เหรียญห่วงเชื่อม พิมพ์ ภ ขีด คอวน นิยม เนื้อทองแดง หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย พลังชาตรี 13, 3 สิงหาคม 2010.

  1. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    สวัสดีครับ ทุกท่านที่เข้ามาชม ผมนาย กัณฐกะ ผดุงชอบ (เล็กทับน้ำ) ที่อยู่ 45 หมู่ที่ 4 ต.ทับน้ำ อ.บางปะหัน จ.อยุธยา 13220 เลขบัญชีในการบูชาพระเครื่องหรือสั่งจอง ธนาคารไทยพาณิชย์ ออมทรัพย์ สาขา ถนนสิรินธร 1222285288 พระเครื่องวัตถุมงคลต่างๆผมขอรับประกันด้วยความซื่อตรงและความจริงใจ ขอบคุณครับ เบอร์โทรติดต่อ 0843217060<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> หลวงปู่ทิม เหรียญห่วงเชื่อม พิมพ์ ภ ขีดคอวน นิยม เนื้อทองแดง หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ (พร้อมบัตรพระแท้สากล) ความสวยนั้นสวยมากๆครับ บรรยายด้วยภาพ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2010
  2. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    เหรียญหลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ อยุธยา สุดยอดของความเหนียว

    เหรียญหลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ ออกเมื่อปี 31 หลวงพ่อพรหมท่านอธิฐานจิตในการปลุกเสก และได้เชิญเกจิอาจารย์ดังๆทั่วจังหวัดอยุธยาและจังหวัดข้างเคียงมาร่วมวิธีการปลุกเสกในครั้งนี้ครับ ได้มา 5 เหรียญครับ ประสบการณ์ของหลวงพ่อพรหมเป็นที่ทราบกันว่า เหนียวครับ ลองกันได้ และมีผู้ทดสอบกันหลายๆท่านมาแล้วครับ (ยิงไม่ออก) ได้ไปเชิญลองเลยครับ จากประสบการณ์ (ขอเก็บไว้ 3 เหรียญยาวจ้า) เหรียญประสบการณ์ ความเหนียว และ คงกระพันชาตรีของจังหวัดอยุธยา ประสบการณ์มากมาย บูชาที่ 1250 บาท<!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    หลวงปู่เผือก-วัดสาลิโข พิธี 4 มหาจักร สุดๆรุ่นนี้ เกจิดังรวมปลุกเสกหลายท่าน

