้สึกตัวอีกทีประมาณสองทุ่ม ตื่นมาสวดมนต์ ทำวัตร เดินจงกรมแล้วนั่งภาวนา สักพักก็หลับไปอีก เสียงเอื้อกอ้ากๆๆ เหมือนน้ำป่าไหลบ่าดังกึกก้องกัมปนาทมาทางที่เณรน้อยนอนอยู่ จึงรีบเก็บสัมภาระที่จำเป็นและมุดเข้าไปในป่าหวาย แอบดูต้นเสียงที่มา ถึงรู้ว่าเป็นฝูงช้างป่า ยกโขยงมากินลูกหวายใบไผ่ ล้อมกอหวายกิินกันอย่างโอชะ น้ำลายไหลเยิ้มรดหัวเณรน้อยต้นบุญที่หลบอญุ่ใต้กอหวาย รอจนรุ่งเช้าพอฝูงช้างไปแล้วจึงออกเดินขึ้นเขาสวนกับที่ฝูงช้างลงมา ไปเจอถ้ำแห่งหนึ่ง

    ฤาษีแสดงฤทธิ์

    ถ้ำที่ว่ามีลักษณะเป็นสีแดง หินสีแดงและมีก้อนหินใหญ่สีแดงอยู่หน้าถ้ำเห็นฤาษี ๗ ตนนั่งยิ้มรอโบกมือเรียกอยู่หน้าถ้ำ ด้วยความดีใจที่ได้เจอคน เณรน้อยจึงเข้าไปขอน้ำดื่มด้วยความกระหายและขอนอนพักอยู่ด้วย เมื่อสนทนาถามถึงเรื่องราวต่างๆทราบความว่า ฤาษีที่อายุน้อยที่สุด ๑๐๘ ปี ถ้ำนี้ชื่อว่า ถ้ำตายักษ์ เพราะตอนที่ท้าวสีโคตรเอาไม้ตะบองตียักษ์ จนลูกตากระเด็นมาตกที่หน้าถ้ำแห่งนี้ คือก้อนหินสีแดงใหญ่ที่อยู่หน้าถ้ำนั่นเอง

    จากนั้นฤาษีชวนให้อยู่ด้วยกันจะถ่ายทอดคาถาอาคม และสรรพวิชาที่สามารถดำดินบินวน เหาะเหินเดินอากาศ ย่นระยะทาง แปลงร่างได้สารพัด ว่าแล้วท่านก็นั่งขัดสมาสเข้าสมาธิตัวลอยขึ้นถึงเพดานถ้ำ และแสดงฤทธิ์อย่างอื่นอีกสารพัดให้ดู หลังจากนั้นก็พาเข้าไปดูในถ้ำ มีพื้นน้ำเหลื่อมมันวาววับสะอาดเรียบเป็นเหมือนศาลาในอุโมงค์ มีพระพุทธรูปสีทองเหลืองอร่ามทรงเครื่องสวยงามจับจิตยิ่งนัก ตามผนังถ้ำมีอักขระเป็นตัวธรรมเต็มไปหมดให้มาเรียนเอาเถิด แต่ในใจเณรน้อยขณะนี้คิดว่า “เรื่องเรียนเอาไว้ก่อน ตอนนี้หิวจะตายอยู่แล้ว”

    ว่าแล้วฤาษีก็ล้วงมือเข้าไปในผนังถ้ำ หยิบห่ออะไรบางอย่างออกมา พอแกะออกดูเป็นชิ้นเนื้อย่างกับข้าวสวยห่อใบตอง ๑ ห่อ กลิ่นหอมฟุ้ง นั่งฉันด้วยความหิวโหยอย่างเอร็ดอร่อย เสร็จแล้วเดินไปล้างมือ ดื่มน้ำ แล้วกลับมายังที่ฉันข้าวเห็นหัวข่า กัีบตะไคร้แห้ง และทรายห่อใบตองวางอยู่ “เอ้าเมื่อกี้ฉันไอ้นี่หรือ” เณรน้อยถามด้วยความตกใจ “ใช่แล้วเราใช้คาถาปรุงเอา อยากฉันอะไรก็ฉันได้” ฤาษีกล่าว เณรน้อยฉงนสนเท่ห์อัศจรรย์ใจยิ่งนัก แต่หากไม่มีอารมณ์จะอยู่ที่นี่อยากไปให้พ้นจากป่าเขานี้เสียที จึงขอร้องให้ฤาษีไปส่ง เมื่อทนเณรน้อยรบเร้าไม่ไหว ฤาษีจึงได้เอื้อมือดึงเถาวัลย์ออกมาแล้วก็กำหนดจิตเสกคาถางึม งัม จากเถาวัลย์ธรรมดากลายร่างเป็นม้าขาว อาชาไนยรูปงามเพรียวสมส่วน ฤาษีฉุดร่างเณรน้อยให้ขึ้นหลังม้า ขี่ลอยข้ามป่าไปยังแอ่งน้ำแห่งหนึ่ง พอส่งแล้วท่านก็ลากลับควบม้าลอยขึ้นเหนือยอดไม้วิ่งไปจนลับตา

    พบหลวงปู่ใหญ่ในถ้ำวัวแดง

    เณรน้อยต้นบุญก็พยายามเดินบุกป่าฝ่าดง มองไปทางไหนก็มีแต่ป่ากับป่า และถ้ำกับเหว เดินไปเรื่อยๆเจอถ้ำๆหนึ่ง ปากถ้ำกว้างใหญ่ลักษณะคล้ายอุโมงค์ มีแสงสาดช่องหินลงมาสามารถเห็นทางเป็นระยะๆ จึงตัดสินใจเดินลอดถ้ำไป ตั้งแต่บ่าย๑ ถึงบ่าย ๓ โมง เดินไปอย่างเพลินใจโดยไม่รู้สึกเหนื่อยเมื่อล้าแต่อย่างใด พอไปสุดอุโมงค์ก็เห็นลานหินกว้าง พื้นเรียบเหมือนขัดมันมาอย่างดี มีต้นไม้ใหญ่หลายต้นขึ้นเรียงรายเป็นร่มเงาอย่างพอเหมาะอากาศเย็นสบายใจยิ่ง นัก บรรยากาศเป็นคล้ายอีกโลกหนึ่งเลย หน้าถ้ำจะมีหินใหญ่ลักษณะคล้ายวัวกำลังหมอบอยู่ ลำตัวเป็นสีแดง ส่วนนมเป็นสีขาว มีเขาโค้งงามยาวเข้าหากัน หากไม่ทันสังเกตจะนึกว่าวัวกำลังหมอบอยู่

