เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 12 กุมภาพันธ์ 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,802
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,565
    ค่าพลัง:
    +26,403
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,802
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,565
    ค่าพลัง:
    +26,403
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗ หลังจากฉันเพลแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทางไปถวายสักการะพระบรมธาตุหริภุญไชย อุทิศส่วนกุศลถวายแก่เทวดาที่รักษาองค์พระบรมธาตุ และพระแม่เจ้าจามเทวี ซึ่งปกติแล้ว กระผม/อาตมภาพนั้น ถ้าเดินทางมาลำพูน ก็ต้องมาสักการะพระบรมธาตุหริภุญไชย แล้วไปถวายพวงมาลัยดอกมะลิ ที่อนุสาวรีย์พระแม่เจ้าจามเทวี

    แต่เนื่องจากวันนี้ มาใกล้เวลางาน จึงใช้วิธีกราบสักการะพระบรมธาตุหริภุญไชย แล้วเข้าไปในวิหารหลวง ซึ่งจัดพิธีมหาจักรพรรดิพุทธาภิเษกรูปหล่อครูบาศรีวิชัย โดยที่กระผม/อาตมภาพได้รับฎีกานิมนต์จากพระเดชพระคุณพระเทพรัตนนายก (จำรัส ทตฺตสิริ ป.ธ.๗) เจ้าคณะจังหวัดลำพูน ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา (หมู่บ้านรักษาศีล ๕) หนเหนือ

    ครั้นมาถึง ปรากฏว่าผู้ที่มาต้อนรับคือครูบาสมชาย (พระครูบรรพตพัฒนกิตติ์) เจ้าอาวาสวัดดอยติ ซึ่งเป็นที่ตั้งของมูลนิธิครูบาเจ้าศรีวิชัย และได้พบกับครูบากฤษดา สุเมโธ เจ้าอาวาสวัดสันพระเจ้าแดง ซึ่งถามว่ากระผม/อาตมภาพออกมาตั้งแต่เมื่อวานใช่หรือไม่ ? จึงได้บอกว่าเมื่อวานนี้ได้ทำหน้าที่อยู่ที่วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ วันนี้ถึงได้เดินทางมาที่นี่

    อีกสักครู่หนึ่ง พระเดชพระคุณพระเทพรัตนนายกก็มาถึง ได้ทักทายกันไม่กี่คำ ท่านก็ต้องรีบไปถวายการต้อนรับพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง องค์ประธานในพิธีครั้งนี้

    อีกสักครู่หนึ่ง ท่านอาจารย์อดิเรก อนุตตโร วัดหนองทราย ก็มานั่งอยู่ข้างกัน กระผม/อาตมภาพมองข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง ก็มีหลวงตาม้า (พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร) วัดถ้ำเมืองนะ จึงได้แต่ส่งเสียงทักทายและยกมือไหว้ข้ามมณฑลพิธีไป อีกสักครู่ท่านเจ้าคุณพบโชค (พระไพศาลประชาทร วิ.) วัดห้วยปลากั้งก็มาถึงเช่นกัน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,802
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,565
    ค่าพลัง:
    +26,403
    เมื่อพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนีได้ทำการจุดเทียนชัยแล้ว ก็เริ่มพิธีการต่าง ๆ ไปตามลำดับ โดยมีการเชิญแขกผู้มีเกียรติจุดเทียนวิปัสสี จุดเทียนน้ำมนต์ที่พระเกจิอาจารย์ทุกรูป จุดเทียนโสฬสญาณ จุดเทียนธาตุทั้ง ๔ พูดง่าย ๆ ว่าจุดคนละ ๑ ต้น จึงทำให้ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมาก

    โดยเฉพาะเมื่อได้ยินนามสกุลแล้ว ก็รู้สึกทึ่งมาก เพราะว่ามีทั้ง ณ ลำพูน ณ เชียงใหม่ ณ ลำปาง ณ เชียงตุง และ เชื้อเจ็ดตน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเชื้อเจ้าของทางล้านนาทั้งสิ้น หลายท่านก็อายุกาลมากจนถึงขนาดต้องถือไม้เท้า หลายท่านที่ดูว่าอายุมากหน่อย ก็น่าจะอยู่ในระดับ ๖๐-๗๐ ปี แต่ก็เป็นที่น่ายินดีว่าเชื้อสายเจ้าทางเหนือยังไม่ได้ขาดช่วงลง โดยเฉพาะนามสกุล ณ เชียงตุงนั้น ก็คือนครเขมรัฐเชียงตุง หรือว่าไทใหญ่ ซึ่งมีการแต่งงานข้ามไปข้ามมาในระหว่างเชียงใหม่ เชียงตุง ลำปาง แพร่ น่าน เหล่านี้เป็นต้น

    ทางด้านเชียงตุงนั้น บรรดาเชื้อเจ้าแทบจะไม่เหลือแล้ว
    วิชาการบางอย่างที่ต้องอาศัยเชื้อเจ้าเท่านั้นถึงจะสืบสายได้ อย่างเช่นวิชาการสร้างแมลงภู่คำ ตอนนี้ก็เหลือแต่สายพระเท่านั้น เนื่องเพราะว่าพระเราคือศากยบุตรพุทธชิโนรส คือลูกของพระพุทธเจ้า หรือว่าเจ้าชายสิทธัตถะ เท่ากับว่าเป็นเชื้อเจ้าเช่นกัน ดังนั้น..บุคคลที่มีความสามารถในการสืบสายวิชาในการสร้างแมลงภู่คำ ก็แทบจะเหลือแต่ทางด้านพระภิกษุเท่านั้น เพราะว่าฝ่ายฆราวาสแทบจะไม่มีเลย ต้องใช้วิธีบวชเข้ามาสืบสายวิชา แล้วค่อยสึกหาลาเพศออกไปอีกที

    ครั้นเมื่อเริ่มพิธี กระผม/อาตมภาพก็สบายใจมาก เพราะว่าเป็นการสร้างรูปเหมือนครูบาศรีวิชัย จึงได้กราบอาราธนาหลวงปู่ครูบาฯ ให้ท่านเสกรูปตัวเอง แต่หลวงปู่ครูบาฯ ท่านขอให้กราบอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียก่อน เนื่องเพราะว่ามีรูปพระพุทธเจ้าที่จะถวายให้กับทางด้านประเทศเนปาล โดยที่ทางนั้นมีรัฐมนตรีของประเทศเนปาลมาร่วมงานด้วย

    ทางคณะรัฐมนตรีฝ่ายชาย กล่าวสุนทรพจน์โดยเรียกพระว่า "Venerable" แปลว่าให้เกียรติอย่างยิ่ง แต่ว่าฝ่ายหญิงท่านใช้คำว่า "All Monks" ก็คือพระทั้งหมด ฟังดูแล้วแปลก ๆ หูอยู่เหมือนกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องให้อภัย เพราะว่าบุคคลที่อยู่กับพระก็ไม่แน่ว่าจะใช้คำพูดได้ถูก แม้กระทั่งบ้านเราก็มีที่สับสนกับชีวิต ใช้คำแทนตัวเองว่า "อาตมา" กระผม/อาตมภาพก็เคยเจอมาแล้ว..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,802
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,565
    ค่าพลัง:
    +26,403
    แม้กระทั่งทุกวันนี้ เวลาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ก็มีผู้รู้แนะนำว่า กระผม/อาตมภาพควรจะใช้คำว่า "อาตมา" เท่านั้น โดยที่ไม่ได้นึกว่า กระผม/อาตมภาพพูดกับพระภิกษุสามเณรและญาติโยมไปพร้อมกัน จึงต้องใช้ "กระผม" กับพระภิกษุสามเณร และใช้ "อาตมภาพ" กับญาติโยมทั้งหลาย

