เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    อ่านที่น้อง mindanaric เล่ามาสนุกตื่นเต้นมากเลยครับ ถ้ามีฝันเรื่องไหนที่เรารู้สึกพิเศษเอามาเล่าประสบการณ์ได้เลยครับ(ไม่ต้องเขิน!) ที่นี่เปิดแลกเปลื่ยนกันเรื่องราวได้ตลอดทุกเรื่องครับ

    จริง 2 วันก่อนไม่ได้เล่าให้พี่นักเขียนฟังครับ สารภาพซะเลย หลังจากที่ได้แนะนำเพลง"รักหนู"(ที่พี่นักเขียนแต่งไว้)ให้เพื่อนๆฟังไปแล้ว คืนนั้นฝันว่าเห็นเด็กผู้ชายตัวใหญ่มากมานั่งทับหน้าอก จุกน่าดูครับ เลยต้องสบัดตัวให้เค้าร่วงตกลงไป มาสงสารเค้าทีหลังว่าเราทำกับเค้าแบบนี้ได้ไง?..(ที่ไม่เล่าเพราะออกแนวโหดครับ)

    พอมาอ่านเรื่องฝันของนักเขียนที่โดนอำเมื่อวันก่อน ที่เห็นเด็กผู้หญิงตัวใหญ่ๆมาให้อุ้ม แล้วพี่ใช้จิตกล่อม (หรือวิธีเป่าลมให้เค้าหายไป....ฟิ๊ววววว!!) นุ่มนวลมากๆ
    พออ่านแล้วก็ขนลุกว่าทำไมฝันในวันเดียวกันและคล้ายกันมาก..แต่ลงมือกับเค้าต่างกัน แฮะๆ..ตอนนี้รู้วิธีแล้วครับ คราวหน้าจะได้ไม่รุนแรงกะเค้าอีก ขอนำเอาวิธีของพี่ไปใช้บ้างนะครับ

    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=86527&page=46
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  2. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะน้อง mindanaric ว่าการพยายามขจัดความเชื่อเดิม ๆ นี่เป็นอะไรที่ต้องใช้เวลาจริง ๆ เพราะพี่ก็เคยมีประสบการณ์มาเหมือนกัน เช่น เมื่อก่อนพี่เคยฝึกสมาธิแบบสติปัฏฐาน 4 มา และฝึกจนระลึกได้ว่าตัวเองเคยทำกรรมกับปลาและไก่มาตอนที่ยังเป็นเด็ก เมื่อมานั่งสมาธิก็มีอาการคล้ายที่ตัวเองเคยทำร้ายเค้ามา คือเคยทุบหัวปลามา, แขวนคอไก่ และเห็นในสมาธิว่าเราทำร้ายเค้ามาอย่างไร นับจากนั้นมาความรู้สึกนั้นก็ยังฝังใจตัวเองมาตลอด รวมระยะเวลาแล้วก็ร่วม 10 กว่าปีมาแล้ว พึ่งมาสลัดความเชื่อที่ฝังใจมาได้ไม่นานนี้เอง ยิ่งมาอ่านหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัยในเรื่องอิสระแห่งความปรารถนาก็ยิ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นในตนเองได้มากขึ้น ขอบพระคุณท่านอาจารย์อนาลัยและพี่นักเขียนที่มอบความรู้ดีดีอย่างนี้มาให้ค่ะ...
    (b-deejai)
     
  3. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขอขอบคุณพี่นักเขียนทุก ๆ คำตอบที่พี่นักเขียนได้อธิบายให้เข้าใจอย่างละเอียดทำให้ความสงสัยที่เคยมีได้รับความกระจ่างขึ้นมากเลยค่ะ..

    วันนี้ก็เกิดนึกถึงประสบการณ์ครั้งนึงที่เคยฝันแต่ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือปล่าวจึงอยากจะขอให้พี่นักเขียนช่วยวิเคราะห์ให้ด้วยค่ะ

    มีเพื่อนคนหนึ่งมีสามีแล้วแต่สามีจะต้องไปทำงานต่างจังหวัดทางอีสานและจะกลับบ้านเดือนละครั้ง ๆ ละ ประมาณ 1 อาทิตย์ ก็มีอยู่วันหนึ่งขจรวรรณก็มีเหตุจะต้องไปทำธุระกับเพื่อนคนนี้ก็เลยค้างที่บ้านเพื่อนคนนี้เลย การไปครั้งนี้ก็ได้เจอสามีของเพื่อนคนนี้ด้วยเพราะเค้ากลับมาที่บ้านพอดี ขณะที่เจอกับเค้าเราก็มีอาการคล้าย ๆ บริเวณขามีอาการกระตุกเล็ก ๆ เหมือนเนื้อเต้นเบา ๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไร พอกลางคืนเราก็เข้านอนตามปรกติ แต่พอประมาณตีหนึ่งรึตีสองไม่แน่ใจ ก็รู้สึกว่าจิตตัวเองตื่นขึ้นมาและวิ่งไปที่บริเวณท้องของสามีเพื่อนคนนี้และไม่รู้ว่าตัวเองไปพยายามดึงอะไรบางอย่างออกมาจากท้องของเค้า หลังจากที่ดึงออกมาเราก็เห็นเป็นตะปู 2 เล่ม และน้ำอะไรไม่ทราบดำ ๆ กองอยู่กับพื้น แล้วก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นและพูดกับตัวเองว่าสามีของเพื่อนโดนของ เพียงแค่นั้นก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัว พอตอนเช้ามาก็ลอง ๆ ถามเพื่อนเค้าดูเนื่องจากเป็นเพื่อนสนิทกัน เค้าก็เล่าให้ฟังว่าสามีเค้ามักจะมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ รึมีอาการป่วยเกี่ยวกับท้องมาเสมอและกลางคืนก็มักจะมีอาการคล้าย ๆ ตกใจตื่นขึ้นมา พอถามก็จะเหมือนคนที่เบลอ ๆ คุยไม่ค่อยรู้เรื่อง ที่สำคัญก็คือทราบว่าเค้ามีผู้หญิงคนอื่นที่จังหวัดทางอีสาน ก็รู้สึกอึ้งไปเหมือนกัน เป็นไปได้มั้ยคะว่าเค้าจะโดนของจริง ๆ เพราะว่าตัวเองก็ไม่เคยมีความรู้ด้านนี้มาก่อนเลยค่ะ ...
    (b-malang)
     
  4. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    Update สารบัญหน้าเสร็จเรียบร้อยครับ+ที่หน้าแรกสุด
    จะได้ย้อนกลับไปอ่านกันง่ายขึ้นครับ..
    ดูว่าเราคุยอะไรกันมามากมายขนาดไหน เยอะใช่เล่นนะครับ!

    หน้า 4,5
    - ฝันอย่างไรให้คมชัด
    - เกี่ยวกับตาที่สาม

    หน้า 7
    - กำหนดจิตอย่างไรในความฝัน
    - ใกล้ตื่นให้จับอารมณ์
    - การ download ข้อมูลและการใส่ key-word

    หน้า 9
    - ประสบการณ์ล่าสุด-จากนักเขียน
    - สารจากท่านอาจารย์อนาลัย
    - ตอบคำถาม:การทำสมาธิ

    หน้า 11
    - ภัยพิบัติ กับ อดีต-ปัจจุบัน-อนาคตของโลก
    - ตีความหมาย-ความฝัน
    -Non REM vs ฌาน 4 (นอนหลับลึกไม่มีฝัน)
    - ความแตกต่างระหว่างนิมิต-ความฝัน

    หน้า 12
    - การปรากฎของจานบินและมนุษย์ต่างดาว

    หน้า 13
    - ประวัติศาสตร์ของจักรวาล

    หน้า 14
    - ชาติภพ
    - เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของจิตวิญญาณในร่างกายเนื้อหนัง?
    - พระอรหันต์ นักบุญ Saint

    หน้า 15
    - ภาคปฏิบัติ ปฐมฤกษ์

    หน้า 17
    - จุดประสานมิติ

    หน้า 18
    - ความงมงาย กับ ความจริงที่พิสูจน์ได้
    - การแก้ไขอดีตหรืออนาคต จากปัจจุบัน ทำได้อย่างไร?

    หน้า 19-20
    - รวมพลังงาน เพื่อใช้ประโยชน์ในมิติมนุษย์
    - พลังงานของสิ่งที่เรียกว่าวัตถุมงคล [การอัดพลังลงในวัตถุธาตุ]
    - การฝันไปยังอดีตเพื่อแก้ไขอดีต
    - ขั้นตอนการทำสมาธิ

    หน้า 22-23
    - กายหลับ-จิตตื่น [เปรียบได้กับ ฌาน 4]
    - ทำสมาธิด้วยการวาดภาพ

    - เห็นภาพห้องทำงาน-ข้ามโลก

    หน้า 24
    - ต้นเหตุความกลัว มาจากไหน?
    - Agenda
    - โลกแห่งความเป็นจริงทาง-กายภาพ
    - โลกแห่งความเป็นจริง-ทางจินตภาพ
    - โลกแห่งความเป็นจริง-ของจิตวิญญาณ

    หน้า 25
    - เชื่อมั่นในภาพแรก

    หน้า 26
    - มาตามนัด [นัดพบกันในความฝัน]
    - เรากำลังฝึกสติสัมปชัญญะให้คมชัด

    หน้า 27
    - การเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยการฝัน

    หน้า 28
    - download ความรู้จากความฝัน - decompress - decode - print out
    - ประสาทสัมผัสภายใน

    หน้า 29
    - ทำได้แล้วต้องเชื่อมั่น
    - "ปลาเนื้อสีขาวบริสุทธิ์"

    หน้า 30
    - ขวดแก้ว+ แมลงวัน
    - ไม่มีจิตวิญญาณหน่วยใดขัดขวางการพัฒนาของวิญญาณหน่วยอื่น
    - เธอจดจ่อส่งใด- ได้สิ่งนั้น-ไม่มีกฎเกณฑ์อื่น

    หน้า 32
    -การปรับทิศทางนอนให้ตรงกับสนามแม่เหล็กโลก

    หน้า 33
    - การใช้ประสาทสัมผัสที่หกเพื่อ"หาของหาย"
    - การเรียนรู้ด้วยจิตวิญญาณ

    หน้า 36
    - ไปเที่ยวกัน [พี่นักเขียนไปเทกซัส & แม็คซิโก]
    - นิทานเรื่องน้ำค้างกับเมล็ดข้าว
    - นิทานเรื่อง The Little Soul and The Sun จากคุณ Zipper

    หน้า 38-39
    - พี่นักเขียนเข้ามาทักทาย Hello from Dallas
    - สารจากท่านอาจารย์อนาลัย

    หน้า 40
    - ประสบการณ์เกี่ยวกับความตาย [พี่นักเขียนตามมาคุยต่อ จาก Alamo, Texas]

