ติดตามสถานะการณ์

ภาคประชาชนเสนอปรับเกณฑ์มาตรฐานการแจ้งเตือนและจัดการฝุ่น PM 2.5 ใช้เกณฑ์ต่ำกว่า 50 มคก./ลบ.ม. ตามมาตรฐานสากล ด้านกรมควบคุมมลพิษ ยันยังต้องใช้ตัวเลขเดิมตามองค์การอนามัยโลกแนะไทย #ThaiPBSnews

ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลช่วงเดือนธันวาคม เริ่มมีสัญญาณเตือนเกินค่ามาตรฐาน ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเช้าที่เป็นชั่วโมงเร่งด่วน

นายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการกรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำประเทศไทย ตั้งข้อสังเกตว่า การแจ้งเตือนให้ประชาชนป้องกันผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ยังคงใช้เกณฑ์เดิม คือ ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง อยู่ที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตัวเลขค่านี้ ยังเป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการยกระดับการทำงานแก้ปัญหาของหน่วยงานต่าง ๆ ตาม “แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระชาติ การแก้ปัญหามลพิษฝุ่นละออง” ซึ่งล่าช้าเกินไป และอาจจะส่งผลกระทบด้านสุขภาพกับประชาชน

กรีนพีซเสนอรัฐบาลใช้ตัวเลขค่าฝุ่น PM 2.5 ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำ คือ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) มาแจ้งเตือนประชาชนให้เฝ้าระวังด้านสุขภาพทันที โดยไม่จำเป็นต้องปรับค่าเกณฑ์มาตรฐานตอนนี้ก็ได้

“หากดูในมุมมองสุขภาพ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ระดับไหนก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ การตั้งรับที่ 50 มคก./ลบ.ม. เป็นการตั้งรับที่ชะล่าใจเกินไป”

ด้าน นายประลอง ดำรงค์ไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ยืนยันว่า เกณฑ์ที่ใช้อยู่ตอนนี้ มีความปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชนและเป็นไปตามคำแนะนำของ WHO สำหรับประเทศไทย หากการแจ้งเตือนใช้ค่าต่ำกว่านี้ เกรงว่า ประชาชนจะเกิดความแตกตื่น และไทยยังไม่มีความพร้อมในการจัดการปัญหานี้

“หากปีนี้เราบอกใช้เกณฑ์ที่ 37.5 จะเกิดการตระหนก โกลาหล ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบมากนักเพราะมันอยู่ในมาตรฐานอยู่ กระทรวงสาธารณสุขบอกแบบนั้น ซึ่งเรารับฟังทุกความคิดเห็น แต่ก็ต้องดูบริบทของไทยด้วย”
ตาม “แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระชาติ การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2562 ระบุไว้เพียงว่า ให้มีการพิจารณาความเหมาะสมในการปรับค่า PM 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมงตามเป้าหมายระยะที่ 3 ของ WHO คือ ที่ 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศ์กเมตร ภายในปี 2565 - 2567

ขณะที่ ประเทศเพื่อนบ้านที่เผชิญกับปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 อย่างประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย มีแผนจะปรับเกณฑ์ค่ามาตรฐาน PM 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ให้ลดลงอยู่ที่ระดับ 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศ์กเมตร ในปี 2563

 

กรมชลประทานคาดว่าไทยจะเผชิญภัยแล้งรุนแรงตั้งแต่เดือน ธ.ค.-พ.ค. ซ้ำรอยปี 2558-2559 ซึ่งอาจกระทบการผลิตน้ำประปาและมีปัญหาความเค็ม พร้อมขอความร่วมมือชาวนาลุ่มเจ้าพระยางดทำนาปรังทั้งหมด เพราะน้ำเหลือไม่มากพอ แต่ยังพบว่าลุ่มเจ้าพระยายังปลูกข้าวกว่า 1.1 ล้านไร่ #แล้ง #ภัยแล้ง

 

Setiawan

ปากีสถาน


แผ่นดินไหว ขนาด 6.1 - ความลึก 210.2 กม

51km SW จาก Jarm, #Aghghanistan


2019-12-20 11:39:52 (UTC)


Pakistan


M 6.1 - 210.2 km depth

51km SW of Jarm, #Afghanistan

2019-12-20 11:39:52 (UTC)

 

Setiawan

เสียงแปลกๆในลิเบีย วันที่ 19 ธันวาคม 2019

 