    ในเมื่อท่านรู้ดี หาก เป็นบุคคลที่ "ฉลาดแต่ขาดเฉลียว" ก็ขอให้ท่านโปรดทราบไว้ด้วยว่ากระผม/อาตมภาพนั้นไม่ได้กล่าวกับเฉพาะญาติโยมอย่างเดียว หากแต่ว่า
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนั้น ในเบื้องต้นเป็นการอบรมพระภิกษุสามเณรภายในวัดอย่างเดียว มาภายหลังมีผู้นำไปลงในยูทูบ จนกระทั่งเกิดเสียงเรียกร้องขึ้นมา จึงต้องบันทึกอย่างเป็นทางการ สำหรับในการสอนพระภิกษุสามเณร และขณะเดียวกันก็เผื่อแผ่ไปถึงญาติโยมด้วย

    เมื่อเสร็จพิธี ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ยังคง "เป๊ะเว่อร์" เหมือนเดิม..! ก็คือทำน้ำมนต์เสร็จ การเจริญพระพุทธมนต์พิธีมหาจักรพรรดิพุทธาภิเษกก็จบลง เมื่อพิธีกรอาราธนาพระเถราจารย์ให้ทำน้ำมนต์พรมในบริเวณพิธี กระผม/อาตมภาพก็สามารถพรมได้ทันที ขณะที่คนอื่นก็ยังคงเสียเวลาทำน้ำมนต์กันอยู่เป็นนาน..!

    แล้วก็เป็นเรื่องดี เพราะว่าเมื่อพรมเสร็จแล้ว พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี ได้ทำการพรมน้ำมนต์และโปรยดอกไม้ถวายเป็นพุทธบูชา กระผม/อาตมภาพสบายใจที่ไม่ต้องทำอะไรในการ "ทับ" พระผู้ใหญ่ เพราะถือว่าเป็นการเสียมารยาท ในขณะที่กำลังบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนี้ ก็คือช่วงกำลังเดินทางกลับจาดลำพูนไปยังจังหวัดนนทบุรี คาดว่ากว่าจะถึงที่พักคืนนี้ ก็คงประมาณเที่ยงคืน จึงต้องบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนเอาไว้ก่อน

    ในขณะเดียวกัน เมื่อเดินทางไปถึงวัดพระธาตุหริภุญไชย ก็มีญาติโยมบางท่านขอถ่ายรูป กระผม/อาตมภาพเองยังทำธุระไม่เสร็จ จึงได้ปฏิเสธไป เพราะว่าในเรื่องของการถ่ายรูปนั้น ท่านอาจจะภูมิใจแล้วก็นำเอาไปอวดคนอื่น กลายเป็นเอากิเลสของตนไปอวดชาวบ้านเสียเปล่า ๆ ถ้าหากว่ามีความรัก ความเคารพกระผม/อาตมภาพอย่างแท้จริง ก็ให้รีบเร่งในการปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ยกกำลังใจของตนให้สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าอย่างนั้นก็ถึงจะได้ชื่อว่ามีความเคารพรักกันอย่างแท้จริง

    แม้กระทั่งอาจารย์อดิเรกที่นั่งติดกันอยู่ กระผม/อาตมภาพก็ยังได้บอกกับท่านว่า "รีบเร่งกำลังใจในการปฏิบัติให้มากที่สุด ไม่เช่นนั้นถ้ามีคนรู้จักมากกว่านี้ ท่านเองจะไม่มีเวลาทำเพื่อตัวเองเลย" ท่านอาจารย์อดิเรกก็ยอมสารภาพว่า "ตอนนี้มีแต่ญาติโยมมารบกวน จนแทบจะหาเวลาส่วนตัวไม่ได้เลยครับ"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,802
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,565
    ค่าพลัง:
    +26,403
    เรื่องนี้กระผม/อาตมภาพเองถือว่าการรักษากำลังใจของตนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เรื่องของบุคคลอื่นจะสำคัญขนาดไหนก็ตาม กระผม/อาตมภาพต้องมีเวลาในการรักษากำลังใจของตนเองเอาไว้ก่อน จะไม่ยอมให้ญาติโยมทั้งหลายมารบกวน จนกระทั่งตนเองกำลังตก แล้วก็โดนกิเลสกระหน่ำตีเหมือนสมัยที่บวชใหม่ ๆ อีกแล้ว..!