    เณรน้อยมองไปเห็นชีปะขาว จำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่ตะโกนเรียกบอกที่วัดนาเหมือง ท่านชื่อปู่สิงขร เป็นผู้อุปัฏฐากรับใช้หลวงปู่ใหญ่มานานจนท่านจำไม่ได้ว่ากี่ร้อยปีมาแล้ว กำลังยืนโบกมือเรียกด้วยความยินดี ปู่สิงขรมายืนรอรับ และทักทายกันพอสมควรท่านก็พาไปกราบ หลวงปู่ใหญ่บรมครูเทพโลกอุดร ซึ่งกำลังนั่งฉันหมากอยู่อย่างอารมณ์ดี หน้าตาท่านอิมเอิบผ่องใสอย่างหาใครเปรียบได้ยาก รัศมีแห่งธรรมแผ่กระจายสายแห่งความเยือกเย็นมากระทบจิต ในตาท่านเปล่งประกายฉายแววแห่งเมตตาธรรมเหมือนมีน้ำไหลอยู่ภายในดวงตาของ ท่าน มุมปากยิ้มเย็นๆ ผิวพรรณผุดผ่องเหมือนสีทองประกายพราว เณรน้อยมองหน้าท่านเหมือนคุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน พอย้อนหลังท้าวความในอดีตจึงจำได้ว่าเป็นพระองค์เดียวกับที่เคยมาช่วยชีวิต ตอนที่ตายครั้งแรก คือเป็นไข้เลือดออก และครั้งที่สองตอนตกต้นไม้ตาย ท่านมาช่วยชุบชีวิตให้ฟื้นขึ้นมา เป็นองค์เดียวกันนี้เอง เณรน้อยก้มกราบคาราวะท่านด้วยเศียรเกล้า หลวงปู่ใหญ่ท่านไม่ได้กล่าวว่าอะไรเพียงแต่ยิ้มๆ แล้วสั่งให้ปู่สิงขรพาเณรน้อยไปเก็บสัมภาระที่ในถ้ำ แล้วให้ไปสรงน้ำชำระร่างกายที่แอ่งน้ำภายในถ้ำ

    เมื่อเณรน้อยต้นบุญได้มาเจอหลวงปู่ใหญ่ผู้เป็นบรมครูแห่งยุคของพระพุทธศาสนา ของพระสมณโคดม พระผู้เป็นอมตะมีประวัติความเแ็นมาที่ยาวนาน และพิสดารยิ่งนัก ซึ่งตัวหลวงปู่เองท่านก็ไม่แสดงตัวหรือโอ้อวดองค์ท่านเองแม้นแต่น้อย ท่านก็อยู่ตามปกติของท่าน ทำกิจวัตรต่างๆ และสืบสานงานพระศาสนาตามกำลังความสามารถของท่าน นอกจากจะแสดงโอวาทธรรม สอนวิชชา และมอบหมายงานแล้วท่านจะไม่สนทนา หรือถามไถ่เรื่องอื่นใดเลย การที่จะทราบประวัติท่านนั้น เป็นเรื่องที่ท่านไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าใดนัก และก็ไม่ค่อยได้บอกเล่าแต่อย่างใด จะมีก็แต่ปู่สิงขรที่เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแล และสั่งสอนตามคำบัญชาของหลวงปู่ใหญ่เท่านั้นที่เล่าให้ฟัง

    วันหนึ่งปู่สิงขรเมื่อถูกถามถึงเรื่องราวความเป็นมาของหลวงปู่ใหญ่ ซึ่งเณรน้อยผู้อยากรู้อยากเห็นได้รบเร้าถามอยู่บ่อยๆ ท่านเลยเมตตาเล่าให้ฟังว่า...

    ประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร

    ณ บ้านอุรุเวลาเสนานิคม ท่านสุปัณณะกะเศรษฐี มีภรรยาชื่อนางสุปัณณะกะมาตา ทั้งสองท่านเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก อุปถัมภ์ทะนุบำรุงพระสงฆ์ และให้ทานอยู่เป็นนิจ แต่ทั้งสองท่านไม่มีบุตรสืบสกุล จึงทำให้เป็นที่เสียใจในตระกูลเป็นอย่างมาก

    ครั้ง หนึ่งท่านสุปัณณะกะเศรษฐี และนางสุปัณณะกะมาตา ได้นิมนต์พระมหากัสสปะมาฉันบิณฑบาตรที่บ้าน และชวนญาติมิตรมาร่วมถวายอาหารด้วย หลังจากพระมหากัสสปะฉันเสร็จเรียบร้อย นางสุปัณณะกะมาตา ได้ขอประทานบุตรชายจากพระมหากัสสปะ ท่านจึงกล่าวต่อนงว่า จากนี้ไปอีก ๔ เดือนจะมีผู้มีบุญมาเกิด และบุตรชายจะได้บวชในพระพุทธศาสนา ไม่มีโอกาสได้ครองสมบัติใดๆทั้งสิ้น ท่านสุปัณณะกะเศรษฐีดีใจมาก เพราะตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าถ้ามีบุตรชายจะให้บวช

    หลังจากนั้น ๔ เดือนนางสุปัณณะกะมาตาได้ตั้งครรถ์ และกำเนิดบุตรชายรูปร่างสมบูรณ์ ผิวพรรณผ่องใส เมื่อวันอาทิตย์ชขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ ท่านสุปัณณะกะเศรษฐี ได้ตั้งชื่อบุตรชายว่า สุปัณณะกะกุมาร