    หน้า 41
    - ตอบคำถาม [วันสุดท้ายใน Keller Texas ก่อนไป Cancun, Mexico]

    หน้า 42
    - Free Fall การปล่อยให้ตนเองเป็นอิสระ

    หน้า 44
    - ประวัติศาตร์ของจิตวิญญาณ & วิวัฒนาการ

    หน้า 45
    -Back from Cancun, Mexico - Hello from Kansas

    หน้า 46
    -ติดต่อสื่อสารกับตัวตนของเราในมิติอื่นๆ
    -ผู้ถูกเลือก-ผู้เลือก
    -ผีอำ - paralysis (อัมพาต)- จิตตื่น - กายไม่ยอมตื่นตาม

    หน้า 47
    พระเจ้า-เทพ-เทวดา-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ กับ มนุษย์
    รู้เห็นแต่ไม่รับ-ทำได้เสมอ-ดัวยการมีสติ [ร่างทรง]
    รู้เห็นภาวะของความตาย-ได้จากความฝัน-ในปัจจุบัน


    ส่วนเพลงเพราะๆของนักเขียน ลิงค์นี้ครับ
    http://www.novaanalai.com/novaanalai/Track1-ResembleTheMoon.html<!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  5. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,086
    มาต้อนรับน้อง mindanaric ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    มีเรื่องจะเล่าเหมือนกันแต่เล่าไม่ออก
    โชคดีแมวน้อยหายไป หาแต่เช้าแล้วจนป่านนี้ยังไม่เจอ
    เศร้า..แต่ในใจคิดไว้ว่าต้องกลับมาแน่ๆ เฮ้ๆๆ โชคดีกลับบ้านเร้ววววว
     
  7. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    แวะเข้ามาอ่านและทักทายทุกคนครับ
    ยินดีต้อนรับนักเรียนใหม่ที่สุดแสนกระตือรือร้น
    [b-hi]
     
  8. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ความฝันอันลุ่มลึก

    ยามป่วยไข้ ร่างกายของเรามักอ่อนแอและต้องการการพักผ่อนนอนหลับมากกว่าปกติ โดยธรรมชาติแล้วเมื่อเรานอนหลับพักผ่อน ประสาทสัมผัสทั้งห้าก็ต้องหยุดทำงานอยู่แล้ว เราจึงจะหลับได้ ดังนั้นยิ่งร่างกายเราต้องการนอนหลับมากขึ้นกว่าเดิม ประสาทสัมผัสทั้งห้าก็จำต้องปิดลงบ่อยกว่าเดิมเป็นเงาตามตัว ทำให้ประสาทสสัมผัสที่หกมีโอกาสทำงานได้มากขึ้น กระบวนการดังกล่าวนี้ไม่ได้เป้นไปเพียงเพื่อทำให้การรู้เห็นเป็นไปได้มากขึ้นโดยปริยายเท่านั้น แต่เป็นไปเพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถซ่อมแซมและรักษาโรคให้กับตนเองได้โดยปราศจากการขัดขวางของประสาทสัมผัสทั้งห้า คนที่เวลาป่วยแล้วไม่ชอบทานยา แต่เลือกที่จะนอน มักจะพบว่า พวกเขาหายป่วยได้โดยไม่ต้องทานยาเสมอๆด้วยเหตุผลนี้

    จิตวิญญาณของเราทั้งหลายแสวงหาความรู้ ใฝ่รู้ และสนเท่ห์กับความรู้ใหม่ๆที่เราได้รับ หรือปลิ้มปิติกับความรู้เก่าๆที่เราลืมเลือนไปแล้วค้นพบใหม่อีกเสมอ

    เมื่อหนังสือชุดของท่านอาจารย์อนาลัยไปสู่สายตาผู้อ่าน ผู้ที่บอกว่าไม่เคยฝันหรือฝันแล้วจำไม่ได้ก็เริ่มฝันและจำได้ พวกเราเริ่มตระหนักในความหมายของความฝันที่เราประสพ ไม่ใช่เพราะว่าพวกเราไม่ได้ฝันอย่างมีความหมายมาก่อน แต่ความรู้ใหม่ที่เราได้รับหรือความรู้เก่าที่เราระลึกได้หลังจากอ่านหนังสือ ปรับสภาวะของสติสัมปชัญญะที่ไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยจดจ่อ ให้ใส่ใจและจดจ่อกับความฝัน ทำให้เราพบสิ่งที่น่าประทับใจและความหมายลุ่มลึกที่ความฝันเปิดเผยให้เราเห็นอยู่เสมอทุกเมื่อเชื่อคืน แต่เรามักมองข้ามไป

    ภาพฝันของคุณมโนกรรมงดงามมาก แต่สิ่งที่สำคัญที่พ่วงมากับภาพและเป็นความหมายที่แท้จริงนั้นอยู่ลึกลงไป ซึ่งพี่นักเขียนจะกล่าวย้ำกับพวกเราเสมอๆว่า ความหมายอันแท้จริงของความฝันทั้งหมดพบได้ที่อารมณ์ จับอารมณ์ของเราให้ได้ เพราะข้อมูลความรู้ที่จิตวิญญาณรับมานั้น รับถ่ายทอดข้อมูลโดยตรงมาสู่อารมณ์และความรู้สึกนึกคิด แม้ว่าวันนี้เราตื่นมา เราอาจจะปราศจากคำพูด ก็ให้ทบทวนอารมณ์ไว้ก่อน หากจดบันทึกไว้ ไม่ว่าจะจดได้มากน้อยเพียงใด อย่างน้อยที่สุด บันทึกนึ้ก็จะเป็นสัญญลักษณ์ที่ทำให้เราหวลระลึกถึงอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดในความฝันนั้นได้

    แม้ว่าจิตวิญญาณบางส่วนของเราจะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อกลับมาสู่ร่างกายตัวตนยามตื่น แต่จิตวิญญาณพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะส่วนที่จดจ่อกับโลกแห่งความเป็นจริงในความฝันนั้นๆยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งหมายความว่า นาฬิกาเจ้ากรรมทำได้อย่างมากก็เพียงแค่นำเอาสติสัมปชัญญะส่วนหนึ่งกลับมาจดจ่อที่นี่-เดี๋ยวนี้ แต่มันไม่อาจทำให้ความเป็นไปอันงดงามในโลกแห่งคววมเป็นจริงโลกนั้นๆที่เราไปประสพมาในความฝันล่มสลาย โลกแห่งความเป็นจริงในความฝันนั้นๆยังคงดำเนินต่อไป
    บ่อยครั้งที่เราตื่นจากความฝันอันน่าประทับใจโดยที่ยังไม่อยากจะตื่น และโหยหาความฝันนั้นๆเสมือนว่า ต้องจากบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่ต้องการจะจากมา สภาวะดังกล่าวเป็นสภาะของความฝันที่่เราได้เผชิญกับข้อมูลความรู้ที่เติมเต็มจิตวิญญาณของเรา เมื่อเราตื่น เราเชื่อว่าการถ่ายทอดนั้นขาดสะบั้นลง จิตวิญญาณของเราโหยหาการติดต่อสื่อสารและการสนับสนุนจากต้นกำเนิด ซึ่งตามธรรมชาติแล้ว-เป็นการติดต่อสื่อสารและการสนับสนุนที่ไม่เคยขาดสาย ปราศจากกาลเวลา อยู่นอกเหนือช่องว่างและระยะทาง แต่ความเชื่อของเราเป็นอุปสรรคที่ปิดกั้นทำให้เราไม่รู้เห็นการติดต่อสื่อสารและการสนับสนุนดังกล่าว

    เมื่อคุณมโนกรรมเผชิญกับ คำบอกกล่าวเกี่ยวกับกาลเวลาในความฝัน มีความเป็นไปได้ หรือความเป็นจริงสองอย่างเกิดขึ้นคือ :
    1. ได้รับข้อมูลที่บอกกาลล่วงหน้า อันเป็นไปตามเส้นทางแห่งกาลเวลาในโลกยามตื่นว่า สิ่งอัศจรรย์หนึ่งๆเกิดขึ้นปีละครั้ง
    2. ณ จุดที่ได้รับข้อมูล สติสัมปชัญญะยามตื่นยึดติดกับแบบแผนของกาลเวลา เมื่อได้รับขัอมูลว่า ทุก 1 ปี จะมีสิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้น จิตวิญญาณก็เปิดเผยให้รู้ว่า ภาวะในโลกแห่งความเป็นจริงของจิตวิญญาณนั้น อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของช่่องว่าง ระยะทางและกาลเวลา แม้สติสัมปชัญญะยามตื่นจะเชื่อว่า เวลาที่ว่ายังมาไม่ถึง แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวก็ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน เพื่อให้เราตระหนักถึงธรรมชาติความเป็นจริงของกาลเวลา

    พี่นักเขียนขอแนะนำพวกเราให้ลองหัด "ฝันซ้ำ" หรือ "กลับคิืนสู่ความฝัน-เก่าก่อน" หรือ "ฝันต่อ" ฝันต่อเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย บางคนทำได้โดยอัตโนมัติเช่นเมื่อฝันอยู่และตกใจตื่น พอรู้ตัวว่ากำลังฝันเรื่องอะไรอยู่ นอนต่อก็มักจะฝันต่อไปได้ทันที แต่ถ้าสติสัมปชัญญะขาดตอนด้วยความคิดหรือความเชื่อว่าตนเองเป็นคนจำฝันไม่เก่ง แม้จะนอนหลับต่อได้ทันที ก็มักจะไม่ฝันต่อ

    ต่อไปนี้หากเผชิญกับความฝันที่ลุ่มลึก และมีเหตุให้ตกใจตื่นขึ้นมา ให้พยายามประคองหรือช้อนอารมณ์ที่ยังติดค้างอยู่นั้นไว้ แล้วหลับต่อ อารมณ์นั้นๆจะเหนี่ยวนำให้จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะกลับไปสู่โลกแห่งความฝันเราเพิ่งจากมาได้

    หากตั้งจิตก่อนนอน ระลึกถึงความฝันครั้งเก่าก่อนที่ยังประทับใจมิรู้ลืมและปรารถนาที่จะรู้ความเป็นไปที่ยังไม่เต็มภาพ แต่ตื่นเสียก่อน ให้ดึงเอาอารมณ์และความรู้สึกนึิกคิดนั้นกลับขึ้นมาเสมือนการหวลระลึกถึงความหลัง นั่งสมาธิอยู่ในอารมณ์นั้นสักครู่จนเห็นภาพอดีตของความฝันนั้นๆได้คมชัดแล้ว ตั้งจิตขอกลับไปสู่ประสบการณ์นั้นๆ หากความปรารถนา+ความมุ่งมั่น+ เจตนามีมากพอ จิตวิญญาณจะเปลี่่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะกลับไปสู่ประสบการณ์ในความฝันนั้นๆได้จริงๆ ต้องทดลองดูค่ะ ไม่ลองไม่รู้ว่าเป็นไปได้ ใครเคยทำได้มาแล้วมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ จะเป็นประโยชน์มาก