Setiawan

เสียงแปลกๆถูกได้ยินที่รุ่งอรุณในวันพฤหัสบดีใน Al - Bayda, แอลจีเรีย วันที่ 19 ธันวาคม 2019

 

Setiawan

ฝูงนกในชนบทของ città sant angelo อิตาลี วันที่ 18 ธันวาคม 2019

 

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ลงนามบังคับใช้กฎหมายคว่ำบาตรบริษัทต่างๆ ที่มีส่วนในโครงการก่อสร้างท่อลำเลียงก๊าซธรรมชาติ ‘นอร์ดสตรีม 2’ จากรัสเซียสู่เยอรมนี ซึ่งสภาคองเกรสเกรงว่าอาจจะทำให้มอสโกเข้าไปมีอิทธิพลครอบงำพันธมิตรสหรัฐฯ ในยุโรป

คลิก>> https://mgronline.com/around/detail/9620000121584

#MGROnline #ทรัมป์ #สหรัฐฯ #นอร์ดสตรีม2

 

ชีวิตสุดแสนรันทด ผู้หญิงวัยกลางคนที่ป่วยเป็นมะเร็งต้องฟันฝ่ามรสุมใหญ่ในชีวิตที่แสนสาหัสเพื่อดูแลแม่ชรา และหลานที่พิการทั้ง 3 คน ครอบครัว รุมเร้าทั้งความจนแสนสาหัส บ้านใกล้พัง มีชีวิตในแต่ละวันด้วยข้าวก้นบาตรพระ ทว่า เธอไม่เคยท้อ! ไม่เคยห่วงตัวเอง ตั้งปณิธาน ก่อนตายอยากเห็นแม่กับหลานสบาย

คลิก>>https://mgronline.com/live/detail/9620000121567 #MGRONLINE #MGRLIVE #ฅนจริงใจไม่ท้อ

 

Setiawan

น้ำท่วม Liguria, ประเทศอิตาลี วันที่ 20 ธันวาคม 2019

 

Setiawan


พฤติกรรมแปลกๆของปลา ใน mostaganem, แอลจีเรีย วันที่ 20 ธันวาคม 2019

 

Setiawan

แผ่นดินไหวกระทบอัฟกานิสถานและปากีสถานด้วยแรงสั่นสะเทือนขนาด 6.1 ทำให้ผู้คนวิ่งไปตามถนน วันที่ 20 ธันวาคม 2019

 

Setiawan

Volcanic Activity (RAV) ของ ภูเขาไฟ Villarrica ระบุว่ารักษาระดับการแจ้งเตือนทางเทคนิคในระดับสีเหลือง, ชิลี วันที่ 18 ธันวาคม 2019


การตรวจสอบการแจ้งเตือนสีเหลืองสำหรับ communes ของ Villarrica, Pucónและ Curarrehue ในภูมิภาค La Araucaníaและชุมชน Panguipulli ในภูมิภาคของ Los Ríosโดยกิจกรรมของภูเขาไฟ Villarrica


ข้อมูลที่จัดทำโดย OVDAS - SERNAGEOMIN ผ่าน รายงานกิจกรรมภูเขาไฟ - Volcanic Activity Report (RAV) ของ ภูเขาไฟ Villarrica ระบุว่าจะรักษาระดับการเตือนทางเทคนิคในระดับสีเหลืองซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับของพารามิเตอร์ที่ได้รับจากการเฝ้าระวังที่ระบุว่าภูเขาไฟ อยู่เหนือขีด จำกัด ฐานและกระบวนการไม่เสถียรความสามารถในการพัฒนาเพิ่มหรือลดระดับเหล่านั้นดังนั้นการปะทุที่อาจเกิดขึ้นอาจพัฒนาได้ในช่วงสัปดาห์หรือเดือน


ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ระบุไว้ใน RAV ล่าสุดที่ออกในวันนี้ซึ่งรวมถึงช่วงเวลาระหว่างวันที่ 1 และ 15 ธันวาคมมีรายงานว่าพารามิเตอร์ของการเกิดแผ่นดินไหวอยู่ในระดับพลังงานต่ำสำหรับภูเขาไฟนี้สังเกตการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยของจำนวน VT และ LP แผ่นดินไหวที่เกี่ยวกับรายงานก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ภูเขาไฟยังคงดำเนินกิจกรรมพื้นผิวที่สะท้อนทะเลสาบลาวาบนพื้นผิว (กลางคืนเรืองแสงตลอดช่วงเวลาประเมินและความผิดปกติของดาวเทียม MIROVA) สิ่งนี้สามารถช่วยเพิ่มระดับกิจกรรมภูเขาไฟ