    หลังจากที่ท่านได้บุตรชายตาม ปรารถนาท่านก็บริจาคทานเป็นอันมาก ได้สร้างวิหารถวายพระสงฆ์ และนำบุตรชายไปถวายแด่ พระมหากัสสปะ ท่านก็รับไว้ด้วยความยินดี ต่อมาเมื่อ สุปัณณะกะกุมาร เจริญวัยได้ ๗ ขวบ พระมหากัสสปะได้ให้บรรพชาเป็นสามเณรเพื่อศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย ท่านก็เรียนได้เร็วเป็นที่พอใจของพระมหากัสสปะเป็นอันมาก เมื่อสามาเณรสุปัณณะกะกุมาร มีอายุครบ ๒๐ ปี จึงได้อุปสมบท เข้าป่ารับพระกรรมฐานจากพระมหากัสสปะ ได้เดินธุดงค์ในประเทศอินเดีย พม่า และจีน อยู่นานถึง ๔ ปี จึงได้กลับมา

    หลังจากกลับมาพระมหากัสสปะได้ มีอาการอาพาธ ท่านได้เรียกพระภิกษุ ๓ รูปคือ ๑.พระสุปัณณะกะ ๒.พระภิคิยะ ๓.พระสุวรรณกะ เข้ามารับโอวาทครั้งสุดท้าย และได้ฝากพระทั้งสามให้ดูแลพระศาสนาในที่ต่างๆ ให้ยั่งยืนสืบไป ดูแลพระภิกษุสามเณร ตามอารามทั่วไป พร้อมกำชับให้นำร่างที่ละสังขารไปไว้ที่ภูเขาหิมาลัย ณ ถ้ำปัญจนรดี เทือกเขาที่สูงที่สุดในหิมาลัย ต่อมาภายหลังท่านทั้งสามจึงได้แยกย้ายกันไปเผยแพร่พระศาสนา มีลูกศิษย์มากมาย

    สำหรับหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร(พระธรรมลักขิต) ได้เดินธุดงค์จากประเทศอินเดียมาพม่า ได้รับลูกศิษย์ไว้มากมาย จนเข้าเขตประเทศไทยด้านจังหวัดราชบุรีได้มาพักจำพรรษาที่ดงพญาไฟ สมัยนั้นไม่มีบ้านเรือน และผู้คน ท่านอยู่ปฏิบัติธรรมภาวนาของท่านเรื่อยไปๆ หลังจากนั้น หลังจากนั้นหลวงปู่พระสังฆรักขิต ได้ตามมาสมทบอยู่จำพรรษาที่ดงพญาไฟในถ้ำสุมณฑา ได้ตั้งชื่อว่า เขาพิลาศ ต่อมาภายหลังเรียก พิศาลโรงธรรม เดินธุดงค์ไปมาระหว่างภูเขาต่างๆ เพื่อปฏิบัติบำเพ็ญธรรม สอนพระธรรมแก่พระภิกษุสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนผู้ใฝ่ธรรมทั่วไป หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรท่านได้เป็นผู้บูรณะพระพุทธบาทสระบุรีเป็นองค์แรก และได้จาริกไปนมัสการอยู่เสมอ

    หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ได้ดำริจะสร้างเมืองขึ้นใหม่รวบรวมผู้คนกลุ่มน้อย สมัยนั้นมีขอม พวกคนดง พวกสินชัย และพวกบำเพ็ญตนในเมืองลี้ลับ(บังบด) ให้สร้างเมืองขึ้นมา เพราะแต่ก่อนผู้คนอยู่กันเรื่อยๆ ที่ใดมีน้ำสมบูรณ์ มีห้วยหนองอยู่ที่ไหนก็ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่นเป็นกลุ่มๆ พอเกิดความแห้งแล้งก็พากันอพยพไปตั้งบ้านเรือนที่อื่น จึงไม่เกิดบ้านเมืองขึ้นมา ทำให้พระสงฆ์ไม่สามารถเผยแพร่ศาสนาได้ จึงไม่เกิดวัดวาอาราม แม้่นพวกขอมก็เร่ร่อนเช่นเดียวกัน ภายหลังหลวงปู่ได้พาพวกสินชัยสร้างเมืองขึ้นห่างจากลพบุรีไปไม่ไกล แต่ถูกพวกขอมขับไล่ไปอยู่เสียที่อื่น จึงได้โยกย้ายหนีไปทางเหนือต่อไป มีจังหวัดเพชรบูรณ์ หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรท่านมีความท้อใจในการสร้างเมืองเพื่อเผยแพร่พระ ศาสนา จึงตัดสินใจย้ายไปจำพรรษาอยู่อีกฝากของลำน้ำโขง คือประเทศลาวในปัจจุบัน ท่านย้ายไปอยู่ภูเขาลูกหนึ่งชื่อว่า ภูเขาควายน้อย เพราะสมัยก่อนพวกความป่ามักพาแม่ควายมาออกลูกที่นี่จึงได้ตั้งชื่อตามนี้ใน เขาแห่งนี้มีถ้ำแห่งหนึ่งกว้างขวางพอสมควร เหมาะในการบำเพ็ญภาวนาหน้าถ้ำมีหินทรายแดงลักษณะคล้ายวัว หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรจึงได้ตั้งชื่อว่า ถ้ำอศุภลาศ ลูกศิษย์พากันเรียกว่า ถ้ำวัวแดง

