เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 8 ธันวาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ตรงกับวันพระขึ้น ๘ ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะโรง ทุกวันพระทางวัดท่าขนุนของเราจะมีการสวดบทธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่าปฐมเทศนา ก็คือเป็นพระสูตรแรกที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอย่างเป็นทางการ

    เนื้อหาสำคัญก็คือให้บรรพชิตคือผู้บวช ละเว้นจากส่วนสุดของอย่าง ก็คือการคลุกคลีกับกามมากจนเกินไป กับการทรมานตนมากจนเกินไป โดยที่พระองค์ท่านยืนยันว่าต้องปฏิบัติในทางสายกลางที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา หรือว่ามรรคมีองค์ ๘ เริ่มตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ ไปสิ้นสุดลงที่สัมมาสมาธิ หรือย่อลงมาแล้วเรียกว่าไตรสิกขา คือการศึกษา ๓ อย่าง ได้แก่ สีลสิกขา การศึกษาปฏิบัติในศีล จิตตสิกขา การศึกษาและปฏิบัติในสมาธิ และปัญญาสิกขา การศึกษาในการใช้ปัญญาพินิจพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง

    คราวนี้การรู้แจ้งเห็นจริงนั้นเรารู้อะไร ? ก็คือรู้อริยสัจว่านี่คือทุกข์ นี่คือสาเหตุของการเกิดทุกข์ นี่คือการดับทุกข์ นี่คือปฏิปทาเข้าถึงการดับทุกข์ เมื่อรู้แล้วทำอย่างไร ? ก็ปฏิบัติไปตามนั้น
    ส่วนใหญ่พวกเราในปัจจุบันนี้ศึกษาแล้วรู้ไว้เฉย ๆ ไม่ได้เอาไปทำให้เกิดผล จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่าหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เหมาะสมกับทุกกาลสมัย เพราะว่าประกาศความเป็นจริงอย่างชัดเจนนั้น เรากลับไม่ได้เอาไปใช้

    พระองค์ท่านบอกว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สรรพสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง ก็ไม่เที่ยงจริง ๆ เพราะว่าเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ต่อให้เป็นภูเขาที่ยิ่งใหญ่แข็งแกร่งเพียงไร ท้ายที่สุดก็พังทลายลงไปเป็นหิน เป็นทราย เป็นดิน ข้อนี้ไม่มีใครเถียงได้

    พระองค์ท่านบอกว่า สัพเพ สังขารา ทุกขา สรรพสิ่งทั้งหลายประกอบไปด้วยความทุกข์ แม้แต่ภูเขาที่ยิ่งใหญ่แข็งแกร่งขนาดไหนก็ค่อย ๆ เสื่อมไป พังไป เรียกว่าสภาวทุกข์คือทุกข์ตามสภาพ ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตจิตใจก็มีความทุกข์ได้

    สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่มีอะไรยึดมั่นเป็นตัวตนเราเขาได้ คำว่าธรรมในที่นี้คือธรรมชาติทั้งหมด มีสภาพของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป

    คำว่า อนัตตา แปลอีกศัพท์หนึ่งว่าบังคับบัญชาไม่ได้ ก็คือไม่ใช่ตัวตน จึงบังคับบัญชาไม่ได้ ถ้าหากว่าเป็นของเราต้องบังคับได้ อย่างร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เพราะว่าเราบังคับไม่ได้ เราไม่ต้องการให้หิว มันก็หิว ไม่ต้องการให้ป่วย มันก็ป่วย ในเมื่อบังคับบัญชาไม่ได้ ก็แปลว่าไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของเรา
    อะไรที่ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของเรา สิ่งนั้นย่อมไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    คราวนี้ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสหลักธรรมชั้นสูงขนาดนี้ ? เพราะว่าหลังจากที่เทศน์โปรดปัญจวัคคีย์จนเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๕ รูปแล้ว พอไปเจอยสกุลบุตร เจอยสเศรษฐี เจอพรรคพวกเพื่อนฝูงของท่านยสกุลบุตร ตลอดจนกระทั่งภัททวัคคีย์ ๓๐ คน แม้กระทั่งพระเจ้าพิมพิสารพร้อมกับบริวาร ๑๑๐,๐๐๐ คน พระองค์ท่านก็ตรัสอนุปุพพิกถา ก็คือเรื่องราวที่เป็นไปทีละขึ้น ค่อย ๆ ลุ่มลึกไปตามลำดับ กล่าวถึงทานกถา การให้ทาน สีลกถา การรักษาศีล สัคคกถา ผลของทานและศีลส่งผลให้ไปสวรรค์อย่างไร กามาทีนวกถา ท้ายที่สุดเราควรที่จะเบื่อหน่ายกับสิ่งที่ไม่ยั่งยืน เพราะว่าต่อให้เป็นเทวดานางฟ้า ท้ายที่สุดก็ต้องจุติลงมาทุกข์อีก และเนกขัมมะนิสังสกถา อานิสงส์ของการเว้นจากกาม

    คำว่า กาม ในที่นี้ พูดง่าย ๆ ว่าคือ รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งหมด แต่เอาคำว่ากามขึ้นหน้า เพราะเป็นสิ่งที่ชัดที่สุดและละได้ยากที่สุด เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเราชอบ อะไรที่เราชอบ เราจะไขว่คว้ายึดมั่นไว้ ไม่ยอมปล่อย ดังนั้น..สิ่งไหนที่เราเกลียดเราจะตัดได้ง่ายกว่า แต่อะไรที่เราชอบจะตัดได้ยากมาก

    เมื่อบรรดาท่านทั้งหลายตั้งแต่ยสกุลบุตรไป จนกระทั่งถึงพระเจ้าพิมพิสารและบริวารทั้ง ๑๑๐,๐๐๐ คน ได้ฟังอนุปุพพิกถาแล้วก็ได้มรรคได้ผลตามวาสนาบารมีของแต่ละคน แต่พระพุทธเจ้าเทศน์ของยากให้ปัญจวัคคีย์ฟัง เหตุเพราะว่าปัญจวัคคีย์นั้นบวชมานาน ศึกษาไตรเพท คือความรู้ของศาสนาพราหมณ์มา ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ประมาณว่าจบปริญญาเอกกันทั้งนั้น

    ในเมื่อบวชมานานมาก ศึกษามามาก ถ้าไม่เอาของยากและลึกซึ้งให้สักหน่อย ก็จะโดนดูถูกเสียเปล่า ๆ ว่าสิทธัตถราชกุมารออกแสวงหาธรรม ทรมานกายอยู่ถึง ๖ ปี แล้วรู้ของง่าย ๆ แบบนี้หรือ ? อย่าลืมว่าคนสมัยก่อนนี่ถือตัวสูงมาก แม้กระทั่งทุกวันนี้ในอินเดียก็ยังแบ่งชั้นวรรณะถือตัวกันไม่รู้จบ

    บางท่านกล่าวว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้ว ทำไมเรื่องของชั้นวรรณะจึงไม่หมดไป ? ก็เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขายึดมั่นถือมั่นมาเป็นพัน ๆ ปีก่อนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรากฏขึ้น

    ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิวัติระบบชั้นวรรณะ ไม่ว่าใครอยู่ในวรรณะไหนก็ตาม จะเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ไปจนถึงจัณฑาลที่ไม่มีใครคบหาสมาคมด้วย ล้วนแล้วแต่สามารถศึกษาธรรมและบรรลุมรรคบรรลุผลได้ เป็นเหตุให้ศาสนาพุทธสู้ศาสนาพราหมณ์ไม่ได้มาจนปัจจุบันนี้ เพราะเขาถือว่าตนเองอยู่ในวรรณะสูง ย่อมไม่ลดตัวลงไปสังสรรค์คบหากับวรรณะต่ำ ดังนั้น..บรรดาวรรณะสูงไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์จะเป็นพราหมณ์ ถ้าไม่ใช่วิสัยที่บำเพ็ญบารมีมาเพื่อบรรลุมรรคผลจริง ๆ ไม่มีใครลดตัวลงไปนับถือศาสนาพุทธ เพราะว่าแบกมานะมาเต็มตัว..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,793
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,564
    ค่าพลัง:
    +26,402
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นำของยากมาให้ปัญจวัคคีย์ ก็เพื่อที่ให้ปัญจวัคคีย์เป็นสักขีพยานในการตรัสรู้ของพระองค์ท่าน เมื่อมีคนยืนยันและเข้าถึงธรรมเหล่านั้นได้แล้ว พระองค์ท่านจึงออกประกาศพระศาสนา ลำบากตรากตรำอยู่ถึง ๔๕ ปีเต็ม ๆ ก็ไม่สามารถจะแก้ระบบชั้นวรรณะของอินเดียได้ เพราะว่าฝังอยู่ในดีเอ็นเอไปแล้ว เกิดมาก็ถือหัวถือตัวกันแล้ว..!

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพิจารณาสัตว์โลกทั้งหลายแล้วทรงเห็นว่า แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ

    อุคฆฏิตัญญู มีปัญญามาก ฟังแค่หัวข้อธรรมก็บรรลุได้

    วิปจิตัญญู ต้องอธิบายขยายความก่อน ถึงจะเข้าถึงและบรรลุได้

    เนยยะ ต้องปากเปียกปากแฉะจ้ำจี้จ้ำไช ออกเสียงธรรมอยู่วัดท่าขนุนอยู่ทุกวันก็ไม่ค่อยจะได้อะไร (ว่าใครหรือเปล่า ?)

    และปทปรมะ เป็นพวกยึดมั่นถือมั่นกับแนวคิดตนเอง ไม่ยอมรับความคิดของผู้อื่น ทำตัวเป็นน้ำล้นแก้ว เติมอะไรลงไปก็ล้นทิ้งหมด ปทปรมะไม่ใช่พวกโง่ดักดาน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกตื่นธรรม ขออภัยอาจจะพูดผิด..! ผิดหยุด..พูดใหม่ ปทปรมะเป็นบุคคลที่ฉลาดเกินไป จึงไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น ต้องพุทธวจนเท่านั้น..! (อีกแล้ว ปากเอ็งก็ไปเรื่อย..!)

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงต้องแสดงธรรมเอาไว้มากมายมหาศาลถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ใครถนัดตรงไหนชอบตรงไหน หยิบได้จับได้ รีบทำให้ได้ประโยชน์สูงสุดแก่ตัว
    ไม่ใช่ถึงเวลาก็ชื่นชมยินดี "หลวงพ่อเทศน์ดีเหลือเกิน" "พระพุทธเจ้าแสดงธรรมไพเราะเหลือเกิน" แล้วก็เทิดทูนไว้เหนือหัว ไม่คิดที่จะทำอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นถือว่าเสียชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เสียชาติที่ได้พบพระพุทธศาสนา เสียชาติที่ได้ฟังธรรม ไม่มีโอกาสน้อมนำมาปฏิบัติ ทำตัวเป็นทัพพีคาหม้อแกงอยู่ กี่ปีกี่ชาติก็ไม่รู้ว่าแกงนั้นรสชาติเป็นอย่างไร ?

    จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องตระหนักเอาไว้ว่า ไม่ว่าหลักธรรมอันใดของพระพุทธเจ้า เราจับติดตรงไหน ต้องรีบเร่งทำให้มากที่สุด สิ่งไหนที่เราฟังแล้วกระทบใจให้เรารู้ตัว แปลว่ากำลังใจเราใกล้เคียงกับจุดนั้น เร่งทำเข้าไว้ เดี๋ยวพอก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ก็จะมีสิ่งกระทบใจที่ละเอียดกว่านั้น สูงกว่านั้นขึ้นมาอีก ไม่ใช่มีแค่คำด่าหรือกระโถนเท่านั้น..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...