    หลวงปู่เผือก พระปรมาจารย์แห่งวัดสาลีโขภิตาราม ได้คำนวณฤกษ์โดย ผ่าน พระอาจารย์สมภพผู้เป็นตัวแทน เห็นควรประกอบมหาพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งยวด สืบเนื่องมาแต่ “มหาฤกษ์” ที่ยากจะเกิดขึ้นในแต่ละคราว นั่นคือ "ฤกษ์มหาจักรจตุรงคสันนิบาต”
    อันได้แก่ ดาวจันทร์ ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ และดาวราหู ต่างเคลื่อนเข้าสถิตอยู่ในองค์เกณท์ราศีอันเป็น “มหาจักร” แห่งตน และจะปรากฎถึง 4 วาระด้วยกันตลอดไตรมาสพรรษาปี 2514 ซึ่งเหตุการณ์นี้ ทุก 200 ปีจะเกิดมีขึ้นครั้งหนึ่ง
    วาระมหามงคลที่จะถึงนั้น บรรดาผู้รู้ทั้งหลายไม่อาจปล่อยให้หลุดลอยได้ หลวงพ่อสาลีโขจึงกำหนดการจัดสร้างวัตถุมงคลขึ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อให้สมเวลาที่รอคอย ทั้งยังปรารถนาให้เป็น “ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต” ของท่านทีเดียว การสร้างอิทธิวัตถุของหลวงพ่อสาลีโขนั้นไม่เลยแม้สักครั้งเดียวที่จะใช้โลหะเปล่า ท่านเพียรพยายามยิ่งในการจารอักขระเลขยันต์สำคัญครอบคลุมสรรพวิชาทั้งมวลลงในแผ่นโลหะ เน้นหนักในทุกๆสายวิชาทั้งคงกระพัน มหาอุด ชาตรี กำบังตน มหาลาภ มหานิยม เมตตา แคล้วคลาด กันภัยกันคุณไสย กันภูตผี
    วิชาเหล่านี้ท่านเพียรจารเสกเป่า แต่ละอักขระแต่ละพระยันต์ ท่านจะบรรจงเขียนอย่างสวยงาม ปลุกเสกและลงถม นำไปหลอมเอามาลงใหม่ ซับซ้อนเช่นนี้อย่างน้อย ถึง 3 วาระด้วยกัน กระทั่งคราวหลอมเพื่อรีดปั๊มเหรียญ ช่างถึงกับตะลึงเมื่อแผ่นทองวิ่งวนอยู่ในเบ้าหลอม ไม่ยอมละลาย ได้ตักเก็บไว้เป็นหลักฐานจำนวนหลายสิบแผ่น
    แผ่นทองชนวนนับสิบกิโล แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริง และวิริยะอุตสาหะ อันหาได้ยากในพระอาจารย์สมัยปัจจุบัน ไม่ควรแปลกใจเลยที่บังเกิดปาฏิหาริย์แผ่นทองไม่ละลายเพราะ “ปราณ” ที่ท่านเป่าประจุย่อมสถิตแนบแน่นอยู่ในทุกอณูแผ่นทอง จนโลหะธาตุธรรมชาติทั้งมวลถูกแปรสภาพเป็น “ธาตุสำเร็จ” จากการตั้งธาตุ ปรุงธาตุ และหนุนธาตุทั้ง 4 ขึ้นมาจากจิตที่ทรงอภิญญา
    เฉพาะ “เตโชกสิณ” นั้น ท่านเชี่ยวชาญถึงขีดสุด
    มงคลวัตถุที่สร้างประกอบด้วย พระพุทธรูปสุโขทัย หน้านาง ขนาด 9 , 5 นิ้ว , พระพุทธนาคปรก ขนาด 9, 5 นิ้ว, พระสังกัจจายน์ ขนาด 9 นิ้ว, รูปหล่อหลวงปู่เผือก ขนาด 9 , 5 นิ้ว , พระนาคปรกแขวนคอ, รูปหล่อหลวงปู่เผือกขนาดแขวนคอ, เหรียญหลวงปู่เผือก รุ่น 2 พิมพ์ใหญ่ – เล็ก, เหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อสาลีโข รุ่น 2
    ชนวนมวลสารทั้งหมดถูกนำมาประกอบพิธีปลุกเสกในวันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 เวลา 18.00 น. โดยพระคณาจารย์มากมาย มีหลวงปู่เผือกประทับทรง หลวงพ่อสาลีโขเป็นประธาน เมื่อแล้วเสร็จได้จุณเจิมสรรพวัสดุด้วยกระแจะหอม และสวดหนุนด้วยพระพุทธมนต์พิเศษ คือ บทยานี , บทภาณวาร , บทคาถาพัน และอิติปิโสรัตนมาลา ก่อนจะนำแผ่นโลหะทั้งปวงมาหล่อหลอมเป็นชนวนสัมฤทธิ์เพื่อนำไปสร้างเป็นองค์พระต่อไป
    วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 เวลา 10.08 น. เป็นกำหนดจุดเทียนชัยในพิธีเททอง และเริ่มทำพิธีพุทธาภิเษก วันนี้หลวงพ่อสาลีโขถือเป็นวันสำคัญที่สุดของงาน เพราะเป็นการเชิญชนวนสัมฤทธิ์เข้าสู่เบ้าหลอมหล่อรวมกับโลหะมงคลอื่นๆ แล้วเททองลงหุ่นให้สำเร็จเป็นองค์พระ จากนั้นจึงประพรมน้ำพระพุทธมนต์ยังเบ้าหลอม
    ครั้นทุบหุ่นดินออกก็อัญเชิญพระปฏิมาลงชุบน้ำศักดิ์สิทธ์จากสถานที่สำคัญเช่น น้ำสรงพระบรมธาตุ , น้ำเมืองเพชร, น้ำสระแก้ว, น้ำบ้านบางปืน ฯลฯ แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพานเชิงใบใหญ่เคล้าคละประโปรบด้วยเครื่องหอมกระแจะจันทน์ พร้อมด้วยการเรียกสูตรตั้งนามให้เป็นสิริ ท่ามกลางพิธีมหาพุทธปรมาภิเษก พระมหานาคทั้งสี่เจริญบทมหาจักรพรรดิราช และบทพุทธาภิเษก โดยมีรายนามพระมหาเถระผู้ทรงรัตตัญญู ภาพเข้าร่วมพิธี ดังนี้