    หลังจากท่านได้ที่อยู่จำพรรษา เรียบร้อย หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรท่านได้ดำริจะสร้างเมืองให้ชาวลาว สมัยนั้นมีชนกลุ่มน้อยที่อพยพมาในแถบทางใต้ของภูเขาควายน้อย หลวงปู่ท่านได้สร้างเมืองขึ้นมาชื่อว่า เมืองศรีวิชัย ภายหลังเกิดโรคระบาดจึงได้ย้ายไปสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา ชื่อเมือง โพนแก้ว ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นหลวงพระบางศรีวิชัย หลวงปู่ได้เมตตาอบรมสั่งสอนชาวเมืองให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และได้สร้างวัดขึ้นมาชื่อว่า วัดพุทธรักษาราม อยู่มาได้ประมาณ ๓๐๐ ปี เมืองนี้มีควมเจริญรุ่งเรืองมาก แต่ก็พบกับภัยธรรมชาติทำให้เมืองนี้สูญสลายไป หลวงปู่จึงได้พาชาวเมืองไปสร้างเมืองใหม่อีกเมืองหนึ่งชื่อ เมืองตะโพนชัย เมืองนี้อยู่ได้ ๒๐ ปี ชาวเมืองเกิดฆ่ากันเพื่อแย่งสมบัติเงินทอง จนเมืองล่มจม หลวงปู่ท่านคิดถึงหลวงปู่สังฆรักขิตได้พากลุ่มชนคนไทที่เป็นเชลยขอมในสมัย นั้น สร้างบ้านเมืองขึ้นมาชื่อ เมืองไท ต่อมาพากันเรียกว่า สุโขทัย

    สำหรับ หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร (พระธรรมรักขิต) ได้รับลูกศิษย์ของหลวงปู่สังฆรักขิตกลับไปถ้ำภูเขาควายน้อย เพื่อศึกษาในระดับภูมิธรรมที่สูงขึ้น ลูกศิษย์ทั้ง ๑๖ รูปได้แก่

    ๑. หลวงปู่จันทร์เด่น พระสุภิตามหาเถระ

    ๒. หลวงปู่บำเพ็ญ พระรัตนมหาเถระ

    ๓. หลวงปู่เย็นดี พระอชิตะมหาเถระ

    ๔. หลวงปู่พอดี พระมหาอุตรมหาเถระ (หรือพระอุตรวัชชี)

    ๕. หลวงปู่สันที พระมหาโสณธรรมเภระ(หรือพระโสณกฎิธีธรรม)

    ๖. หลวงปู่สุรีย์ พระมหิถมหาเถระ

    ๗. หลวงปู่อัถสี พระอัถสีมหาเถระ

    ๘. หลวงปู่กุณภี พระมหากุณภีมหาเถระ

    ๙. หลวงปู่สุรสีห์ พระสุรสีวรรณามหาเถระ

    ๑๐.หลวงปู่อัถวี พระอัถวีเวทีมหาเถระ

    ๑๑.หลวงปู่นรสิงห์ พระนรสีสุขุภีมหาเถระ

    ๑๒.หลวงปู่สังฆเถรี พระมหาสังฆเมธีมหาเถระ

    ๑๓.หลวงปู่กาสี พระมหากาสีมหาเถระ

    ๑๔.หลวงปู่มนตรี พระมหามนตรีมหาเถระ

    ๑๕.หลวงปู่ยันตรี พระยันตรีมหาเถระ

    ๑๖.หลวงปู่มัถวี พระมัถวีธรรมมหาเถระ

    หลัง จากได้อบรมลูกศิษย์ทั้ง ๑๖ รูป ออกเผยแพร่พระธรรมทั้ง ๑๖ สายจวบจนพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองตราบเท่าทุกวันนี้ หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรมีความอุตสาหะวิริยะเป็นอย่างมาก ในแต่ละปี หลวงปู่ท่านจะออกเยี่ยมลูกศิษย์ทั้ง ๑๖ รูปโดยสมำ่เสมอ ภายหลังหลวงปู่ท่านได้รับปู่สิงขรเข้ามาเป็นลูกศิษย์อีกผู้หนึ่ง และส่งไปศึกษาเรียนที่ ภูแซ (เขาสามบรรพต) เป็นสถานที่รวบรวมพระธรรมวินัย จนภายหลังได้เป็นคณาจารย์ใหญ่ของภูแซ และได้รับลูกศิษย์จากทั้ง ๑๖ สายมาศึกษาทุกๆปี จนมีอภิญญาทางธรรมชั้นสูง และเผยแพร่พระธรรมต่อไป หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรท่านทำงานมาตลอดโดยมิได้ย่อท้อต่อความเหนื่อยยาก ลำบาก และอุปสรรคอันใดเลย
     
  6. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    <table id="showItemInfo" class="gray" cellspacing="0"><tbody><tr></tr><tr><td> รูปหล่อรุ่นแรก หลวงปู่ต้นบุญ ติกขปัญโญ วัดป่าทุ่งกุลาเฉลิมราช ต.ทุ่งทอง อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด</td></tr></tbody></table>
    เนื้อเงินบูชา 5000.0 บาท
    เนื้อนวะโลหะ บูชา 1500.0 บาท
    เนื้อทองแดง บูชา 750.0 บาท

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2010
  7. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
  8. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
  9. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    เอหิ เอหิ นาคา นาคี มะมามีมา นะโมพุทธายะ นะมะพะธะ โอมสโหมรวย 7 จบ
     