    ตามธรรมชาติแล้วจิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงโลกอื่น มิติอื่น อยู่ตลอดเวลา เรากำลังศึกษาความเป็นจริงเหล่านี้เพื่อให้เราตระหนักว่า มันเป็นไปตามธรรมชาติอยู่แล้ว เมื่อเราตระหนักได้ในระดับจิตสำนึก คือไม่ใช่รับรู้แค่จากตัวหนังสือ สติสัมปชัญญะของเราจะคมชัดขึ้นเองอย่างเป็นอัตโนมัติ เพราะความรู้นี้มีอยู่ในระดับจิตสำนึกตลอดวันเวลา คือเมื่อมันปรากฏขึ้นก็รู้เห็นได้ทันที แม้พี่นักเขียนจะใช้คำว่า ฝึกสติสัมปชัญญะให้คมชัด ซึ่งฟังดูราวกับว่ามีขัึ้นตอน และระยะเวลาฝึกฝน แต่ตามความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้ยากเย็นปานนั้น

    มันไม่ต่างอะไรกับการที่พวกเราอยากทราบว่า พี่นักเขียนหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วพี่นักเขียนก็อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับรูปพรรณสัณฐาน บุคลิกภาพ ขนาด รูปร่าง หน้าตา เสียง สีผิว ฯลฯ ให้ข้อมูลมากมายที่สุดที่จะมากได้ ซึ่งช่วยให้พวกเราสามารถจินตนาการเห็นภาพ และตระหนักได้ว่าพบ หากเราได้พบกันเป็นครั้งแรก

    ข้อมูลความรู้ที่ท่านอาจารย์อนาลัยถ่ายทอดให้พวกเราก็เปรียบเสมือนการให้รายละเอียด ที่พวกเราจำเป็นจะต้องศึกษา จดจำ จนกระทั่งข้อมูลความรู้เหล่านี้สถิตย์อยู่ในสติสัมปชัญญะของเราในระดับจิตสำนึกทั้งยามตื่นและยามฝัน เมื่อเราเผชิญกับธรรมชาติความเป้นจริงต่างๆของจิตวิญญาณในความฝันก็ดี ในยามตื่นก็ดี สติสัมปชัญญะของเราจะคมชัดคือรู้เห็นและตระหนักได้ขึ้นมาทันที

    เราไม่มีวิธีการอื่นใดที่จะฝึกสติสัมปชัญญะให้คมชัดได้นอกจากศึกษาหาความรู้จากข้อมูลในหนังสือ ถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์เพื่อช่วยให้เราย่อยสาระจากหนังสือและดูดซึมได้ดีขึ้น และ
    จากนัั้นก็เผชิญกับประสบการณ์ต่างๆด้วยสติสัมปชัญญะที่มีตัวรูู้ซึ่งตั้งอยู่บนฐานแห่งปัญญา
    พวกเราพิจารณาสิ่งต่างๆยามตื่นอยู่แล้วตามธรรมชาติด้วยสติสัมปชัญญะ สิ่งเดียวที่พี่นักเขียนแนะนำให้พวกเราทำมากขึ้นกว่าปกติ คือการพิจารณาด้วยสติสัมปชัญญะในความฝัน มันทำให้สติสัมปชัญญะของเราคมชัดขึ้นเองตามธรรมชาติ เพราะเราไม่ปล่อยปละละเลยมันอย่างที่เคยคืนละหลายๆชั่วโมงอีกต่อไป

    ขั้นต่อไป เมื่อเรามีความฝันที่เราจดจำได้ ตระหนักในความหมายอันลุ่มลึก ต่อไปเราต้องพยายามจับอารมณ์ให้ได้เสมอๆ อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดที่แฝงอยู่ในความฝันคือความหมายที่แท้จริงของภาพฝัน อย่าพยายามให้ผู้อื่นตีความฝันของเรา

    พี่นักเขียนเคยให้ผู้อื่นช่วยตีความฝันของตนเองมาก่อน อาศัยทั้งผู้ที่เราเห็นว่ามีความรู้ความชำนาญ เช่น ศาสตราจารย์ทางด้านสาขาจิตวิทยา นักจิตวิทยา จิตแพทย์ คนทรง ฯลฯ ความหมายที่ได้ห่างไกลจากหนังสือ 10 เล่มนี้มากมาย หากพี่นักเขียนยอมรับความหมายที่ผู้อื่นตีให้ พี่นักเขียนบอกตามตรงว่า ป่านนี้หนังสือชุดนี้ไม่มีวันมาสู่สายตาผู้อ่าน และพี่นักเขียนอาจจะต้องไปนอนกอดต้นฉบับอยู่ใน ward ฟื้นฟูสภาพจิตไปแล้ว ^-^
     
  9. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    สัตว์เลี้ยงกับเจ้าของสื่อสารกันได้ทางจิตเสมอ

    คุณน้อง leogirl ส่งใจไปให้โชคดีเรื่อยๆนะคะ ให้เขารู้ว่าเรารักเขาและเขาเป็นที่ต้องการ สัตว์เลี้ยงกับเจ้าของสื่อสารกันได้ทางจิตเสมอ ไม่ว่ามันจะอยู่ไกลจากเจ้าของเพียงใดก็ตาม ซึ่งเป็นสาเหตุให้สัตว์เลี้ยงที่หลงทาง หรือพลัดพรากจากเจ้าของ กลับไปหาเจ้าของได้ในที่สุด ที่จริงแล้วธรรมชาติความเป็นจริงข้อนี้ เป็นไประหว่างมนุษย์และสัตว์ป่าอื่นๆด้วยเช่นกัน แต่เมื่อมนุษย์ไม่ไว้ใจสัตว์ป่าเท่าสัตว์เลี้ยง หรือไม่ไว้ใจสัตว์เลี้ยงของผู้อื่นเท่าสัตว์เลี้ยงของตนเอง เราจึงคิดว่าเราสื่อสารกับสัตว์อิื่นๆไม่ได้เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงของเราเอง

    พี่นักเขียนทดลองใช้การสื่อสารกับสัตว์ด้วยภาษาใจมาหลายครั้ง เล่าเรื่องหนึ่งไว้ที่ http://www.novaanalai.com/novaanalai/Raccoon.html

    เวลาไปบ้านใครที่เขาเลี้ยงสุนัขและมันเห่าไม่หยุด เจ้าของจะดุว่ายังไงมันก็ยิ่งเห่า พี่นักเขียนจะใช้วิธีกอดอก เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ทางกายที่ทำให้มันรู้ว่า เราปราศจากมือไม้ที่จะกระทำได้ แล้วมองหน้าสุนัขนั้นเงียบๆแล้วบอกเขาในใจว่า รู้จักกันหน่อยนะ เธอดูหล่อเหลา หรือ สะสวยดีจริง ฉันมาเยี่ยมนายของเธอ ฉันไม่ได้จะมาจับต้องอะไรในบ้านนี้หรอกจ้ะ สุนัขเหล่านั้นมักจะหยุดชะงัก เหมือนกับว่ามันได้ยิน มันมักจะกระดกหูหรือเอียงคอ บางทีก็เห่าต่อ และก็หยุดชะงักอีก จนสักพัก มันก็หยุดเห่า และเป็นมิตรได้โดยง่าย บางตัวพอเจ้าของปล่อยมาหา คุณเธอก็นอนหงายท้องแอ้งแม้งให้เกาท้องเลยก็มี

    สัตว์โลกมีความรู้ มีอารมณ์และมีความรู้สึกนึกคิดมากมายที่คนเข้าไม่ถึง อารมณ์ของสัตว์ที่เราพอจะเข้าถึงบ้างก็มีเพียงสัตว์เลี้ยงของเราเอง ที่เรารู้ว่าเขารัก และซื่อสัตย์ต่่อเราได้อย่างถวายชีวิต ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า จะเปรียบกับอารมณ์ของคนก็ยังหาไม่ได้

    ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ในโลกตะวันตกหันมาศึกษาเรื่องนี้กันมาก เพื่อจะนำประโยชน์ของอารมณ์ของสัตว์เหล่านี้ไปใช้ ในอเมริกา-แพทย์เริ่มนำสัตว์เลี้ยง-โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุนัข ไปใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการต่างๆ พี่นักเขียนไม่แน่ใจว่าโรคอะไรบ้าง แต่วิธีการคือ เขาจะฝึกสุนัขให้เป็นเสมือนพี่เลี้ยง สุนัขเหล่านี้อาจจะเป็นสัตว์เลี้ยงเดิมของผู้ป้วย หรือเป็นสุนัขที่ทางหน่วยงานฝึกแล้วจัดให้ไปทำหน้าที่พี่เลี้ยงผู้ป่วย สัตว์เหล่านี้นอกจากจะทำหน้าที่รับหนังสือพิมพ์ เปิดประตูบ้าน-ปิดล้อกประตูบ้าน จูงผู้ป่วย นำทางผู้ป่วย รับโทรศัพท์ (ไม่ได้ hello แทนเจ้าของนะคะ) แต่คาบโทรศัพท์มาให้เจ้าของที่ป่วยจนลุกไปรับไม่ได้ หรือไปรับไม่ได้ทันการ แล้วมันยังทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยอีกด้วย

    การรักษาผู้ป่วยของสัตว์เหล่านี้ เคยเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติมาก่อน คือ สัตว์ที่รักเจ้านาย อยู่กับนายที่ป่วย มักจะเอาคาง หรือ อุ้งตีนของขาหน้า ไปวาง ณ ตำแหน่งที่นายของมันเจ็บปวด สัตว์เหล่านั้นจะทำเสมอๆ จนนายของมันแปลกใจว่า มันรู้ได้อย่างไรว่านายเกิดอาการเจ็บปวดขึ้นเมื่อไรและตรงไหน แต่สัตว์เลี้ยงเหล่านั้นก็จะทำเสมอๆ จนในที่สุดนายผู้ป่วยเหล่านั้นอาการดีขึ้นหรือแม้แต่หายจากโรตที่ไม่น่าจะหาย แพทย์กลุ่มหนึ่งจึงเริ่มหันมาทำการศึกษาอย่างจริงจัง ด้วยคงจะสงสัยว่าเจ้าสัตว์เลี้ยงพวกนั้นมักเก่งกว่าหมอตรงไหน?