สังเกตเห็นว่าพฤติกรรมของทะเลสาบลาวามีความผันผวนและยังคงอยู่ใกล้กับพื้นผิวทำให้เกิดการปะทุเล็กน้อยที่อาจส่งผลกระทบต่อบริเวณหน้าของปล่องภูเขาไฟ


เมื่อพิจารณาถึงภูมิหลังทางเทคนิคนี้ความตั้งใจของภูมิภาค La Araucaníaและ Los Ríosในการประสานงานกับผู้อำนวยการระดับภูมิภาคของ ONEMI รักษาความตื่นตัวสีเหลืองของระบบการคุ้มครองพลเรือนในเขตเทศบาลของ Villarrica, Pucónและ Curarrehue ในภูมิภาค La Araucanía และชุมชน Panguipulli ในภูมิภาค Los Ríosโดยการปะทุของภูเขาไฟมีผลตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2019 และ(ได้รับการปรับปรุง) เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2019


ด้วยวิธีนี้ระบบป้องกันขอแนะนำให้ใช้ข้อ จำกัด การเข้าถึงอย่างรอบตัวด้วยปล่องภูเขาไฟที่มีรัศมี 500 เมตร


ในส่วนของ SERNAGEOMIN ยังคงมีการติดตามภูเขาไฟอย่างต่อเนื่องและผู้อำนวยการระดับภูมิภาคของ ONEMI จะรักษาการประสานงานกับสมาชิกของระบบป้องกันพลเรือนในภูมิภาคเพื่อแจ้งเตือนและตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินที่เหมาะสม

 

Setiawan

พระอาทิตย์ในจาการ์ตา อินโดนีเซีย วันที่ 20 ธันวาคม 2019


กรองแสง: แว่นกันแดด

 

ค้าเพื่อนบ้านวูบหนัก 6 เดือน‘ระนอง’ติดลบ ยอดหาย 4 พันล้าน 21 Dec 2019

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดระนอง สรุปภาวะ การค้าชายแดนไทย-เมียนมา ด้าน จ.ระนอง 11 เดือนของปี 2562 พบยอดการค้าลดลงจากปีที่ผ่านมากว่า 4,000 ล้านบาท โดยมูลค่าการค้าแต่ละเดือนปีนี้ตํ่ากว่าช่วงเดียว กันของปีที่แล้ว 6 เดือนต่อเนื่อง ประธานหอฯระนองยํ้าปัจจัยแวดล้อมเอื้อเชื่อมั่นอนาคตดีขึ้น



นางวนิดา อรุโณทัย พาณิชย์จังหวัดระนอง เปิดเผยว่า สำนักงานพาณิชย์จังหวัดระนอง รายงานสรุปภาวะการค้าชายแดนไทย-เมียนมา ด้านระนอง ประจำเดือนพฤศจิกายน 2562 ว่า มีมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 1,838.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,740.49 ล้านบาทของเดือนที่ผ่านมา จำนวน 97.65 ล้านบาท หรือเติบโต 5.61% เทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน มีมูลค่าลดลง 51.61 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเปลี่ยนแปลง-2.71%

เมื่อแยกเป็นการส่งออกเดือนพฤศจิกายน 2562 มีมูลค่าทั้งสิ้น 1,091.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคมที่มีมูลค่า 1,005.75 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 86.15 ล้านบาท (8.57%) เทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2561 ที่ส่งออกมูลค่า 1,126.29 ล้านบาท เท่ากับลดลง 34.39 ล้านบาท หรือ -3.05%

โดยสินค้าหลักที่มีการส่งออก อาทิ นํ้ามันเครื่อง นํ้ามันหล่อลื่น จาระบี นํ้ามันเกียร์ นํ้ามันดีเซล นํ้ามันเบนซิน ปูนซีเมนต์ ท่อเหล็กใช้ในการขุดเจาะปิโตรเลียม นํ้าดื่มรวมถึงนํ้าแร่และนํ้าอัดลม อุปกรณ์ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า อวนจับปลา ปุ๋ยเคมี วัตถุทอ เป็นต้น