    1. พระภัทรมุกมุนี (ชิต) วัดเขาเต่า ประจวบคีรีขันธ์
    2. หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย สุพรรณบุรี
    3. หลวงพ่อกุหลาบ วัดใหญ่สว่างอารมณ์ นนทบุรี
    4. หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ธนบุรี
    5. หลวงพ่อเจริญ วัดทองนพคุณ เพชรบุรี
    6. พระครูประกาศสมาธิคุณ วัดมหาธาตุ พระนคร
    7. หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู ลพบุรี
    8. หลวงพ่อโอด วัดจันเสน นครสวรรค์
    9. หลวงปู่ผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขต ขอนแก่น
    10. หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช พระนครศรีอยุธยา
    11. หลวงพ่อมิ วัดสิงห์ ธนบุรี
    12. หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จันทบุรี
    13. หลวงพ่อปี้ วัดด่านลานหอย สุโขทัย
    14. หลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท
    15. หลวงพ่อทบ วัดชนแดน เพชรบูรณ์
    16. หลวงพ่อชื่น วัดตำหนักเหนือ นนทบุรี
    17. พระครูเมธีวรานุวัตร วัดมหาธาตุ พระนคร
    18. หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง นนทบุรี
    19. หลวงพ่อจัน วัดสระเกษ พระนคร
    20. หลวงพ่อสั้น วัดท่าอิฐ นนทบุรี
    21. หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ พระนครศรีอยุธยา
    22. หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม
    23. หลวงพ่อจันทร์ วัดโสธรวราราม ฉะเชิงเทรา
    24. หลวงปู่เส็ง วัดกัลยาณมิตร ธนบุรี
    25. หลวงพ่อทองสุข วัดสะพานสูง นนทบุรี
    วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2514 เวลา 16.00 น. พิธีมหามงคลสรงองค์พระให้สำเร็จเป็น “พระเครื่อง” โดยบริสุทธิ์บริบูรณ์ ปราศจากมลทินโทษใดๆ พระคณาจารย์ในงานเจริญบทมงคลจักรวาล , ชัยมงคลคาถา และทิพยมนต์
    วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2514 เวลา 09.00 น. ตรงกับวันมหาจักรจตุรงคสันนิบาตวันสุดท้าย เป็นวาระนัดผู้สั่งจองอิทธิวัตถุให้มารับการประสิทธิเมจากมือหลวงพ่อสาลีโขด้วยตนเองจนถ้วนทั่วทุกตัวคน บูชาที่ 1150 บาทครับ<!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Picture 451.jpg
      Picture 451.jpg
      ขนาดไฟล์:
      135.2 KB
      เปิดดู:
      1,204
    • Picture 452.jpg
      Picture 452.jpg
      ขนาดไฟล์:
      133.8 KB
      เปิดดู:
      154
  4. พลังชาตรี 13

    พลังชาตรี 13 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3,473
    ค่าพลัง:
    +1,853
    เหรียญหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ยอดด้วยพุทธคุณ

    เจ้าพระคุณหลวงพ่อจง พุทธสสรมหาเถระ โยมบิดาของท่านชื่อยอด โยมมารดาชื่อขลิบ ถือกำเนิด ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๔ ปีวอก พุทธศักราช ๒๔๑๕ ในต้นรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ตำบลหน้าไม้ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพี่น้องร่วมสายโลหิตรวมสามคน เป็นชายสองท่าน เป็นหญิงหนึ่งคน คือ

    ๑. เจ้าพระคุณหลวงพ่อจง พุทธสสรมหาเถระ
    ๒. หลวงพ่อนิล (พระอธิการนิล ธมมโชติ) เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน
    ๓. นางปริก สุขสโมสร (ถึงแก่กรรมแล้ว)