    ทุกวันนี้ จึงมีองค์กรที่ฝึกสัตว์เลี้ยงเพื่อทำหน้าที่เหล่านี้โดยตรง ใครที่มีสัตว์เล้ียง รักเขาให้มากๆนะคะ เขามีอะไรให้เรามากมายกว่าที่เรานึกถึงมากนัก สาระเหล่านี้ทำให้พี่นักเขียนได้รับข้อมูลความรู้เพิ่มจากท่่านอาจารย์อนาลัย ณ จุดนี้ว่า

    สติสัมปชัญญะมีหลายเผ่าพันธุ์ ที่ไปถือกำเนิดเป็นมนุษย์ก็เติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ในการเป็นมนุษย์ไปหลายชาติภพ หลายเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ จนกว่าการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตจะสมบูรณ์ จิตวิญญาณจึงจะดำเนินชีวิตต่อไปในวงจรชีวิตอื่นๆนอกเหนือชาติภพ ซึ่งหมายความว่า จิตวิญญาณที่เลือกมาถือกำเนิดเป็นมนุษย์ ย่อมเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตด้วยการถือกำเนิดเป็นมนุษย์ตลอดไปจนครบวงจร ไม่ข้ามไปเกิดเป็นสุนัขหรือแมว เป็นต้น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ จิตวิญญาณที่ไปถือกำเนิดเป็นสัตว์ ไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่ามนุษย์ แต่เป็นรูปกายของสิ่งมีชีวิตที่เติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ในทิศทางที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
    เมื่อมนุษย์ยึดติดกับความคิดหรือความเชื่อทางศาสนา เธอมักคิดว่ามนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์เมื่อสภาวะจิตวิญญาณตกต่ำ เพราะเธอตีค่าสัตว์โลกต่ำกว่ามนุษย์ บ่อยครั้งเธอยังว่ากล่าวมนุษย์ว่ามีจิตใจเลวร้ายเหมือนสัตว์ เธอมองข้ามความเป็นจริงที่ปรากฏให้เธอเห็นเสมอๆว่า สัตว์เลี้ยงที่รักและตายแทนเจ้านายของมันได้นีั้นมีอยู่มากมาย มันเป็นความรักและอารมณ์อันประเสริฐและยิ่งใหญ่ในทิศทางที่มนุษย์เช่นเธอทั้งหลายเป็นไม่ได้ มันไม่ได้ดีกว่าหรือเลวกว่ามนุษย์เลย เมื่อเธอทั้งหลายสร้างตารางลำดับความสูงต่ำของจิตวิญญาณด้วยการกำหนดเอามนุษย์ไว้ในรายการสูงสุด และต่ำลงไปคือสัตว์โลกชนิดต่างๆ เธอก็นำความเชื่อนี้ไปสร้างตารางวิิวัฒนาการของจิตวิญญาณ อันมีมนุษย์อยู่รายการล่างสุด ต่อยอดขึ้นไปด้วยรายการของเทพ เทวดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือมนุษย์ เธอไม่อาจจะจินตนาการได้ว่า จิตวิญญาณที่เธอเรียกว่า เหนือมนุษย์นั้น คือจิตวิญญาณที่เป็นส่วนหนึ่งของสัตว์โลกทุกชนิดที่เธอเชือว่าต่ำต้อยกว่าเธอ เป็นส่วนหนึ่งของผืนโลกทุกตารางน้ิว เมล็ดทรายทุกเมล็ด หยดน้ำค้างทุกหยด และทุกอนูในจักรวาลที่สนับสนุนเธอ



    ส่วนสัตว์เลี้ยงประเภทที่ต้อนรับแขกไปหมดเช่นสุนัขบางพันธุ์ที่เรารู้จักกันดี (พี่นักเขียนเคยมี Golden Retriever) หากใช้เฝ้าบ้าน ก็คงเปิดประตูเชิญโจรเข้าบ้าน เปิดตู้เซฟให้เขาแล้วเสริฟน้ำต้อนรับด้วยถ้าทำได้ อารมณ์อันเป็นมิตรอย่างปราศจากเงื่อนไขของสัตว์เหล่านี้ ก็เป็นอารมณ์อันประเสริฐที่ไม่ปรากฏในมนุษย์อีกเช่นกัน

    มนุษย์จัดลำดับเหล่านั้นขึ้นมาตามความเชื่อ เราไม่เคยตั้งคำถามว่า ศาสนาอื่นๆในโลกเขาเชื่อเช่นนี้ไหม? เมื่อเขาไม่เชื่อ เรามักสรุปว่า มันเป็นเพราะว่าเข้าไม่รู้ เรามักไม่เคยตัั้งคำถามว่า ความคิดบางอย่างที่ปรากฏในศาสนาหนึ่ง และ ไม่ปรากฏในอีกศาสนาหนึ่ง เพราะมันเป็นเพียงความเชื่ออันจำกัดของศาสนาหนึ่งๆหรือเปล่า ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า ความรู้อันเป็นของกลางของสากลโลก จะปรากฏในทุกศาสนาเสมอเหมือนกันหมด

    พี่นักเขียนเคยใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษและมาใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกายาวนานหลายปี รู้เห็นการที่ชาวอังกฤษและอเมริกันรักและเลี้ยงสัตว์เลี้ยงของเขาเสมือนสมาชิกในครอบครัว สัตว์ของเขาไม่ได้มีชื่อที่ต่างจากคนโดยสิ้นเชิง บ่อยๆเขาก็ตั้งชื่อสุนัขหรือแมวของเขาเหมือนชื่อคน เขารักและให้มันกินนอนอยู่ในบ้านเสมือนสมาชิกครอบครัวจริงๆ หากบ้านไหนปล่อยปละละเลยไม่อาบน้ำแปรงขนให้สุนัข ปล่อยเป็นสางกระตังละก็ ถูกองค์กร Humane Society มายึดสัตว์เลี้ยงนั้นไปเพื่อหาเจ้าของใหม่ที่ดีกว่าให้ แถมเจ้าของเก่าต้องถูกจำคุกและเสียค่าปรับอีกด้วยค่ะ ด้วยทัศนคติของสังคมที่เป็นไปในทิศทางนี้ จึงไม่มีสุนัขหรือแมวข้างถนนปรากฏเลยแม้แต่ตัวเดียว หากมีตัวใดหลงมา คนที่เก็บได้จะนำไปไว้ที่ shelter เพื่อให้เจ้าของมารับ หรือหาเจ้าของใหม่

    พี่นักเขียนเอาใจช่วยให้โชคดีกลับมาเร็วๆนะคะ :)
     
  10. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    สัตว์เลี้ยงกับเจ้าของสื่อสารกันได้ทางจิตเสมอ

    คุณน้อง leogirl ส่งใจไปให้โชคดีเรื่อยๆนะคะ ให้เขารู้ว่าเรารักเขาและเขาเป็นที่ต้องการ สัตว์เลี้ยงกับเจ้าของสื่อสารกันได้ทางจิตเสมอ ไม่ว่ามันจะอยู่ไกลจากเจ้าของเพียงใดก็ตาม ซึ่งเป็นสาเหตุให้สัตว์เลี้ยงที่หลงทาง หรือพลัดพรากจากเจ้าของ กลับไปหาเจ้าของได้ในที่สุด ที่จริงแล้วธรรมชาติความเป็นจริงข้อนี้ เป็นไประหว่างมนุษย์และสัตว์ป่าอื่นๆด้วยเช่นกัน แต่เมื่อมนุษย์ไม่ไว้ใจสัตว์ป่าเท่าสัตว์เลี้ยง หรือไม่ไว้ใจสัตว์เลี้ยงของผู้อื่นเท่าสัตว์เลี้ยงของตนเอง เราจึงคิดว่าเราสื่อสารกับสัตว์อิื่นๆไม่ได้เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงของเราเอง

    พี่นักเขียนทดลองใช้การสื่อสารกับสัตว์ด้วยภาษาใจมาหลายครั้ง เล่าเรื่องหนึ่งไว้ที่ http://www.novaanalai.com/novaanalai/Raccoon.html

    เวลาไปบ้านใครที่เขาเลี้ยงสุนัขและมันเห่าไม่หยุด เจ้าของจะดุว่ายังไงมันก็ยิ่งเห่า พี่นักเขียนจะใช้วิธีกอดอก เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ทางกายที่ทำให้มันรู้ว่า เราปราศจากมือไม้ที่จะกระทำได้ แล้วมองหน้าสุนัขนั้นเงียบๆแล้วบอกเขาในใจว่า รู้จักกันหน่อยนะ เธอดูหล่อเหลา หรือ สะสวยดีจริง ฉันมาเยี่ยมนายของเธอ ฉันไม่ได้จะมาจับต้องอะไรในบ้านนี้หรอกจ้ะ สุนัขเหล่านั้นมักจะหยุดชะงัก เหมือนกับว่ามันได้ยิน มันมักจะกระดกหูหรือเอียงคอ บางทีก็เห่าต่อ และก็หยุดชะงักอีก จนสักพัก มันก็หยุดเห่า และเป็นมิตรได้โดยง่าย บางตัวพอเจ้าของปล่อยมาหา คุณเธอก็นอนหงายท้องแอ้งแม้งให้เกาท้องเลยก็มี

    สัตว์โลกมีความรู้ มีอารมณ์และมีความรู้สึกนึกคิดมากมายที่คนเข้าไม่ถึง อารมณ์ของสัตว์ที่เราพอจะเข้าถึงบ้างก็มีเพียงสัตว์เลี้ยงของเราเอง ที่เรารู้ว่าเขารัก และซื่อสัตย์ต่่อเราได้อย่างถวายชีวิต ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า จะเปรียบกับอารมณ์ของคนก็ยังหาไม่ได้

    ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ในโลกตะวันตกหันมาศึกษาเรื่องนี้กันมาก เพื่อจะนำประโยชน์ของอารมณ์ของสัตว์เหล่านี้ไปใช้ ในอเมริกา-แพทย์เริ่มนำสัตว์เลี้ยง-โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุนัข ไปใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการต่างๆ พี่นักเขียนไม่แน่ใจว่าโรคอะไรบ้าง แต่วิธีการคือ เขาจะฝึกสุนัขให้เป็นเสมือนพี่เลี้ยง สุนัขเหล่านี้อาจจะเป็นสัตว์เลี้ยงเดิมของผู้ป้วย หรือเป็นสุนัขที่ทางหน่วยงานฝึกแล้วจัดให้ไปทำหน้าที่พี่เลี้ยงผู้ป่วย สัตว์เหล่านี้นอกจากจะทำหน้าที่รับหนังสือพิมพ์ เปิดประตูบ้าน-ปิดล้อกประตูบ้าน จูงผู้ป่วย นำทางผู้ป่วย รับโทรศัพท์ (ไม่ได้ hello แทนเจ้าของนะคะ) แต่คาบโทรศัพท์มาให้เจ้าของที่ป่วยจนลุกไปรับไม่ได้ หรือไปรับไม่ได้ทันการ แล้วมันยังทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยอีกด้วย

    การรักษาผู้ป่วยของสัตว์เหล่านี้ เคยเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติมาก่อน คือ สัตว์ที่รักเจ้านาย อยู่กับนายที่ป่วย มักจะเอาคาง หรือ อุ้งตีนของขาหน้า ไปวาง ณ ตำแหน่งที่นายของมันเจ็บปวด สัตว์เหล่านั้นจะทำเสมอๆ จนนายของมันแปลกใจว่า มันรู้ได้อย่างไรว่านายเกิดอาการเจ็บปวดขึ้นเมื่อไรและตรงไหน แต่สัตว์เลี้ยงเหล่านั้นก็จะทำเสมอๆ จนในที่สุดนายผู้ป่วยเหล่านั้นอาการดีขึ้นหรือแม้แต่หายจากโรตที่ไม่น่าจะหาย แพทย์กลุ่มหนึ่งจึงเริ่มหันมาทำการศึกษาอย่างจริงจัง ด้วยคงจะสงสัยว่าเจ้าสัตว์เลี้ยงพวกนั้นมักเก่งกว่าหมอตรงไหน?