ส่วนการนำเข้า เดือนพฤศจิกายน 2562 มีมูลค่าทั้งสิ้น 746.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 734.74 ล้านบาทของเดือนก่อน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 11.50 ล้านบาท หรือเติบโต 1.57% เทียบกับช่วงเดือนเดียวกันของปี 2561 ที่นำเข้า 763.12 ล้านบาท มีมูลค่าลดลง 16.88 ล้านบาท หรือติดลบ 2.21% โดยสินค้านำเข้าหลักยังคงเป็นปลาทะเลสดหรือแช่แข็ง ท่อเหล็กขุดเจาะปิโตรเลียม สินค้าประมง อุปกรณ์ทำด้วยเหล็กกล้า ถ่านไม้ สารอินทรีย์ช่วยลดแรงตึงผิว เป็นต้น

นางวนิดา กล่าวว่า จากตัวเลขการค้าที่มีการส่งออกมากกว่าการนำเข้า ดุลการค้าเดือนพฤศจิกายน เกินดุลการค้าอยู่ 345.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 74.65 ล้านบาท คิดเป็น 27.55% เทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่เกินดุลการค้า 363.17 ล้านบาท อัตราการเกินดุลของการค้าไทยผ่านจังหวัดระนอง ลดลง 17.51 ล้านบาท หรือคิดเป็น -4.82%

“ภาพรวมช่วงเดือนพฤศจิกายนปีนี้่ จะเห็นว่ามูลค่าการค้ารวมปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยมีอัตราเพิ่ม 27.55% และเพิ่มทั้งด้านการส่งออกที่เติบโต 8.57% และการนำเข้าที่ขยายตัวได้ 1.57% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว การค้าชายแดนไทย-เมียนมา ด้านจังหวัดระนอง ยังมีมูลค่าตํ่ากว่าต่อเนื่องมาเป็นเดือนที่ 6 นับแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จากภาวะเศรษฐกิจโดยรวม”

นายธีระพล ชลิศราพงศ์ ประธานหอการค้าจังหวัดระนอง กล่าวว่า การค้าผ่านแดนด้านจังหวัดระนอง ไตรมาสที่ 3-4 ต่อเนื่องถึงเวลานี้ เป็นช่วงที่มีอุปสรรคที่ส่งผลทางการค้า จากสภาพของดินฟ้าอากาศ อาจจะส่งผลให้ตัวเลขมูลค่าการค้าลดลง แต่หากพิจารณาถึงพื้นฐานการค้าไทย-เมียนมา ด้านระนอง ยังถือว่าดีถึงดีมาก ทั้งบรรยากาศที่ดีต่อกัน รวมทั้งการขยายช่องทางการค้าการตลาดใหม่ๆ การเพิ่มคู่ค้าระหว่างกันมากขึ้น ดังนั้น แนวโน้มในอนาคตดีอย่างแน่นอน เพราะการขนส่งทางทะเลผ่านชายแดนระนองก็ยังจำเป็นต่อไป

หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,532 วันที่ 19 - 21 ธันวาคม 2562



https://www.thansettakij.com/content/business/416982

 

#ประเด็นร้อนอินเดีย
#ว่าด้วยเรื่องกฏหมายพลเมือง

ประท้วงกันมาสัปดาห์หนึ่งเต็มๆแล้ว และมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กับงานประท้วงที่อินเดีย เมื่อรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ได้ผ่านร่างกฏหมายพลเมืองใหม่ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา

ดูท่าจะแย่แล้ว วันนี้เรามาคุยกันในประเด็นร้อนแดนภารตะนี้กันดีกว่า

จุดเริ่มต้นโดยเนื้อหาคร่าวๆในกฏหมายใหม่ จะให้สถานะพลเมืองให้ชนกลุ่มน้อยผู้ที่อพยพมาจาก บังคลาเทศ อาฟกานิสถาน และปากีสถาน ที่เดินทางเข้าอินเดียไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2014 แต่ให้เฉพาะชาวฮินดู พุทธ เชน ปาร์ซี ซิกส์ คริสต์ เท่านั้น ซึ่งไม่รวมชาวมุสลิม

จากผลของกฏหมายนี้ จะทำให้ชาวมุสลิม ที่อยู่ในอินเดียร่วมล้านอาจกลายเป็นคนไร้สัญชาติ ต้องถูกผลักดันออกนอกประเทศ ทั้งๆที่หลายคนก็มาอยู่ในอินเดียหลายสิบปีแล้ว ได้ยื่นเอกสารขอสิทธิ์พลเมืองในกงสุล ที่กำลังรอผลการพิจารณาอยู่