  10. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ประวัติหลวงปู่เณรคำ
    คนเหนือโรค เทดาเดินดิน เกิดแล้วไม่แก่ คำเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผู้คน แถบหลุ่มแม่น้ำโขง ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานี จนถึงจังหวัดหนองคาย ต่างเล่าลือ และรู้จักกันดีในนาม "หลวงปู่เณรคำ"
    วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๒ ทีมงานผู้เขียน มีโอกาสได้ไปร่วมงานครบรอบบุญประจำปีหลวงปู่เณรคำ วัดคำไฮ ต.หาดแพง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ทุกคนทราบเพียงแต่ชื่อของหลวงปู่เณรคำเท่านั้น แต่ไม่อาจรู้ความจริงว่า หลวงปู่เป็นพระมาจากที่แห่งใด มองจากภายนอกน่าจะอายุประมาณ ๒๕ ปี แต่พอสอบถามชาวบ้านแล้วเห็นบอกว่า มีคนเคยเห็นและรู้จักหลวงปู่ ตั้งแต่คนรุ่นคุณปู่คุณย่า เมื่อได้ฟังแล้วทางทีมงานก็ยิ่งมึนงง และยังไม่เชื่อ เพื่อความอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก อย่างไรจะต้องทราบให้ได้ถึงข้อเท็จจริงที่หลวงปู่เณรคำ เกิดมาตั้งแต่สมัย คนอายุ ๑00 ปี ทำไมยังมีสภาพยังหนุ่ม ๆ ไม่รู้จักแก่ แทบจะพูดได้ว่า คงจะตายไม่เป็น เพราะมีข่าวว่าหลวงปู่ ได้ฉันยาวิเศษที่ฤาษีมอบให้ จึงทำให้ชีวิตเป็นอมตะ อยู่เหนือโลก เหนือความแก่ และอยู่เหนือความตาย ได้ยินเสียงเพลงจากเครื่องไฟ ทางอีสานเรียกว่า แหล่ เป็นบทเพลงสรรเสริญหลวงปู่เณรคำ ในตอนกลางๆ กล่าวว่า หลวงปู่มีที่อยู่ไม่แน่นอน ใครมีบุญถึงจะไดเจอ บางทีเห็นเป็นพระหนุ่มๆ แต่งตัวเหมือนผีบ้า บางคนก็เห็นเป็นพระแก่มาก ๆ แต่ถ้าจะพูดถึงความคล่องแคล่วแล้ว ท่านเดินเร็วมาก ไม่มีใครเดินตามได้ทัน อีกประการหนึ่งไม่มีใครเคยเห็นหลวงปู่เข้าห้องน้ำ ไม่ว่าจะหนักหรือเบา เหมือนกับว่าหลวงปู่ จะไม่มีท้อง ไม่มีไส้ ไม่มีการขับถ่าย
    ผู้คนต่างก็อดที่จะ ส่งสัยบ่ได้ว่าหลวงปู่ฉันอาหารแล้ว ท่านเอาเก็บไว้ตรงไหน นานา บางคนก็เฝ้าแอบดูหลวงปู่อยู่เงียบ ๆ เหมือนว่าจะได้เจออภินิหารบางอย่าง บางคนก็นั่งเฝ้าทั้งวันทั้งคืน เพื่อที่จะรอเอาคำหมากของหลวงปู่ เพื่อเอาไปบูชา และอัดกรอบแขวนคอเป็นวัตถุมงคลก็มี บางคนปวดหัวปวดท้อง มาขอยาดีจากหลวงปู่ บางคนก็มานั่งเฝ้าตัวเลขสวยๆ เด็ดๆ พูดง่าย ๆ ว่าที่ศาลาหลวงปู่จะมีคนกราบนมัสการอย่างไม่ว่างเว้นจนเกือบตีหนึ่ง ตีสอง ของทุก ๆ วันเลยที่เดียว
    ที่มาของชื่อ หลวงปู่เณรคำ
    ปู่เณรคำ ชื่อนี้มีมาอย่างไร?
    จากการสืบเสาะข้อมูลเท่าที่ได้รับรู้มีอยู่ 2 ความเชื่อ ดังนี้

    ความเชื่อแรก เชื่อว่าหลวงปู่เณรคำมีอยู่หลายรูปจริง ในอดีตเคยมีพันธะสัญญากับครูบาอาจารย์ที่ต้องการสืบทอดพระศาสนาให้ไปถึงยุค พระศรีอาริย์ เมื่อปฏิบัติถึงขั้นธรรมะชั้นสูงแล้ว ท่านสามารถถอดจิตแยกร่างแบ่งภาคได้ด้วยอำนาจฤทธิ์ แต่คงสภาพเดิมหน้าเดิมเพียงรูปเดียว
    ตามที่มีการกล่าวถึงการแบ่งร่างได้ ถึง 7 รูป เช่น หลวงปู่เณรคำ เป็นพี่ใหญ่ รองลงมาปู่เณรแก้ว ปู่เณรสุข ปู่เณรเอก จนถึงปู่เณรนรสิงห์รูปสุดท้าย ซึ่งมีผู้ได้พบเห็นมาแล้วหลายรูป ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างบารมีธรรม

    อีกความเชื่อของแท้ของจริงหนึ่งเดียว จิตดวงเดียว ไม่มีการแยกร่างแบ่งภาคบารมี คือ หลวงปู่เณรคำรูปนี้ เหตุผลที่น่าเชื่อเมื่อร่างเดิมดับไปหนึ่งครั้งต้องหาร่างใหม่ที่เหมาะสมใน จุดเดียวกัน เพื่อเป็นการเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง(ไม่มีชาติภพอื่นเกิดขึ้นในระหว่าง) ต้องการเพิ่มบารมีแต่ไม่ได้ตั้งปณิธานที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาโพธิญาณ หวังเพียงบำเพ็ญบารมีธรรมให้บริบูรณ์สืบไป ต้องการที่จะนำสรรพสัตว์ข้ามห้วงสงสารวัฏไปสู่พระนิพพานในยุคพระศรีอาริย์
    เณรคำ ณ จำปาสัก ฉายานี้เคยได้ยินไหม?
    ตาม บันทึกประวัติของหลวงปู่สีทัตถ์ สุวัณณมาโจ วัดท่าอุเทน ผู้เป็นครูบาอาจารย์บอกพระกรรมฐานรูปหนึ่งแก่หลวงปู่เณรคำ มีความเกี่ยวข้องกันอยู่เป็นเรื่องที่น่าสนใจ หากจะนับเหตุการณ์วันเวลากันแล้ว คงจะเกือบศตวรรษหรือมากกว่านั้น เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยสำเร็จลุนที่ภูเขาควาย ประเทศลาว ตามประวัติมีว่า

    หลังจากที่ท่านพระอาจารย์สีทัตถ์อยู่ที่ท่าอุเทนได้ไม่ นาน ได้เดินทางข้ามแม่น้ำโขงไปฝั่งประเทศลาว โดยออกธุดงค์ไปตามป่าเขาอันรกชัฏ เทือกเขาสูงชันสลับซับซ้อน เป็นป่าที่มีภยันตรายรอบด้าน ไหนภัยที่เกิดจากสัตว์ร้าย ภัยจากพวกอมนุษย์ภูตผีปีศาจ และภัยจากธรรมชาติ
    ท่านไม่ย่อท้อคงดำเนินภาวนาวิปัสสนากรรมฐานด้วยจิตใจอันแน่วแน่และมั่นคง ในปีนั้นได้ไปจำพรรษา ณ ภูเขาควาย ่