    ทุกวันนี้ จึงมีองค์กรที่ฝึกสัตว์เลี้ยงเพื่อทำหน้าที่เหล่านี้โดยตรง ใครที่มีสัตว์เล้ียง รักเขาให้มากๆนะคะ เขามีอะไรให้เรามากมายกว่าที่เรานึกถึงมากนัก สาระเหล่านี้ทำให้พี่นักเขียนได้รับข้อมูลความรู้เพิ่มจากท่่านอาจารย์อนาลัย ณ จุดนี้ว่า

    สติสัมปชัญญะมีหลายเผ่าพันธุ์ ที่ไปถือกำเนิดเป็นมนุษย์ก็เติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ในการเป็นมนุษย์ไปหลายชาติภพ หลายเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ จนกว่าการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตจะสมบูรณ์ จิตวิญญาณจึงจะดำเนินชีวิตต่อไปในวงจรชีวิตอื่นๆนอกเหนือชาติภพ ซึ่งหมายความว่า จิตวิญญาณที่เลือกมาถือกำเนิดเป็นมนุษย์ ย่อมเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตด้วยการถือกำเนิดเป็นมนุษย์ตลอดไปจนครบวงจร ไม่ข้ามไปเกิดเป็นสุนัขหรือแมว เป็นต้น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ จิตวิญญาณที่ไปถือกำเนิดเป็นสัตว์ ไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่ามนุษย์ แต่เป็นรูปกายของสิ่งมีชีวิตที่เติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ในทิศทางที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
    เมื่อมนุษย์ยึดติดกับความคิดหรือความเชื่อทางศาสนา เธอมักคิดว่ามนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์เมื่อสภาวะจิตวิญญาณตกต่ำ เพราะเธอตีค่าสัตว์โลกต่ำกว่ามนุษย์ บ่อยครั้งเธอยังว่ากล่าวมนุษย์ว่ามีจิตใจเลวร้ายเหมือนสัตว์ เธอมองข้ามความเป็นจริงที่ปรากฏให้เธอเห็นเสมอๆว่า สัตว์เลี้ยงที่รักและตายแทนเจ้านายของมันได้นีั้นมีอยู่มากมาย มันเป็นความรักและอารมณ์อันประเสริฐและยิ่งใหญ่ในทิศทางที่มนุษย์เช่นเธอทั้งหลายเป็นไม่ได้ มันไม่ได้ดีกว่าหรือเลวกว่ามนุษย์เลย เมื่อเธอทั้งหลายสร้างตารางลำดับความสูงต่ำของจิตวิญญาณด้วยการกำหนดเอามนุษย์ไว้ในรายการสูงสุด และต่ำลงไปคือสัตว์โลกชนิดต่างๆ เธอก็นำความเชื่อนี้ไปสร้างตารางวิิวัฒนาการของจิตวิญญาณ อันมีมนุษย์อยู่รายการล่างสุด ต่อยอดขึ้นไปด้วยรายการของเทพ เทวดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือมนุษย์ เธอไม่อาจจะจินตนาการได้ว่า จิตวิญญาณที่เธอเรียกว่า เหนือมนุษย์นั้น คือจิตวิญญาณที่เป็นส่วนหนึ่งของสัตว์โลกทุกชนิดที่เธอเชือว่าต่ำต้อยกว่าเธอ เป็นส่วนหนึ่งของผืนโลกทุกตารางน้ิว เมล็ดทรายทุกเมล็ด หยดน้ำค้างทุกหยด และทุกอนูในจักรวาลที่สนับสนุนเธอ



    ส่วนสัตว์เลี้ยงประเภทที่ต้อนรับแขกไปหมดเช่นสุนัขบางพันธุ์ที่เรารู้จักกันดี (พี่นักเขียนเคยมี Golden Retriever) หากใช้เฝ้าบ้าน ก็คงเปิดประตูเชิญโจรเข้าบ้าน เปิดตู้เซฟให้เขาแล้วเสริฟน้ำต้อนรับด้วยถ้าทำได้ อารมณ์อันเป็นมิตรอย่างปราศจากเงื่อนไขของสัตว์เหล่านี้ ก็เป็นอารมณ์อันประเสริฐที่ไม่ปรากฏในมนุษย์อีกเช่นกัน

    มนุษย์จัดลำดับเหล่านั้นขึ้นมาตามความเชื่อ เราไม่เคยตั้งคำถามว่า ศาสนาอื่นๆในโลกเขาเชื่อเช่นนี้ไหม? เมื่อเขาไม่เชื่อ เรามักสรุปว่า มันเป็นเพราะว่าเข้าไม่รู้ เรามักไม่เคยตัั้งคำถามว่า ความคิดบางอย่างที่ปรากฏในศาสนาหนึ่ง และ ไม่ปรากฏในอีกศาสนาหนึ่ง เพราะมันเป็นเพียงความเชื่ออันจำกัดของศาสนาหนึ่งๆหรือเปล่า ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า ความรู้อันเป็นของกลางของสากลโลก จะปรากฏในทุกศาสนาเสมอเหมือนกันหมด

    พี่นักเขียนเคยใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษและมาใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกายาวนานหลายปี รู้เห็นการที่ชาวอังกฤษและอเมริกันรักและเลี้ยงสัตว์เลี้ยงของเขาเสมือนสมาชิกในครอบครัว สัตว์ของเขาไม่ได้มีชื่อที่ต่างจากคนโดยสิ้นเชิง บ่อยๆเขาก็ตั้งชื่อสุนัขหรือแมวของเขาเหมือนชื่อคน เขารักและให้มันกินนอนอยู่ในบ้านเสมือนสมาชิกครอบครัวจริงๆ หากบ้านไหนปล่อยปละละเลยไม่อาบน้ำแปรงขนให้สุนัข ปล่อยเป็นสางกระตังละก็ ถูกองค์กร Humane Society มายึดสัตว์เลี้ยงนั้นไปเพื่อหาเจ้าของใหม่ที่ดีกว่าให้ แถมเจ้าของเก่าต้องถูกจำคุกและเสียค่าปรับอีกด้วยค่ะ ด้วยทัศนคติของสังคมที่เป็นไปในทิศทางนี้ จึงไม่มีสุนัขหรือแมวข้างถนนปรากฏเลยแม้แต่ตัวเดียว หากมีตัวใดหลงมา คนที่เก็บได้จะนำไปไว้ที่ shelter เพื่อให้เจ้าของมารับ หรือหาเจ้าของใหม่

    พี่นักเขียนเอาใจช่วยให้โชคดีกลับมาเร็วๆนะคะ :)
     
  11. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    การถูกของ การลงของ การกระทำทางไสยศาสตร์

    ประสบการณ์เกี่ยวกับการโดนของ การถูกกระทำทางไสยศาสตร์และการแก้ เป็นสิ่งที่พี่นักเขียนเคยรู้เห็นเป็นพยาน และประสพด้วยตนเองหลายเรื่อง แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้รับคำอธิบายที่กระจ่างแจ้งมาก่อนว่า "ของ"หรือ "การกระทำ"ที่ว่านั้นคืออะไร เหตุใดมันจึงมีผลต่อผู้ถูกกระทำ และการแก้นั้นคืออะไร เหตุใดมันจึงยกเลิกการกระทำนั้นๆได้?

    จนกระทั่งตนเองได้เผชิญกับการกระทำอันไม่เป็นมิตร ที่บางคนเรียกว่า "ลงของ" ซึ่งเกิดจากปัญหาการแบ่งแยกที่ดินซึ่งอยู่ติดกัน พี่นักเขียนเชื่อว่าเพื่อนบ้านไม่ปรารถนาให้พี่นักเขียนขายบ้าน เพราะจะทำให้เขาเสียประโยชน์เกี่ยวกับที่ดิน ซึ่งพี่นักเขียนในฐานะเจ้าของเดิมถูกเพื่อนบ้านสร้างรั้วล้ำที่ดินของพี่นักเขียนเข้ามา ที่ดินหายไปหลายตารางวา แต่พี่นักเขียนไม่เคยรังวัดและไม่เคยทราบว่าถูกรุกที่ พี่นักเขียนเชื่อว่าหากเจ้าของใหม่เขาเอาเรื่อง เพื่อนบ้านนั้งคงลำบาก เพราะนอกจากจะต้องเสียเงินทำรั้วใหม่แล้ว ยังเสียที่ดินคืนมาอีกด้วย

    พี่นักเขียนได้ฝันไปว่าเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันนั้น ได้นำเอาเสือมาปล่อย โดนเหนี่ยวนำให้เสือนั้นมุ่งหน้ามายังบ้านของพี่นักเขียน ในขณะที่มองเห็น ฝันว่าตนเองอยู่ในบ้านที่ล้อคประตูหน้าต่างมิดชิด แต่มองผ่านกระจกหน้าต่างไป แลเห็นว่าเสือนั้นเดินอ้อมไปด้านหลังของผู้ที่นำมันมาปล่อย มันหมอบนิ่งอยู่บนขอบรั้วบ้านราวกับว่าพร้อมที่จะกระโดดลงมาตระครุบเขา เจ้าตัวมองไม่เห็น แต่หลงคิดว่านำมันมาปล่อยใส่บ้านพี่นักเขียนเรียบร้อยแล้ว พี่นักเขียนพยายามทุบกระจกและร้องบอกเขาก็ไม่ได้ยิน จนตนเองตกใจตื่น

    เช้าวันรุ่งขึ้นพบว่า เพื่อนบ้านนำยันต์รูปเสือมาปิดไว้ตรงขอบบนของรั้วบ้านเขา ณ ตำแหน่งที่พี่นักเขียนฝันเห็นเสือหมอบอยู่พอดี โดยหันหน้าเสือใส่ทางเข้าบ้านพี่นักเขียน ก็ฉุกคิดถึงความฝัน แม้จะไม่มีความรู้ว่าภาพเสือที่ว่านั้นคืออะไร แต่ก็เชื่อว่ามันเป็นสัญญลักษณ์ที่ค่อนข้างจะก้าวร้าวหรือประทุษร้ายมากกว่าดี ช่วงนั้นพี่นักเขียนกำลังเปิดบ้านให้ผู้สนใจเข้าชม ปรากฏว่าผู้ชมจะเดินเข้าและเดินออกราวกับว่าไม่ได้มองดูอะไรเท่าไรนัก บางคนโทรกลับมาบอกว่าชอบบ้านมาก เสียแต่ว่ามันขาดโน่นขาดนี่ ซึ่งจริงๆแล้วมีอยู่ เช่นบอกว่าห้องนอนบางห้องขาดห้องน้ำ หรือบางห้องไม่มีแอร์ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ห้องนอนทุกห้องมีห้องน้ำในตัวและมีแอร์ทุกห้อง เป็นต้น สรุปคือเขามองไม่เห็นสิ่งทีมีอยู่