เท่านั้นแหละ ก็จุดประเด็นร้อน โดยเริ่มจากกลุ่มนักศึกษาในมหาวิทยาลัยมุสลิม 2 แห่ง ได้แก่ Jamia Millia Islamia University (JMI) ในนิว เดลี และ
Aligarh Muslim University (AMU) ในรัฐอุตตรประเทศ ได้ออกมาประท้วง ให้รัฐบาลอินเดียยกเลิกข้อยกเว้นกฏหมายดังกล่าว เพราะริดรอนสิทธิชาวมุสลิม

แต่ทางการก็ส่งตำรวจเข้าไปควบคุมสถานการณ์ และปะทะกันรุนแรงโดยใช้กระสุนจริง มีนักศึกษาหัวล้างข้างแตก บาดเจ็บเป็นแผลกระสุนไปหลายคน

การประท้วงก็เลยลุกลามไปหลายเมืองตามมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ และรุนแรงมากขึ้น จนถึงขั้นเผารถรา สถานที่ราชการ และมีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 6 คน

นับเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุด ในรอบ 6 ปีในสมัยของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ก็ว่าได้

ทีนี้เหตุผลใดที่รัฐบาลอินเดียออกกฏหมายพลเมืองใหม่ลักษณะนี้ ที่ใครมองก็ว่าแปลก ที่ใช้เกณฑ์ศาสนาเป็นตัวแบ่งว่าใครจะได้รับสิทธิ์เป็นพลเมือง

ทางฝั่งรัฐบาลอินเดีย ฝ่ายความมั่นคงก็ออกมาให้เหตุผลว่า กฏหมายใหม่นี้ ไม่มีผลกับชาวมุสลิมอินเดียใดๆ แต่จะพิจารณาให้เฉพาะชนกลุ่มน้อยที่อพยพมาจาก 3 ประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นปัญหา ซึ่ง ชาวมุสลิมไม่ใช่ชนกลุ่มน้อยของประเทศนั้น

ถ้ากฏหมายให้สิทธิ์ชาวมุสลิมด้วย ก็จะมีชาวมุสลิมบังคลาเทศ อาฟกานิสถาน ปากีสถาน นับล้าน ล้นทะลักเข้าประเทศ จะเอาอย่างนั้นหรือ?

แต่ยังไงกฏหมายก็แปลกอยู่ดี เพราะในกฏหมายระบุชัด แค่คนจาก 6 กลุ่มศาสนา ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ชาวมุสลิม แต่นับถือศาสนาอื่นๆอีก ที่ไม่ใช่ 6 ศาสนาที่เขายกมา หรือถ้าเป็นพวกไม่นับถือศาสนาอะไรเลย ก็จะไม่ได้สิทธิ์เป็นพลเมืองหรือ?

งั้นพรุ่งนี้แจ้งเปลี่ยนศาสนาเลย แล้วไปยื่นใหม่ก็ได้ อย่างนั้นหรือ?

ตรงจุดนี้แหละ ที่ทำให้กฏหมายมันไปขัดรัฐธรรมนูญอินเดีย ที่ยึดถือแนวฆราวาสนิยม ไม่ใช้หลักในศาสนานาใด ศาสนาหนึ่งเป็นกฏเกณฑ์ของบ้านเมือง

แต่ที่ประท้วงกันหนักอยู่ตอนนี้ มันไม่ได้จะมีแต่ประเด็นเรื่องกฏหมายพลเมืองใหม่ตัวนี้เพียงอย่างเดียว แต่เจ้ากฏหมายนี้ผ่านออกมาในจังหวะนรก เป็นฟางเส้นสุดท้ายของชาวมุสลิมในอินเดีย

เพราะตั้งแต่นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี เข้ามารับตำแหน่ง ก็รวบรวมฐานเสียงที่เป็นชาวฮินดูไว้เป็นจำนวนมาก ที่มีถึง 80% จากประชากรทั้งประเทศราว 1,350 ล้านคน ที่ตอนหาเสียงก็เอาใจฐานเสียงชาวฮินดู โดยเฉพาะกลุ่ม ชาตินิยมฮินดู เป็นพิเศษ