    ภูเขาควาย ประเทศลาว เป็นแดนธรรมของพระธุดงค์ผู้บรรลุธรรมหลายรูปที่มีชื่อเสียงในอดีต ใครๆ ก็อยากไปกันทั้งนั้น แม้จะมีความลี้ลับแปลกประหลาดและสิ่งอาถรรพณ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย
    ใน ปีนั้นมีพระธุดงค์อยู่ด้วยกัน 5 รูป สามเณร 9 รูป โดยมีพระอาจารย์หลวงปู่สำเร็จลุน(รุณ) พระหลวงเจ้าเป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนา ฝ่ายสามเณรมีเณรคำ ณ จำปาสัก เป็นหัวหน้า(หลวงปู่เณรคำ)

    ขณะที่อยู่จำพรรษายังไม่ถึง 90 วัน(ไตรมาส) ปรากฏว่าเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้น มีสามเณรหายไปวันละ 2 รูป ไม่มีใครรู้ว่าหายไปไหน
    วัน ต่อมาหายไปมากกว่าเดิม ทำให้พระอาจารย์สีทัตถ์แปลกใจมาก ได้นมัสการเรียนถามหลวงปู่สำเร็จลุน ท่านยิ้มแล้วบอกว่า “เจ้าอยากหายไปเหมือนเณรไหมล่ะ”

    ท่านพูดเหมือนแฝงไว้ด้วยปริศนาธรรม พระอาจารย์สีทัตถ์รีบตอบว่า ยังไม่อยากไป หลวงปู่บอกว่า อีกไม่นานหลวงปู่ก็จะจากไปอีก เหลืออยู่แต่สามเณรคำ ณ จำปาสัก เพื่อให้เป็นผู้นำพระเณรปฏิบัติธรรม ไม่นานแล้วจะออกพรรษา ถ้าเจ้าต้องการอะไรก็รีบเอาเสีย...
    นี่เป็นชื่อเดิมที่เรียกมานานแล้ว ถ้าเณรคำ ณ จำปาสักเป็นรูปเดียวกับหลวงปู่เณรคำ นับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ อย่างน้อยต้องมีอายุมากกว่าศตวรรษไปแล้ว ดูแต่หลวงปู่สุภา วัดสีลสุภาราม จ.ภูเก็ต ที่เป็นศิษย์ของหลวงปู่สีทัตถ์ ปัจจุบันอายุ 110 ปีแล้ว อาจเป็นไปได้ว่าท่านแบ่งภาคได้จริงหรือเกิดแล้วดับ แล้วเกิดในร่างใหม่อย่างต่อเนื่องกระนั้นหรือ?
    เรื่องนี้หลวงปู่นรสิงห์ วัดวังผาสุก จ.หนองคาย ที่มีความใกล้ชิดสนิทกับหลวงปู่เณรคำมากรูปหนึ่ง บอกว่า “อย่าดูคนเพียงภายนอก ดูให้ถึงข้างใน” พอจะให้คำตอบที่แจ่มชัดขึ้นบ้าง
    ท่านผู้รู้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การจะเชื่อว่าเป็นเณรคำตัวจริงหรือไม่ ให้ดูว่าท่านอยู่ที่ไหน ปฏิบัติอย่างไร ต้องอยู่ไม่ห่างจากแม่น้ำโขง 50 กิโลเมตรเพราะ ในอดีตมีความผูกพันกับสายน้ำและพญานาคอยู่มาก
    เกี่ยวกับพญานาค เชื่อกันมาว่าอาจเป็นชาติใดชาติหนึ่งที่หลวงปู่เณรคำ เคยเกิดมาเป็นพญานาคมาแล้ว คือท่านเป็นลูกพญานาคตัวเล็กอยู่ในแม่น้ำโขง เมืองบาดาล เมื่อมีการสร้างพระธาตุพนมที่ภูกำพร้าได้มีส่วนร่วมไปกับพญานาคด้วยกันเพื่อ ร่วมบุญ แต่ขึ้นมาในร่างของมนุษย์ เมื่อถึงเวลากลับลงแม่น้ำโขงสู่นาคพิภพ พญานาคตนอื่นๆ กลับกันไปหมดแล้ว เหลือแต่ท่านกลับลงแม่น้ำโขงไม่ทัน นัยว่าโดนพญาครุฑจับตัวไป
    ฟังแล้วเป็นเรื่องแปลก! อัศจรรย์!
    อีกคราวหนึ่งหลวงปู่เณรคำมีความเกี่ยวกับพระธาตุพนมใน คราวสร้างพระธาตุ เป็นสามเณรคอยปฏิบัติวัตรฐากต้มน้ำร้อนน้ำชาถวายพระเณร จนกระทั่งองค์พระธาตุสร้างสำเร็จ พระสงฆ์ที่เป็นประธานถามสามเณรว่า ทุกอย่างสำเร็จแล้วใครต้องการขอพรอะไรให้ขอได้จะสำเร็จสมปรารถนา แล้วสามเณรต้องการจะขอพรอะไรบ้าง
    สามเณรเหน็ดเหนื่อยจากการอุปัฏฐากพระเณรมานานวัน เกิดอาการอ่อนเพลียอยากจะนอนหลับให้สบายอย่างเดียวไม่ได้ขอพรอะไรเลย ที่สุดก็นอนหลับไปไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย(ตายในชาตินั้นยังเป็นสามเณร) ส่วนสรีรศพจะเผาหรือไม่หรือบรรจุไว้ที่องค์พระธาตุเพื่อเป็นพุทธบูชา
    เรื่องนี้เป็นจริงอย่างไรเกินวิสัยปุถุชนจะรู้ได้ ถ้าเป็นจริงแสดงถึงท่านมีความผูกพันกับองค์พระธาตุพนมมานานแล้ว ทั้งมีความเกี่ยวข้องกับพญานาค แม่น้ำโขงอย่างลึกล้ำประดุจสายนทีแห่งชีวิตทีเดียว
    ปัจจุบันชาติ ชีวิตจริง! หลวงปู่เณรคำได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 11 ปี บวชเณรแล้วพออายุ 20 ปี ญัติกรรมเป็นพระ โดยมีหลวงปู่คำพันธ์ วัดป่าศรีเวินชัย อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม เป็นพระอุปัชฌาย์
    เดิมท่านชื่อ พระอาจารย์ทองใบ ปญฺญพโล แต่น้อยคนที่จะรู้จักชื่อเดิม ลูกศิษย์ญาติโยมเรียกกันหลวงปู่เณรคำทั้งนั้น ส่วนหลวงปู่คำพันธ์ พระอุปัชฌาย์ปัจจุบันเป็นเจ้าคณะอำเภอ ปกครองใน 3 อำเภอ คือ อำเภอนาหว้า อำเภอศรีสงคราม และอำเภอนาพรหม ย่อมรู้ถึงปูมหลังของหลวงปู่เณรคำได้ดีกว่าคนอื่นแน่นอน
     