    ตระกูลของท่านเป็นชาวนามาแต่กำเนิด ชีวิตในปฐมวัยจึงเหมือนกับลูกชาวนา ทั้งหลาย ต้องช่วยเหลือผู้บังเกิดเกล้าทำไร่ไถนา เมื่อเล็กๆ สุขภาพของท่านไม่สมบูรณ์ เจ็บไข้ได้ป่วยเสมอ นัยน์ตาฝ้าฟางมองอะไรไม่เห็น ท่านผู้ใหญ่เล่าว่า เมื่อไปดูลิเก ละคอนตามงานวัดในเทศกาลต่างๆ ต้องถึงกับจูมือนำทางไปและให้นั่งประจำอยู่ที่ ไม่สามารถเดินไปไหนได้ด้วยตนเอง ท่านจึงมีหน้าที่อยู่เฝ้าบ้านเป็นประจำ ไปทำงานนอกบ้านไม่ได้ เมื่ออายุครบอุปสมบทโยมบิดามารดาจึงจัดการอุปสมบทท่าน ณ พัทธสีมาวัดหน้าต่างในเทศกาลต่างๆ ต้องถึงกับจูงมือทำงานไปและให้นั่งประจำอยู่ที่ ไม่สามารถเดินไปไหนได้ด้วยตนเอง ท่านจึงมีหน้าที่อยู่เฝ้าบ้านเป็นประจำ ไปทำงานนอกบ้านไม่ได้ เมื่ออายุครบอุปสมบทโยมบิดามารดาจึงจัดการอุปสมบทท่าน ณ พัทธสีมาวัดหน้าต่างใน โดยมีพระอุปัชฌาย์สุ่น (หลวงพ่อสุ่น) เจ้าอาวาสวัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์อินทร์ เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกและพระอาจารย์โพธิ เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน เป็นคู่พระกรรมวาจานุสาวนาจารย์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๓๖ แล้วจำพรรษาอยู่วัดหน้าต่างใน


    นับแต่อุปสมบทแล้วโรคภัยต่างๆ แม้โรคตาฝ้าฟางกลับหายไปอย่างประหลาด ท่านกับมีสุขภาพสมบูรณ์เป็นสุขในเพศพรหมจรรย์ เป็นดุจนิมิตให้ทราบว่า ท่าจะต้องครองผ้ากาสาวพัตร์ไปจนตลอดชีพ สมดังพระพุทธอุทานว่า

    สาธุ โข ปพพชชา การบรรพชายังประโยชน์ให้สำเร็จ ฉะนั้น

    ชีวิตในพรหมจรรย์ในระยะต้นๆ ของท่าน เริ่มด้วยการศึกษาอักขรสมัยทั้งภาษาไทยและขอม ในสำนักพระอาจารย์โพธิจนเชี่ยวชาญ ทราบจากท่านผู้ใหญ่ว่า พระอาจารย์โพธิรูปนี้ มีชื่อเสียงทางไสยเวทย์วิทยาคม ผู้คนเคารพนับถือเป็นอันมาก หลวงพ่อได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมต่างๆ จากพระอาจารย์โพธิจนหมดสิ้น นอกจากนี้ท่านยังได้อุตสาหะไปฝากตัวเป็นศิษย์เรียนพระกัมมัฏฐานในสำนักหลวงพ่อปั้น วัดพิกุลอีกด้วย กัมมัฏฐานนี้เป็นวิชาเอกที่หลวงพ่อได้ศึกษาและปฏิบัติอยู่เป็นกิจนิสัย จนได้ชื่อว่า เป็นพระมหาเถระฝ่ายอรัญวาสีของพระพุทธศาสนารูปหนึ่ง