    สมัยนั้นยังดีที่ได้พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัย (พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ.) ซึ่งในตอนนั้นก็คือ "หลวงพี่" ของกระผม/อาตมภาพ ท่านได้เตือนว่า "ไม่เกิน ๒ พรรษาเท่านั้น ของถวายจากญาติโยมท่านคงต้องเอาสิบล้อมาขน..!"

    เมื่อได้ยินกระผม/อาตมภาพก็รู้ตัว ตัดขาดจากการที่ญาติโยมทั้งหลายมารบกวน เพราะว่าบุคคลที่ไปวัด ก็ควรที่จะไปกราบหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ไม่ใช่มาเกาะอยู่รอบข้างกระผม/อาตมภาพแบบนั้น แล้วตนเองก็เร่งรัดในการปฏิบัติ ชนิดที่ไม่เห็นแก่กินแก่นอน วันหนึ่งนอนประมาณ ๒ ชั่วโมงเท่านั้น และเป็นการนอนแบบทรงสมาธิด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเอากำลังที่ไหนไปทำงาน

    แต่ละวันเมื่อทำหน้าที่ในความรับผิดชอบของตนครบถ้วนแล้ว ก็จะตั้งหน้าตั้งตาเดินจงกรม ภาวนา โดยที่ไม่ได้สนใจเวล่ำเวลาว่าจะดึกดื่นเที่ยงคืนตอนไหนทนง่วงไม่ไหว ก็นอนพักสัก ๒ ชั่วโมง แล้วก็ลุกขึ้นมาปฏิบัติใหม่ จนกว่าจะได้เวลาบิณฑบาต ได้เวลาทำความสะอาดวัด หรือว่าต้องไปเข้าเวรหน้าตึกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ตอนนั้นก็จะใช้วิธีประคองอารมณ์ของตนเองเอาไว้

    แต่ว่ารุ่นพี่หลายท่านก็จับได้ โดยเฉพาะหลวงพ่อโอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) เมื่อเข้ามาพักก่อนที่ห้องเวรหน้าตึกจะฉันเพล ท่านก็มักจะบ่นว่า "ท่านนี่เอาแต่ภาวนาจังเลยนิ" กระผม/อาตมภาพก็ไม่รู้จะเรียนบอกอย่างไร ว่า
    ตนเองนั้นเข็ดหลาบจากการที่กิเลสตีกลับ เพราะว่าเราไปเผลอหลุดจากการภาวนา ในเมื่อความสามารถไม่เท่ากับท่าน ไม่สามารถที่จะทรงกำลังใจให้ต่อเนื่องได้ เวลาโดนกิเลสตีกลับ ก็ทุกข์ทรมานมาก จึงรู้สึกเข็ดหลาบ ไม่อยากปล่อยให้กำลังใจหลุดจากการภาวนาไปอีกแล้ว

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ บรรดาท่านที่ปล่อยตัวเองตามสบาย ถึงเวลาโดนกิเลสลากเตลิดเปิดเปิงไปเป็นเดือนเป็นปี ถ้าหากว่าท่านรู้สึกเข็ดเมื่อไร ก็ให้เร่งรัดการปฏิบัติแบบที่กระผม/อาตมภาพเคยทำมาก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วอีกไม่นาน ถ้าหากว่ากิเลสมีอำนาจมากกว่า เดี๋ยวท่านก็ต้องสึกหาลาเพศไป หรือว่าถ้าเป็นบุคคลฆราวาส ก็อาจจะเตลิดตามกิเลสไป กว่าจะเลี้ยวกลับมาวัดวาอารามได้อีกที ก็อาจจะหลายปีข้างหน้า หรือว่าจะตายเปล่าไปเสียก่อนก็มี..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...