  11. แบงก์จ้า

    แบงก์จ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +1,520
    พระอาจารย์เก่ง ไม่ทำวัตถุมงคลรุ่นใหม่อีกเหรอครับ
     
  12. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    น่าจะออกพรรษานะครับคอยติดตามดูนะครับผม

    เลขที่ใบส่งของ

    คุณ ชาญชัย EH812259298TH
    คุณ ชนมนพร EH812260089TH
    คุณ นครินทร์ EH812260075TH
    คุณ กระจ่าง EH812260061TH
     
  13. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    เสมา เงินล้าน หลวงปู่นาม วัดน้อยชมภู่ เนื้ออัลปาก้า สวยกริบ ตอกโค๊ดและหมายเลขกำกับทุกเหรียญ


    [​IMG]

    ให้บูชา 1000.0บาท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2010
  14. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    เหรียญมหาเศรษฐี(เหรียญรุ่นแรก)
    แรงจริง ขลังจริง นักจับพลังต้องสดุ้งโหยง หลวงปู่เสกนานหลายปี กว่าจะออกให้บูชา หลวงปู่ท่านเชิญครูบาอาจารย์ทางจิตมาเสกทุกองค์เสกทุกวัน วันไหนไม่เสกท่านนอนไม่หลับ เสกจนเหรียญกระเด็นกระดอนออกจากพานเพราะพลังเติมเต็มยังไงก็ไม่เข้ารุ่งเช้า ลูกศิษย์ต้องช่วยกันเก็บเหรียญใส่พานดังเดิมเพราะบารมี หลวงปู่หุนท่านช่วยลูกศิษย์มาหลายราย รวยเป็นเศรษฐีมากมาย มีอยู่รายหนึ่งเป็นเจ้าของสวนอาหารชื่อดังแถวปากน้ำเมื่อ 5 ปีก่อนกิจการล้มละลายเป็นหนี้หลายล้านมาขอให้หลวงปู่ช่วย ท่านก็ช่วยจนดี่ยวนี้เป็นมหาเศรษฐีมีเงินเป็น 10 ล้านแถมยังเปิดสวนอาหารอีกหลายสาขา หลวงยังเมตตาช่วยลูกสาวคนเล็กของเถ้าแก่คนนี้ให้รอดชีวิตได้จากเหตุการณ์ไฟ ใหม้ซาติก้าผับได้ คืนนั้นลูกสาวคนเล็กนัดเพื่อนๆ ไปเที่ยวที่นั้นกำลังจะก้าวออกจากบ้าน หลวงปู่หุนท่านโทรมาบอกให้อยู่บ้านห้ามออกไปไหน เด้กคนนั้นก้เชื่อไม่ออกไป แค่ไม่กี่ชั้วโมง เพื่อนที่ไปตายกันเรียบ รุ่งเช้ารีบมากราบหลวงปู่หุนทันที บ้านนี้เขานับถือหลวงปู่เป็นชีวิตจิตใจห้ามอะไรฟังหมด



     
  15. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    พระครูศุภมงคล(หลวงปู่หุน วัดบางผึ้ง จ.ฉะเชิงเทรา

    แรงจริง ทั้งในและนอกพื้นที่ หมดภายในข้ามคืน ราคาขยับขึ้นทุกพื้นที่

    ประสบการณ์เหลือล้น ตัวท่านเอง ท่านใช้ ท่านย่อมรู้"โอม..เพี้ยง เออดีมึงไปลองดู"

    <table style="width: 627px; height: 108px;" border="6" cellpadding="0" cellspacing="0" width="627"> <tbody> <tr> <td>
    รายการ​
    </td> <td>
    จำนวนสร้าง​
    </td> <td>
    ราคา​
    </td> </tr> <tr> <td>เหรียญมหาเศรษฐีเนื้อเงิน</td> <td>
    99​
    </td> <td>
    หมด​
    </td> </tr> <tr> <td>เหรียญมหาเศรษฐีเนื้ออัลปาก้า</td> <td>
    999​
    </td> <td>

    </td> </tr> <tr> <td>เหรียญมหาเศรษฐีเนื้อตะกั่ว </td> <td>
    1,999​
    </td> <td>
    </td> </tr> <tr> <td>ตะกรุดโทนแม่ทัพเก้ายอด</td> <td>
    1,299​
    </td> <td>
    </td> </tr> <tr> <td>ตะกรุดช้างตกมันเถาวัลล์พันตา</td> <td>
    1,999​
    </td> <td>
    </td></tr></tbody></table>



    [​IMG]
     
  16. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    [​IMG]

    เนื้อตะกั่วให้บูชา 500.0 บาท หมดแล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2010
  17. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    [​IMG]

    เนื้ออัลปาก้า ให้บูชา 2000.0 บาท หมดแล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2010
  18. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    เหรียญยกฐานะ-ค้ำดวง