    หลวงพ่อนิยมการเจริญอศุภกัมมัฏฐาน คือการยึดถือซากศพหรือโครงกระดูกเป็นอารมณ์ เมื่อประมาณสิบปีเศษมานี้เอง ประจักษ์พยานยังมีให้เห็น ถ้าท่านมาหาหลวงพ่อแล้วเดินเลยไปที่กุฏิหลังกุฏิใหญ่ จะพบโครงกระดูกในสภาพที่สมบูรณ์ยืนพิงฝาอยู่ ไม่ว่าใครที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทันทีที่เห็นก็สะดุ้งสุดตัว ใครกลัวมาก็แทบไม่อยากผ่านเอาทีเดียว ทราบว่าโครงกระดูกนั้นเป็นศพตาเอี่ยม ซึ่งเจ้าตัวมอบถวายท่านไว้ เพื่อประโยชน์ในการเจริญสมณธรรมยิ่งกว่านั้นหลวงพ่อยังชอบดูภาพจำลองของสัตว์ต่างๆ เช่น ตุ๊กตา สัตว์สต๊าฟ เป็นต้น ท่านที่เคยมาหาหลวงพ่อคงได้เห็น ตุ๊กตาเป็นต้นที่ท่านตั้งไว้บ้าง แขวนไว้บ้างมากมาย คงสังสัยว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อะไรแก่ท่าน มีผู้เคยเรียนถามท่าน ท่านตอบว่า การดูสิ่งเหล่านี้เพลินดี ในสบาย คำตอบของหลวงพ่อเป็นคำตอบของพระโยคาวจรโดยแท้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นรูปจำลองของสังขาร เป็นเครื่องกล่อมเกลาอารมณ์ เป็นเครื่องยึดเกาะเพื่อการเจริญกัมมัฏฐานใจของท่านสงบบังเกิดสมาธิ เมื่อท่านพิจารณาสิ่งเหล่านั้น หลวงพ่อมีสมาธิจิตว่องไวคล่องแคล่วในการสำรวมอารมณ์ อันเป็นผลรวบยอดแห่งการเจริญกัมมัฏฐานในบั้นปลายแห่งชีวิตของท่าน ข้าพเจ้าเคยติดตามท่านไปในพิธีพุทธาภิเศกของทางราชการร่วมกับท่านนายอำเภอสองครั้ง สังเกตดูในขณะที่หลวงพ่อนั่งปรกชั่วระยะเวลาอันสั้น หลวงพ่อสามารถสำรวมจิตเป็นสมาธิภาวนาได้อย่างรวดเร็ว คล้ายท่านเข้าสู่นิทรารมณ์ เปล่า ท่านไม่ได้หลับอย่างที่ข้าพเจ้าเข้าใจ เพราะท่านสามารถลืมตาขึ้นทันทีเมื่อหมดเวลาที่กำหนดให้ เหล่านี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าหลวงพ่อเป็นนักเจริญกัมมัฏฐานที่เชี่ยวชาญมาก ด้วยเหตุนี้เองพลังทางดวงจิตของท่าน ที่เราเรียกว่าจิตตานุภาพ จึงแรงกล้าสามารถบันดาลให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์แก่สิ่งที่หลวงพ่อประสิทธิประสาทให้แก่ทุกคนเป็นอย่างดี

    ในระหว่างที่หลวงพ่ออุปสมบทใหม่ๆ จำพรรษาอยู่วัดหน้าต่างในนั้น สมัยนั้นวัดหน้าต่างนอก มีพระอาจารย์อินทร์ เป็นเจ้าอาวาส เมื่อพระอาจารย์อินทร์ลาสิกขาบทแล้วประชาชนและคณะสงฆ์จึงนิมนต์ท่านไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก สืบแทนเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๕๐ เมื่อไปเป็นเจ้าอาวาสในระยะแรก หลวงพ่อยังไม่มีชื่อเสียงอะไร เนื่องจากขณะนั้นพระอาจารย์ต่างๆ ตามวัดใกล้เคียง กำลังรุ่งเรืองด้วยเกียรติคุณทางวิทยาคม หลวงพ่อมีความเคารพในท่านเหล่านั้น ในฐานะที่เป็นครูบาอาจารย์จึงไม่ได้แสดงวิทยาคมอันใดให้ปรากฏ เมื่อท่านเหล่านั้นมรณภาพแล้วประชาชนจึงหันความสนใจและศรัทธามายังหลวงพ่อโดยลำดับ เมื่อพรรษาได้ประมาณ ๒๐ พรรษา ท่านได้ออกจาริกธุดงค์ไปนมัสการปูชนียวัตถุต่างๆ เช่น พระพุทธบาท สระบุรี พระแท่นดงรัง พระแท่นศิลาอาศน์ พระปฐมเจดีย์เป็นต้น ครั้งหนึ่งท่านไปนมัสการปูชนียวัตถุต่างๆ ในต่างประเทศ เช่นพระเจดีย์ชะเวดากองในประเทศพม่า ด้วยการเดินเท้าล้วนที่เรียกว่านับฝีก้าวทีเดียว เส้นทางที่ท่านไปคือออกจากวัดไปข้ามแดนทางอำเภอแม่สอดจังหวัดแม่ฮ่องสอน ด้วยน้ำใจอันเข้มแข็งอดทน เปี่ยมด้วยศรัทธาใคร่ไปสักการะพระเจดีย์แห่งนั้นท่านเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางสมความตั้งใจ ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงอย่างน่าอัศจรรย์เที่ยวกลับท่านเห็นจะถึงวัดไม่ทันเข้าพรรษา จึงพักจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชร ๑ พรรษา ออกพรรษาแล้วจึงเดินทางกลับวัด