    วันหนึ่งพี่นักเขียนเปิดบ้านให้เพื่อนๆมานั่งสมาธิกัน ปรากฏว่ามีสตรีสูงอายุท่านหนึ่งติดตามเพืื่อนคนหนึ่งมาด้วย ทันทีที่เธอก้าวเข้ามาในบ้าน เธอหยุดชะงักและบอกว่า "คุณคะ บ้านของคุณโดนของ มีเงาตะคุ่มดำๆบังตรงโน้นตรงนี้เต็มไปหมด" เธอแนะนำให้พี่นักเขียนไปหาพระ คนทรง หมอผีหรือซินแสมาช่วยแก้ของ เพราะบอกว่าเธอได้แต่เห็นและสัมผัสได้แต่แก้ไม่ได้ พี่นักเขียนเชื่อว่าเธอสัมผัสได้ เพราะเราเองก็เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น

    พี่นักเขียนอยู่กับความเชื่อและความข้องใจนี้หลายวัน จนกระทั่งคืนหนึ่งนั่งสมาธิและตั้งจิตขอวิธีแก้ไข เพราะเข้าใจว่า มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นและทำให้ผู้เข้าชมบ้านมองไม่เห็นส่วนดีๆของบ้านอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อจิตรวมลงเป็นสมาธิก็เกิดตัวรู้วูบขึ้นมาว่า การจะปราบเสือได้นัั้นต้องปราบด้วยเมตตา แลเห็นภาพฤาษีเดินดงผุดขึ้นมาในจินตนาการ ซึ่งเป็นวัตถุมงคลที่ทำจากกระเบื้องหลังคาโบสถ์โบราณที่คุณพ่อของพี่นักเขียนเก็บสะสมไว้ ช่วงนั้นได้ pack ของหมดบ้านแล้ว พร้อมจะขนย้ายมาอเมริกา ทำให้ท้อใจ ไม่ทราบว่าจะเปิดลังใด ทั้งหมดมีกว่า 300 ลัง แม้จะจดรายการไว้ แต่ลังที่เก็บวัตถุมงคลไว้ก็มีมากมายหลายลังไม่ได้จดละเอียดถึงขนาดจะทราบได้ว่าอยู่ในลังใด และลังเหล่านั้นอยู่ตรงไหนก็หายากพออยู่แล้ว

    แต่เมื่อเห็นภาพแล้วคิดว่าเป็นความจำเป็น จึงเสี่ยงทายขอให้เปิดถูกลัง ปรากฏว่าเลือกเปิด 1 ใน 9 ลัง และหยิบขึ้นชิ้้้นแรก ซึ่งห่อไว้มิดชิด เปิดออกมาก็ได้วัตถุมงคลชื้นที่เป็นภาพฤาษีเดินดงจริงๆ ขนหัวลุกหมด ทำให้คิดว่าความบังเอิญไม่มีจริง

    ตามความเชื่อเดิม พี่นักเขียนได้ดำเนินการตั้งโต๊ะบูชาฤษีเดินดง ขอให้ท่านช่วยมาปราบเสือ โดยไม่ได้เล่าถึงปัญหาและความเป็นไปเหล่านี้ให้ใครฟัง วันรุ่งขึ้นคุณแม่ของพี่นักเขียนมาทานข้าวด้วย อยู่ๆท่านก็เอ่ยขึ้นลอยๆว่า "ลูกรู้ไหมว่า ทำไมเขาจึงเรียกเนื้อส่วนหนึ่งว่า เสือร้องไห้" แล้วท่านก็เล่าต่อว่า "เนื้อส่วนนี้คือ filet mignon (ฟิเลท์ มินยอง หรือ สันใน) เวลาเสือมันกินวัวทั้งตัว มันกินส่วนอื่นๆจนอื่มเสียแล้ว พอถึงส่วนที่ดีที่สุดมันก็อิ่มจนกินไม่ไหวแล้วมันจึงต้องร้องไห้"

    เมื่อได้ยินคุณแม่เล่า แม้เป็นเพียงบทสนทนาสนุกๆ แต่ก็ทำให้คิดว่าความบังเอิญไม่มีจริง-อีกแล้ว พี่นักเขียนจึงให้คนที่บ้านช่วยไปหาเสือร้องไห้มาสักกิโล ปรากฏว่าหายากมาก และแพงกว่าที่คิดมาก ในที่สุดคนที่บ้านไปหามาได้ช้ินหนึ่งเกือบ 2 กิโล โดยแม่ค้าไม่ยอมแบ่งขาย บอกว่าโรงแรมเขามาเหมาเสมอๆ หากเหลือเศษกลัวเขาจะไม่เอา

    พี่นักเขียนจึงจัดการเอาเนื้อไปวางไว้กลางแจ้ง จุดธูป แล้วตั้งจิตด้วยการจินตนาการ เห็นเสือมากินเนื้อ พอธูปดับก็นำเอาเนื้อนั้นไปโยนไว้ข้างทางที่สุนัขข้างทางชอบมากินเศษอาหารที่บ้านอื่นๆเขาเอามาเลี้ยงเป็นประจำ สิ่งที่ประหลาดก็คือ สุนัขข้างทางมากินเศษอาหารและแม้แต่เศษกระดูกที่คนมาเททิ้งตามปกติ แต่หลายวันผ่่านไป ไม่มีสุนัขตัวใดแตะต้องเนื้อชิ้นนั้นเลย จนในที่สุดคนที่บ้านต้องออกไปเก็บแล้วห่อไปทิ้ง

    ที่เล่ามายืดยาวนี้ พี่นักเขียนอยากจะอธิบายว่า ที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า การกระทำทั้งหลายเป็นการกระทำทางจิต เป็นคำกล่าวที่ลุ่มลึก แต่มีความเป็นจริงอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมาที่สุด พี่นักเขียนไม่ได้วิ่งไปหาผู้ใดให้ช่วยแก้ของให้ด้วยความคิดที่ว่า หากเราต้องพึ่งผู้อื่นสำหรับสถานการณ์เช่่นนี้ มันหมายถึงว่า เราจะต้องดำเนินชีวิตต่อไปด้วยความกลัว เพราะเราคิดว่าเราแก้ไขด้วยตนเองไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ท่านอาจารย์อนาลัยสอนเราเลย

    พี่นักเขียนพิจารณาคำสอนของท่าน และเข้าใจได้ว่า การทำของ การลงของ การกระทำทางไสยศาสตร์ ทั้งหลาย ล้วนเป็นการกระทำทางจิต เรียกได้ว่า เป็นการกระทำด้วยอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดที่มุ่งประทุษร้ายหรือจดจ่อในแง่ลบ พิธีกรรมทั้งหลายที่ผู้ประกอบพิธีใช้วัตถุสิ่งของประกอบเป็นเพียงสัญญลักษณ์ ซึ่งหมายถึงว่า แม้ว่าเพื่อนบ้านเขาจะไม่ได้ยันต์หัวเสือมา เพียงแค่ความเชื่อของพี่น้กเขียนที่ว่า เพื่อนบ้านใช้อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบของเขา บวกกับอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดสนับสนุนจากผู้ประกอบพิธี การกระทำจากจิตก็เกิดขึ้นแล้ว แต่หากปราศจากวัตถุคือ ยันต์หัวเสือ พี่นักเขียนก็อาจจะเชื่อน้อยลงหน่อยเพราะไม่รับรู้หรือไม่รับเอาอย่างเป็นรูปธรรมโดยปริยาย

    แต่เมื่อพี่นักเขียนฝันเห็นเสือ การรู้เห็นนั้นเป็นไปด้วยความเชื่อและความกังวลส่วนตน ซึ่งเรียกได้ว่ารับเอาความคิดร้ายทางจินตภาพเข้ามาด้วยความเชื่อและควาวมคิดว่าเพื่อนบ้านมีความไม่พอใจเป็นอันมาก และเมื่อตื่นขึ้นมาเห็นยันต์หัวเสือ ก็เท่ากับว่ารับเอาความเชื่อและความคิดร้ายทางกายภาพเข้ามาอีก การกระทำทางจิตของเขาอันเกิดจากความเชื่อของพี่นักเขียนจึงสัมฤทธิ์ผล

    ทางแก้ของพี่นักเขียนที่จริงแล้ว สามารถทำได้ง่ายกว่าที่จะต้องเสียสตางค์ตั้งโต็ะบูชา ถวายดอกไม้และภัตตาหารแก่ฤาษี หรือ ซืึ้อเนื้อให้เสือกิน แต่ด้วยความเชื่อ และความเป็นมนูษย์ที่่ยังยึดติดกับประสาทสัมผัสทั้งห้า ทำให้พี่นักเขียนจำต้องแปลงการกระทำทางจิต ให้เป็นการกระทำทางกายภาพ เพื่อให้รู้เห็นได้ว่า การกระทำนั้นๆเกิดขึ้นแล้ว การบูชาฤาษีด้วยดอกไม้และภัตตาหาร เป็นเพียงสัญญลักษณ์ทางกายภาพที่แสดงถึงการกระทำทางจิตของพี่นักเขีียน คือ การตอบสนองต่อความคิดร้าย (สัญญลักษณ์คือเสือในความฝัน หรือยันต์รูปเสือที่ติดอยู่ขอบรั้ว) ด้วยการใช้บุคลิกภาพที่มีเมตตา (สัญญลักษณ์คือฤาษีเดินดง) เพราะหากไม่มีเมตตาคงเอานายพรานมาใช้แทนฤาษีแล้วค่ะ

    การจุดธูปและนำเนื้อสวนที่ดีที่สุดมาให้เสือ เป็นสัญญลักษณ์ของการแผ่เมตตาด้วยการให้ในสิ่งที่ผู้รับไม่อาจจะหาได้หรือเอาได้ด้วยตนเอง

    หลังจากพี่นักเขียนได้ทำการไปตามความเชื่อแล้ว ปรากฏว่าเปิดบ้านให้ผู้ชมทีไรก็ได้รับคำชมที่ไม่เคยได้รับมาก่อน มีผู้สนใจหลายรายและในที่สุดพี่นักเขียนก็ขายบ้านได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยปราศจากปัญหาระหว่างเจ้าของใหม่กับเพื่อนบ้าน และทุกอย่างก็ลงเอยด้วยดี