    คอลัมน์ หลังเลนส์ส่องพระ

    เอกอุ



    <table align="left" border="0" cellpadding="1" cellspacing="5" width="20%"> <tbody> <tr bgcolor="#400040"> <td>[​IMG]
    </td> </tr> </tbody> </table>หลวงปู่ปัญญา ปัญญธโร พระเถระ 5 แผ่นดิน ปัจจุบันสิริอายุ 104 ปี

    เดิม ท่านเป็นคนร้อยเอ็ด เป็นสหธรรมิกกับ "หลวงปู่พรหมา ภูเขาควาย" ท่านเดินธุดงค์มาสร้างวัดหนองผักหนาม อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี ท่านช่วยสงเคราะห์ชาวบ้านด้านกำลังใจ เจ้าตำรับต่อเส้นวาสนา อุดเส้นรั่ว เสริมเส้นเข้า พาให้มีโชคลาภร่ำรวย แต่ละวันจะมีบรรดาศิษย์ไปขอความเมตตาต่อคิวแน่นตลอด

    หลวงปู่ปัญญา เมตตาสงเคราะห์วันหนึ่งนับร้อยคน ชาวต่างชาติก็มี อาทิ ยุโรป อังกฤษ ฝรั่งเศส ไต้หวัน จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย ชาวไทยภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคอีสานมากันหมด บางรายมารอท่านตั้งแต่ 2 ทุ่ม เพื่อรอเข้าหาหลวงปู่ปัญญาในเวลา 8 โมงเช้าของอีกวัน

    ปัจจุบันวัตถุ มงคลของหลวงปู่ปัญญา ได้รับความนิยมจากลูกศิษย์ลูกหาและนักสะสมอย่างมาก โดยเฉพาะ "เหรียญยกฐานะ" ถวายชื่อใส่พาน เสริมบารมี ค้ำดวงไม่ให้ตก เป็นเหรียญที่ใช้เฉพาะคน อัญเชิญบารมีของหลวงปู่ปัญญาอายุ 104 ปี เข้มขลังและพลังพระเวทชั้นครู อวยพรค้ำจุนไม่ให้คนที่มีชื่อ อยู่บนเหรียญดวงตก ดวงดับบารมี ครูบาอาจารย์พระเวทวิทยา วิชาคาถาอาคมทั้งหมด บารมีหลวงปู่ปัญญาจะช่วยคุ้ม-ช่วยค้ำไว้ <table align="right" border="0" cellpadding="1" cellspacing="5" width="20%"> <tbody> <tr bgcolor="#400040"> <td>[​IMG]
    </td> </tr> </tbody> </table>

    ที่สำคัญหลวงปู่ปัญญาได้อัญเชิญร่างเทวดา ที่ท่านคุ้นเคยมาช่วยดูแล ปกป้องรักษา ค้ำคูนอุดหนุนดวง รักษาชีวิตไม่ให้ตกต่ำ โดยท่านให้ช่างแกะเป็นสัญลักษณ์ที่เหรียญว่า ให้เทวดา 2 องค์ ยกอาสนะตามคนที่ระบุชื่อไว้ไปทุกแห่งทุกที่ เพื่อมุ่งประโยชน์สุขความเจริญแก่ท่านเจ้าของเหรียญเท่านั้น

    วิธี ใช้เหรียญและการเขียนชื้อ ยกดวงใส่พาน ยกฐานะยกชีวิต ขอบารมี หลวงปู่ปัญญาค้ำคูนดวงทำ 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1.ให้จัดดอกไม้ 5 ดอก ธูป 9 ดอก เทียน 2 เล่ม ในวันที่ตนเกิด (จันทร์-อังคาร) เป็นต้น

    2.กราบพระ แล้วเอาเหรียญวางไว้หน้าเรา ตั้งใจบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีหลวงปู่ปัญญา เป็นต้น พร้อมทั้งอัญเชิญเทวดา ทั่งสากลวาลมารับรู้ อ้างพระรัตนตรัย เป็นประธาน และสวดอิติปิโสฯ 9 จบ เริ่ม อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะ...(ต่อไปถึง) ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระนีโย อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ (บทอิติปิโสหาได้จากหนังสือสวดมนต์ทั่วไป) 3.กราบพระ 3 ครั้ง กลั้นใจ เขียนชื่อเรา หรือคนที่เราจะฝากชื่อไว้ที่ด้านหลังเหรียญ 4.จับเหรียญไว้ในมืออธิษฐาน ตามที่ปรารถนาจะใส่เหรียญนี้ติดตัว หรือบูชาไว้ที่หิ้งพระก็ได้ 1 เหรียญต่อ 1 คนเท่านั้น

    เหรียญนี้ เป็นเหรียญยกดวงยกฐานะ หลวงปู่ปัญญา บอกว่า ตัวเองเปรียบเหมือนเชิญตัวเองใส่พาน ขอเชิญบารมีพระพุทธเจ้าทั้ง 5 องค์ พระอภิธรรม ล้ำเลิศ พระอรหันต์ขีณาสพ ผู้ทรงเป็นเอกในสรรพวิชาต่างๆ เทวดาทุกองค์ มาช่วยอวยชัยให้พรสรรเสริญ บันดาลความสุข ให้ท่านที่มีชื่ออยู่บนพาน ให้ไม่ตกไม่ให้ต่ำ ไม่ให้ย่ำแย่ ให้มีแต่ความผาสุก ความเจริญ ได้ยศได้ลาภได้ความสำเร็จสมหวัง แคล้วคลาด ปลอดภัย สำเร็จ สมหวังโดยส่วนเดียว
     
  19. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    เลขที่ใบส่งของครับ

    คุณ ชูพล EH812260897TH
    คุณ ปริญญา EH432606075TH
    คุณ สมหวัง EH432606092TH
    คุณ ราเชนท์ EH432606089TH
     
  20. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    เลขที่ใบส่งของ

    คุณ อนิรุทธ์ EH812262045TH
    คุณ นิพนธ์ EH812262031TH
     

แชร์หน้านี้

Loading...