    การออกจาริกธุดงค์สมัยนั้น ผู้ที่ไปธุดงค์ต้องมีขันติธรรมอย่างยอดเยี่ยม เพราะไม่มียวดยานพาหนะเป็นเครื่องทุ่นแรงในการเดินทาง ไม่มีถนนหนทางเหมือนสมัยนี้ ต้องเดินทางผ่านป่าดงพงพีอันทุรกันดาร มีมหันตภัยอันน่าสะพึงกลัวจากสัตว์และโรคร้ายนานาชนิดคุกคามอยู่รอบด้าน ถ้าจิตไม่มีสมาธิมั่น ขาดความอดทนแล้ว การจาริกธุดงค์จะไปไม่รอด บางท่านเพียงได้ยินชื่อว่า ดงพระยาไฟก็ใจฝ่อเสียแล้ว แต่หลวงพ่อสามารถจาริกผ่านมหันตภัยรอดกลับมาได้นับว่าท่านมีบารมีแก่กล้าน่าเคารพอย่างยิ่ง
    บารมีทางวิทยาคม

    หลวงพ่อเริ่มมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์เป็นที่รู้จักแพร่หลายเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๗๕ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศเป็นต้นมา ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่บ้านเมืองต้องการทหารผู้กล้าหาญเข้มแข็งเพื่อรับสถานการณ์ของบ้านเมือง ปัจจัยสำคัญในการปลุกใจทหารให้เข้มแข็งคือเครื่องลางของขลัง ซึ่งบรรพบุรุษของเราเชื่อถือเป็นการบำรุงขวัญให้มั่งคง ทำนุบำรุรักษาบ้านเมืองมาได้จนถึงปัจจุบัน ฉะนั้นจึงปรากฏว่ามีผู้มาหาหลวงพ่อมากขึ้นทุกที เพื่อขอให้ท่านประสิทธิประสาทวิทยาคมให้ แม้ในด้านบรรพชิตก็พากันมาศึกษาเล่าเรียนกันมัฏฐานภาวนาจากหลวงพ่อด้วย เป็นเหตุให้กุฎีที่ท่านอยู่เดิมไม่เพียงพอที่จะต้อนรับ หลวงพ่อนิล (พระอธิการนิล) น้องร่วมสายโลหิตของท่านในขณะนั้นยังช่วยบริหารการพระศาสนาอยู่ ที่วัด หน้าต่างนอกพร้อมด้วยทายกทายิกา ได้รวบรวมกัปปิยภัณฑ์สร้างกุฏิขึ้นใหม่หลังหนึ่ง เสร็จเรียบร้อยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ ถวายให้เป็นที่อยู่ของท่าน (กุฏิที่ประดิษฐานศพ) ล่วงมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๓ สงครามอินโดจีนอุบัติขึ้น เกียรติคุณของหลวงพ่อได้ระบือไปทั่วประเทศไทย โดยได้จัดทำเสื้อยันต์ด้วยผ้าสีแดงปลุกเศกด้วยวิทยาคม แจกจ่ายให้แก่ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และพลเรือนทั่วๆไป ด้วยอำนาจจิตตานุภาพอันทรงพลังของหลวงพ่อ บันดาลให้เกิดความสวัสดิมงคล แคล้วคลาดแก่ผู้มีจิตเคารพเชื่อมั่นอย่างน่าอัศจรรย์ บำรุงขวัญทหารให้เข้มแข็งกล้าหาญในการสงคราม นับว่าหลวงพ่อได้มีส่วนในการบำรุงขวัญทหารไทยอยู่มิใช่น้อย จนมีชื่อว่า เสื้อแดงหลวงพ่อจง ระยะที่สงครามอินโดจีนและสงครามโลกครั้งที่สองติดต่อกันหลวงพ่อไม่ค่อยได้อยู่วัด ต้องจาริกไปในสถานที่ต่างๆ ตามที่ผู้นิมนต์ต้องการจะให้ท่านประสิทธิประสาทความสุขสวัสดีให้ ทั้งกิจนิมนต์ของทางราชการและเอกชนต่างๆ