    ในที่นี้พี่นักเขียนไม่ได้หมายความว่า พิธีกรรมทั้งหลายไร้ประโยชน์ แต่พี่นักเขียนหมายความว่า พิธิีกรรมทั้งหลายเป็นสัญญลักษณ์ทางกายภาพที่สะท้อนถึงการกระทำทางจิต ซึ่งเกิดขึ้นก่อนภายใน รู้เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่มีผลบังคับให้สัมฤทธิ์ผลได้จริง แต่พิธีกรรมทั้งหลายช่วยให้เรารู้เห็นการกระทำทางจิตเป็นรูปธรรม แม้ว่าการกระทำทางจิตแต่เพียงอย่างเดียวก็สามารถแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่การเป็นมนุษย์ซึ่งขึ้นอยู่กับประสาทสัมผัสทั้งห้าทำให้เราจำเป็นต้องพึ่งพาพิธีกรรม เพื่อให้เราเห็นการกระทำทางจิตเป็นรูปธรรม และช่วยให้เราเกิดความมั่นใจว่า ได้กระทำแล้ว ความมั่นใจเป็นปัจจัยให้สัมฤทธิ์ผล ดังนั้นจะว่าพิธีกรรมไร้ประโยชน์ก็ไม่ถูกต้อง เพราะพิธีกรรมทำให้ความมั่นใจเกิดขึ้น

    แต่หากเราสามารถจะตระหน้กได้ในระดับจิตสำนึก ในธรรมชาติความเป็นจริงที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า การกระทำทั้งหลายเป้นการกระทำทางจิต
    เราจะรู้ว่า การกระทำทางจิต แต่เพียงอย่างเดียว บวกกับความเชื่อมั่น ย่อมทำให้สัมฤทธิ์ผลได้โดยปราศจากพิธีกรรม

    ในกรณีของคุณน้องขจรวรรณ เป็นไปได้แน่นอนที่จิตวิญญาณเปลี่ยนวิถีการจดจ่อในความฝันทำให้ประสาทสัมผัสที่หกไปรู้เห็นความเป็นไปของสามีของเพื่อน แต่ทั้งนี้ ต้องเข้าใจด้วยว่า สิ่งที่เราเห็นนั้นล้วนเป็นสัญญลักษณ์ของการกระทำทางจิต อันได้แก่การประทุษร้ายหรืออารมณ์โกรธแค้นที่น่าจะเป็นไปในสถานการณ์นี้ เหตุที่ทำให้คุณน้องขจรวรรณรู้เห็นตะปูหรือของสีดำ เกิดจากความคิดและความเชื่อส่วนหนึ่งของคุณน้องเองด้วย ไม่ว่าจะเป็นความคิดและความเชื่อในระดับจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึกก็ตามทีคิดว่า การกลับบ้านเพียงเดือนละสัปดาห์ของคุณสามี เป็นสิ่งที่มีเงื่อนงำ พอคุณน้องน้องหลับ จิตวิญญาณที่ใฝ่รู้จึงลุกขึ้นทำหน้าที่สายลับจำเป็น

    ตัวคุณสามีก็ต้องตระหนักถึงการประทุษร้าย ความโกรธหรือความไม่พอใจของผู้ที่ตนไปมีสัมพันธภาพ การกระทำทางจิต หรือการลงของนั้นๆจึงบังเกิดผล ให้มีอาการท้องอืด การรู้เห็นและลงมือกระทำในความฝันของคุณน้องขจรวรรณ นอกจากจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้และเป็นไปแล้ว เรียกได้ว่าเป็นการแก้ไขแล้ว แต่เจ้าตัวผู้ถูกแก้ไขจะต้องรับรู้อีกต่อหนึ่ง การกระทำทางจิตของคุณน้องขจรวรรณจึงจะสัมฤทธิ์ผล

    สรุปได้ว่า การทำของ การลงของ การกระทำทางไสยศาสตร์ทั้งหลาย ล้วนเป็นการกระทำทางจิต ซึ่งจะเป็นการกระทำที่สัมฤทธิ์ผลได้นั้นต้องมีผู้กระทำและผู้ถูกกระทำที่รับรู้ดัวยกันทั้งสองฝ่าย คำว่ารับรู้ของผู้ถูกกระทำนั้นไม่ได้หมายถึงรู้ว่าเขาทำของ ลงของ หรือกระทำต่อตนด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์ แต่หมายถึงความเชื่อที่ว่า เขาหวังร้าย เขาโกรธ เขามีอารมณ์ในแง่ลบต่อตน พี่นักเขียนใช้คำว่า เชื่อว่าเขาหวังร้าย ไม่ใช่ว่า รู้ว่าเขาหวังร้าย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประสบการณ์ชีวิตของเรา ล้วนเกิดขึ้นจากความเชื่อของเรา

    มาถึงตรงนี้หลายๆคนจะข้องใจว่าทำไม่พี่นักเขียนจึงกล่าวเช่นนี้ สิ่งหนึ่งที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวถึงเสมอๆคือ ประสบการณ์ในโลกภายนอกทางกายภาพ เป็นภาพสะท้อนของโลกภายในทางจินตภาพ ซึ่งหมายความว่า ทุกส่ิงทุกอย่างเกิดขึ้นจากอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดก่อนเสมอ ไม่ใช่ในทางกลับกัน ซึ่งหมายความว่า เรามีความคิด มีความเชื่อก่อนว่า เราถูกหวังร้าย เราถูกประทุษร้าย การหวังร้ายและการประทุษร้ายจากผู้อื่นจึงเกิดขึ้นให้เราเห็น และสนับสนุนความเชื่อของเรา ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวเสมอๆว่า เธอทัั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของเธอ และ เธอจดจ่อกับสิ่งใด ได้สิ่งนั้น-ไม่มีกฏเกณฑ์อื่น

    เมื่อเราแก้ของได้สำเร็จ-แท้จริงแล้วมันคือการเปลี่ยนความเชื่อ เรียกได้ว่า เราเปลี่ยนความเชื่อตนเองได้สำเร็จว่า เราไม่ได้ถูกทำร้ายด้วยความคิดในแง่ลบอีกต่อไป

    หากเราเข้าใจถึงธรรมชาติความเป็นจริงที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า เธอทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของเธอ
    และ เธอจดจ่อกับสิ่งใด ได้สิ่งนั้น-ไม่มีกฏเกณฑ์อื่น
    เราจะตระหนักได้ว่า ไม่มีสิ่งลี้ลับหรืออำนาจลี้ล้บใดๆในโลก ที่สามารถทำลายหรือทำร้ายเราได้ เพราะพลังอำนาจทั้งหมดที่ทำให้ชีวิตของเราเป็นไปนั้น-อยู่ที่ตนเอง เราจะตระหนักถึงความปลอดภัยและความสงบสุขที่แท้จริง ซึ่งทำให้เรารู้ว่าโลกนี้ปราศจากศัตรู ศัตรูที่แท้จริงคือความเชื่อในแง่ลบของตนเอง[Embarrass
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2007
  12. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ลูกนกเขา

    เพื่อนรักของพี่นักเขียนคือคุณป้า Rebecca เธอเป็นผู้ทีมีพลังดึงดูดนกเข้ามาหาอย่างน่าทึ่ง หลายปีมาแล้ว เธอนำเอาพวงหรีดตกแต่งด้วยดอกไม้ปลอมเป็นวงกลมไปแขวนไว้หน้าประตูบ้าน ปรากฏว่า นกนางแอ่นไปทำรังแล้วออกไข่ไว้ 5 ใบ ทำให้เธอไม่กล้าเข้าออกประตูหน้าบ้านเพราะเกรงว่าไข่นกจะตกจากรัง

    พี่นักเขียนไปแวะทานกาแฟด้วยบ่อยๆต้องเข้าทางโรงรถ จนกระทั่งไข่ทั้ง 5 ใบฟักเป็นตัว ก็ยังเข้าทางหน้าบ้านไม่ได้อีกนาน บางครั้งนั่งคุยกันอยู่ในบ้าน พอจะออกมาทางหน้าบ้าน คุณป้า Rebecca ต้องเคาะประตูก่อนจากด้านใน เพื่อขออนุญาตครอบครัวนกนางแอ่นก่อนจะขยับประตู กลัวจะสะเทือนรังทำให้เขาตกใจ

    วันนี้ คุณป้า Rebecca ส่งรูปนกมาให้ คราวนี้เป็นนกเขาซึ่งมาออกไข่ไว้สองฟองใต้ต้นไม้หน้าประตูบ้านแก เพื่งจะฟักเป็นตัวได้ไม่กี่วันช่วงที่พี่นักเขียนไม่อยู่และคุณป้าก็ไม่อยู่เหมือนกัน วันนี้เลยเอาภาพลูกนกเขามาให้ดูเล่นค่ะ ห้ามใครอุ้มไปนะคะ เดี๋ยวแม่นกเขาจะหาไม่เจอ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • dove.jpg
      dove.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.8 KB
      เปิดดู:
      64
  13. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    คราวหน้าเจอ Baby อีกละก็ ส่งมาให้พี่นักเขียนก็ได้ค่ะ ถ้าไม่ส่งก็เตรียมเสบียงไว้คอยท่าแล้วกันนะคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
  15. แก้วทิพย์

    แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +2,435
    "หากเราเข้าใจถึงธรรมชาติความเป็นจริงที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า เธอทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของเธอ
    และ เธอจดจ่อกับสิ่งใด ได้สิ่งนั้น-ไม่มีกฏเกณฑ์อื่น
    เราจะตระหนักได้ว่า ไม่มีสิ่งลี้ลับหรืออำนาจลี้ล้บใดๆในโลก ที่สามารถทำลายหรือทำร้ายเราได้ เพราะพลังอำนาจทั้งหมดที่ทำให้ชีวิตของเราเป็นไปนั้น-อยู่ที่ตนเอง เราจะตระหนักถึงความปลอดภัยและความสงบสุขที่แท้จริง ซึ่งทำให้เรารู้ว่าโลกนี้ปราศจากศัตรู ศัตรูที่แท้จริงคือความเชื่อในแง่ลบของตนเอง"

    ขอขอบคุณคุณพี่นักเขียนมากค่ะ นับวันความรู้ความเข้าใจที่ทบทวีมากขึ้นทุกครั้ง ที่คุณพี่นำเหตุการณ์และประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต เอามาเป็นตัวอย่างประกอบคำสอนอันประเสริฐของพระอาจารย์ให้น้องๆได้อ่านกัน ไม่ต่างกันกับเอาน้ำดีมาไล่น้ำเน่าออกจากความเข้าใจความเชื่อผิดๆผิดๆที่ฝังมานมนาน น้องยังไม่เคยเห็นใครอธิบายละเอียดชัดเจนลงลึกถึงต้นตอแบบนี้เลย ความเชื่อมีอานุภาพมากมายมหาศาลต่อชีวิตจิตวิญญาณของคนเรา ความทุกข์ทั้งหลายแหล่ที่เราทั้งหลายแต่ละคนประสบ แท้จริงแล้วเกิดจากการวางความเชื่อในทิศทางที่ผิด การจดจ่อจึงผิดทิศทาง และก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงปรารถนาตามมา
    แก้วตื้นตันกับคำสอนจริงๆ
     