พอนายกฯ โมดี ชนะเลือกตั้งถล่มทลายในสมัยที่ 2 แกก็ต้องเริ่มทำตามนโยบายที่ได้สัญญาไว้ ตั้งแต่ ยกเลิก เขตปกครองพิเศษ แคว้นจามู แคชเมียร์ เพื่อผลักดันกลุ่มมุสลิมแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่

ต่อมา ยึดพื้นที่มัสยิดบาบรี ในเมืองอโยธยา ที่เป็นข้อพิพาทกับชาวฮินดูมานาน และสร้างเป็นวัดพระรามขึ้นมาแทน

จนมาถึงประเด็นกฏหมายพลเมืองใหม่ ที่ตัดสิทธิ์เฉพาะชาวมุสลิมต่างด้าว ไม่ให้เป็นพลเมือง ชาวมุสลิมอินเดียก็เลยเดือดจัด เพราะดูเหมือนจะถูกลดระดับให้กลายเป็นพลเมืองชั้น 2

พอรัฐบาลอินเดียใช้กำลังเข้าปราบปราม มีการใช้กระสุนจริง สถานการณ์เลยบานปลายจนถึงวันนี้

แถมยังมีข่าวอีกว่า รัฐบาลอินเดียเตรียมปรับกฏหมายการขึ้นทะเบียนพลเมือง National Register of Citizens (NRC) ที่ใช้ในรัฐอัสสัม ทางภาคอีสานของอินเดีย ก็เริ่มมีชาวอัสสัมมาประท้วงกันบ้างแล้ว เพราะโครงสร้างของกฏหมายใหม่นี้ อาจทำให้ชาวอัสสัมในพื้นที่เกือบ 2 ล้านคนกลายเป็นคนไร้สัญชาติ

ก็ไม่รู้ว่านายกฯ นเรนทรา โมดี จะเหยียบเบรคทันไหม ก่อนจะเกิดจราจลครั้งใหญ่ ทั่วอินเดียจนยากจะควบคุม

 

จ่อยกเลิกสัญญาอุโมงค์ส่งน้ำช้ากว่าแผนถึง 58% #ฐานเศรษฐกิจ

 

ออสเตรเลียเจอคลื่นความร้อนซ้ำเติม ผวา ‘ซิดนีย์’ ถูกไฟป่าขนาบ 3 ด้าน-ยังคุมไม่อยู่

 

แปลงน้ำ-ลมเป็นไฟฟ้า ชวนรู้จัก Waterlily กังหันปั่นไฟฟ้าพกพา จากกระแสลมและน้ำ อยู่ที่ไหนก็ชาร์จมือถือได้ทุกที่ทุกเวลา
•
บริษัทสตาร์ทอัพจากแคนาดาชื่อ Seaformatics ได้คิดค้นกังหันปั่นไฟ “Waterlily Turbine” ที่มาพร้อมกับสาย USB สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำและลมได้ทุกที่ทุกเวลา! เหมาะกับสำหรับนักผจญภัยทุกท่านที่ชอบการเดินป่า พายเรือ ปีนเขา แค้มปิ้ง หรือใช้เป็นเครื่องมือแหล่งพลังงานในยามฉุกเฉินก็ได้!
•
เจ้า Waterlily นี้มาในขนาดกระทัดรัดแต่ทรงพลังด้วยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7 นิ้ว และหนา 3 นิ้ว แต่สามารถชาร์จเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆได้
•
วิธีการใช้งานไม่ยาก เพียงหาแหล่งน้ำที่มีน้ำไหลผ่านตลอดเวลา หรือพื้นที่ที่มีลมพัดผ่านตลอดเวลา ก็จะสามารถปั่นไฟให้พวกเราได้ใช้งานกันตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว
•
เจ้า Waterlily วางขายแล้วทั้งในเว็บไซต์ของบริษัทเองและเว็บ Amazon ใครสนใจลองเข้าไปดูกันได้
•
ที่มา
https://65blogs.com/gadgets/the-waterlily-is-chargeable-device-from-wind-and-water/

https://shop.waterlilyturbine.com/products/waterlily-turbine?variant=29523372048445
•
แพร สันโดษ
Environman

 

Setiawan

เสียงแปลกๆที่มาจากทะเลในลิเบีย ธันวาคม 2019

 

Setiawan

น้ำท่วมใน Jebel Jais, Ras Al Khaimah, สหรัฐอาหรับเอมิเรต วันที่ 18 ธันวาคม 2019