    หลวงพ่อมั่นอยู่ในพรหมวิหารธรรม ขึ้นชื่อว่ากิจนิมนต์แล้ว ท่านต้องไปสงเคราะห์ให้สมประสงค์ของผู้นิมนต์ทุกรายไป ไม่ว่าใกล้หรือไกล ไปยากหรือง่าย เรื่องจตุปัจจัยไทยทานหลวงพ่อไม่กังวลห่วงใย หลวงพ่อเป็นพระเถระผู้มักน้อยสันโดษ ไม่มีสันนิจจัยคือการสะสมในย่ามหลวงพ่อมีแต่เหล็กจาร ช้อนส้อม บริกขารอื่นหรือเงินทองไม่มี ดังนี้ เมื่อหลวงพ่อมรณภาพแล้วกัปปิยภัณฑ์จึงไม่มีพอที่จะจัดการศพโดยอิสระได้ แต่ศพของหลวงพ่อก็งามยิ่งสมศักดิ์ศรี แม้ท่านจะไม่มีเงินทองเหลืออยู่เลย ศิษย์ทั้งหลายและผู้ที่เคารพนับถือได้ประสานกำลังกัน จัดการศพถวายแด่ท่านด้วยความเคารพ พร้อมเพรียงกันอย่างน่าสรรเสริญยิ่ง

    เมื่อกล่าวถึงวิทยาคมของหลวงพ่อซึ่งมีผู้นิยมและต้องการมากนั้น เท่าทีทราบพอประมวลได้เป็นสามสาขา คือ

    ๑) วิทยาคมทางคงกระพันชาตรี
    ๒) วิทยาคมทางเมตตา
    ๓) วิทยาคมทางน้ำมนต์

    ในบรรดาวิทยาคมทั้งสามสาขาที่ประมวลไว้นี้ วิทยาคมทางเมตตาเป็นที่เลื่องลือมากกว่าอย่างอื่น หลวงพ่อเฝ้าสอนให้ทุกคนมีเมตตากรุณาต่อกัน อย่างเบียดเบียนกันเป็นนิจ แสดงว่าท่านให้ทั้งที่พึ่งทางกายและทางใจพร้อมกันไป แทนที่จะมุ่งให้ทุกคนยึดมั่นในวัตถุเช่นเกจิอาจารย์อื่นๆ การกระทำของหลวงพ่อและวิทยาคมทางเมตตาของท่าน จึงมุ่นสร้างเสริมสังคมให้รู้จักการอยู่ร่วมกันอย่าเป็นสุขสงบ อันเป็นยอดปรารถนาของความสุขอันเป็นโลกิยะ ถ้าจะกล่าวว่าหลวงพ่อเป็นนักสังคมสงเคราะห์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างสมบูรณ์ ก็ย่อมเป็นการสมควร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • img_0412.jpg
      img_0412.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14.2 KB
      เปิดดู:
      111
    • 2img_0413.jpg
      2img_0413.jpg
      ขนาดไฟล์:
      15.7 KB
      เปิดดู:
      135

แชร์หน้านี้

Loading...