  16. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964
    คือมีข้อสงสัยจะมาถาม ตอนแรกคิดว่าจะอ่านหนังสือของท่านอนาลัยให้ครบก่อนเพื่อที่จะได้ข้อมูลชัวร์ๆ แต่ก็อดใจไม่ไหวเลยต้องมาถามให้หายสงสัยก่อน
    สมมุตินะคะ ว่าตามที่ท่านอนาลัยบอกคือมนุษย์ทุกคนล้วนมีจิตวิญญาณที่มีความสามารถมีความรอบรู้ได้เองในทุกๆเรื่อง และสิ่งต่างๆที่มีอยู่รอบๆตัวเราที่เราเห็นเราสัมผัสทุกวันนี้ล้วนถือกำเนิดมาจากความเชื่อของพวกเราทั้งสิ้น อยากถามคุณน้าว่า ขอบอกไว้ก่อนว่าคำถามนี้เกิดขึ้นระหว่างที่หนูกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับรื่องพวกนี้ แล้วมีคำถามผุดขึ้นมาในใจแล้วมันก็ตอบกลับมาได้เองทุกครั้ง (เป็นแบบนี้มานานแล้วค่ะ) แต่ก็เกิดเอะใจขึ้นมาว่า จิตวิญญาณของพวกเราล้วนแล้วแต่ทรงความรู้มากมายอยู่ในนั้นหากจะหาคำตอบ หรืออยากพบทางออกสุดท้ายแล้วก็ต้องพึ่งเพียงแค่จิตวิญญาณของตัวเราเองเท่านั้น จะไปฝากความหวังและความเชื่อจากใครคงเป็นไปไม่ได้ อันนี้หนูคิดถูกไม๊ค่ะ

    ถ้าสรรพสิ่งที่สร้างขึ้นเกิดจากความเชื่อของจิตวิญญาณของเราเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา ทำให้มันเป็นไป เป็นไปได้ไม๊ว่า ...ท่านอนาลัย ....แท้ที่จริงแล้วมาจากความเชื่อ ความศรัทธาของคุณน้า เป็นสิ่งที่คุณน้าเนรมิตรท่านขึ้นมา แต่แท้ที่จริงแล้วท่านเป็นเพียงสื่อที่ถูกกำหนดขึ้นมาจากจิตวิญาณของตัวคุณน้าเอง ความจริง ... คือ ความรู้ทั้งหมดมาจากจิตวิญาณในตัวคุณน้า และคุณน้าเลือกที่จะเชื่อว่าสิ่งนั้นมีจริง หากว่าคุณน้าไม่เชื่อท่านอนาลัยก็จะหายไป แต่ความรู้ในจิตวิญญาณของคุณน้าก็ยังคงให้ข้อมูลของเรื่องทั้งหมดที่คุณอยากรู้ได้ เพราะในความเป็นจริง จิตวิญญาณนั้นมีอยู่ในตัวทุกๆคน จะคิดว่าว่าสุดท้ายแล้วจิตวิญาณทั้งหมดก็จะกลับรวมกันไปในที่ๆเคยมา (กลับคืนสู่ธรรมชาติ) รวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ โดยไม่สามารถแยกหรือกำหนดให้เป็นสิ่งใดเป็นอะไรได้อีก...เหมือนที่ท่านอนาลัยเคยบอกว่า ตัวท่านนั้นเป็นอะไรมาจากไหน....(อันนี้ไม่ได้คัดข้อความท่านมาต้องขอโทษด้วย) จะกล่าวอย่างนี้ได้ไหมว่าแท้ที่จริงแล้วท่านอนาลัยคือพวกเรา คือจิตวิญญาณที่อยู่ในตัวเราทุกคน......คืออาจจะฟังดูงงๆหน่อยนะคะ แล้วก็อาจเป็นความเข้าใจอันผิดพลาดอย่างร้ายแรงของหนูเอง อยากให้คุณน้าช่วยตอบคำถามนี้ด้วยคะ แล้วก็ถ้ามันผิดมันพลาดยังงัยช่วยแนะทางสว่างให้ด้วย เพราะยอมรับว่าที่เอามาถามเนี้ยความรู้ที่ได้ศึกษาไปของท่านอนาลัยก็ยังน้อยนิดจากทั้งหมด อาจเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ อย่าโกรธกันนะคะ ....*.*~


    แล้วก็ที่คุณน้าบอกว่าตอนนี้สื่อกับท่านอนาลัยได้โดยไม่ต้องฝันหรือบางครั้งท่านมาได้เองโดยไม่ต้องทำอะไรนั่งๆอยู่ก็เหมือนสามารถพิมพ์ในสิ่งที่ท่านพูดได้เลย เป็นไปได้ไหมว่าจิตวิญญาณของคุณน้าเปิดอย่างสะดวกทำให้คุณน้าสามารถรับเอาความรู้ที่จิตวิญญาณของคุณน้ามีอยู่แล้วสื่อออกมาได้โดยตรงเลย โดยไม่ต้องมาอยู่แค่วิธีทางการฝันอย่างเดียวแล้ว ?


    ********แต่ยังงัยก็แล้วแต่ มีความเชื่อในข้อมูลของท่านอนาลัยค่ะ ถึงจะมีรึไม่มีท่านแต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับข้อมูลที่ท่านมอบให้มาเลยนะค มีประโยชน์มากก มากกจนหาคำมาบรรยายไม่ถูกเลย*********

    (b-cry) [b-wai]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2007
  17. แก้วทิพย์

    แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +2,435
    เมื่อวานนี้ไปนั่งฟังเทศน์ธรรมะจากหลวงปู่องค์หนึ่งซึ่งท่านเป็นที่เคารพของลูกศิษย์ลูกหามากมายหลายจังหวัด ท่านมาจากจังหวัดแถบอีสาณเพื่อเยี่ยมโปรดลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งซึ่งป่วยด้วยมะเร็งที่ทรวงอก ตอนเย็นเมื่อกลับถึงที่พัก ท่านได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาปรารภธรรมะกับบรรดาเหล่าศิษย์ของท่านว่า เวลาเจ็บป่วยอย่าให้ใจกลัว ถึงจะตายก็ให้มันรู้ไป ให้เอาจิตปล่อยวาง(คำนี้แก้วเข้าใจว่าท่านหมายถึงไม่ให้เอาจิตไปจดจ่อกับอาการป่วย)ไม่ต้องเอาใจไปสนใจกับความเจ็บป่วย แล้วสุดท้ายก็จะชนะ (หายป่วย)ไปได้เอง หลวงปู่ท่านอายุ 86 ปีแล้ว แข็งแรงมาก ไปไหนมาไหนได้สบาย แก้วฟังแล้วทึ่งมาก เพราะคำสอนแนะนำเป็นไปในทิศทางเดียวกับของท่านอาจารย์อนาลัย (อีกทั้งตัวแก้วเอง หายป่วยหายเจ็บหลายครั้งหลายครา ก็โดยวิธีการนี้แหละ) ท่านยังหันมาทางแก้วถามย้ำอีกว่าเข้าใจใหม ไม่ต้องไปหาหมอหรอก มาถึงตอนนี้หลายคนในที่นั้น (ยกเว้นแก้ว)ยังลังเลอยู่ บางคนเรียนถามท่านว่า เอาจิตปล่อยวาง แต่ก็ยังกินยาที่หมอให้ใช่ใหมเจ้าคะ ท่านตอบว่า ไม่ต้อง ขอเล่าว่าเมื่อสามเดือนก่อน หลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปเยี่ยมผู้ป่วยผ่าตัดสมองคนหนึ่ง ซึ่งผ่านการผ่าตัด 3-4 ครั้ง เพราะสมองบวมมีน้ำคั่ง จนครั้งสุดท้ายนอนไร้สติบนเตียงไอซียูตลอดเวลา แพทย์ผู้รักษาหมดหนทางช่วย บอกญาติว่า ให้เตรียมใจไว้คงจะไม่พ้นชีวิตภายในวันสองวัน หลังจากหลวงปู่ไปเยี่ยม ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดรวมทั้งแก้วด้วย ว่า คืนนั้นท่านได้นั่งสมาธิ คุยกับจิตวิญญาณของเขา ถามเขาว่าอยากตายหรืออยากอยู่ต่อ จิตวิญญาณของผู้ป่วยตอบท่านว่าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ยังไม่อยากตาย ท่านบอกว่า ถ้างั้นท่านจะช่วย นับตั้งแต่นั้นมา อาการของผู้ป่วยก็ค่อยๆพลิกฟื้นคืนสติอาการดีขึ้นมาเรื่อยๆ ภายในหนึ่งเดือน เธอ (วัยรุ่นหญิงอายุราว 20 ปี) ก็หายเกือบเป็นปกติ ออกจากโรงพยาบาลได้ แก้วพบเธอวันที่เธอมากราบลาหลวงปู่กลับบ้านต่างจังหวัดภาคใตเมื่อราวเดือนเศษๆที่ผ่านมา เธอแข็งแรง หน้าตาปกติ ยิ้มแย้ม ไม่บ่งว่าผ่านความเจ็บป่วยขนาดหนัก
    ในความเข้าใจของแก้ว การช่วยของท่าน คือ ท่านได้ไปทำให้จิตวิญญาณของเขาเปลี่ยนความเชื่อเสียใหม่ คือเกิดความเชื่อว่าต้องหาย ใช่ใหมคะ พี่นักเขียน แก้วพอจะมีความรู้ทางการแพทย์อยู่บ้าง หากเอาตามความคิดและวิทยาการแพทย์ที่มีและใช้ขณะนี้ ก็คงไม่เห็นทางรอดชีวิตของผู้ป่วยรายนี้เช่นเดียวกับที่ญาติของเขารับทราบจากแพทย์เจ้าของไข้
     
  18. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964

    คือจะตอบว่าฟลุ๊คก็คงไม่ได้แล้วใช่ไม๊ค่ะ คือบางครั้งก็ตรงบางครั้งก็ไม่ตรงน่ะ ค่ะ ไม่ได้เป็นแบบนี้เสมอหรอก ถึงบอกว่ายังต้องฝึกอีกเยอะไงค่ะ (b-oneeye) (b-hmm)
     
  19. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964


    แล้วสรุปว่า ที่คุณMead ฝันเนี่ย มันหมายความอารายหว่า(b-evil2)
     
  20. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964

    ค่ะฟังเรื่องพี่แล้วรู้สึกยินดีแทนด้วยจริงๆ รู้สึกร่วมเลยค่ะ ว่ามันเป็นความรู้สึกยังไง (good) (b-flower) (b-smile)
     

แชร์หน้านี้

Loading...